Thai Union Partners with GC to Raise Awareness About Infectious Waste Separation in Samut Sakhon Province

Thai Union Group PCL has joined with PTT Global Chemical PCL or GC in the ‘How to Manage Infectious Waste’ (‘How to Yeak’) Project to raise an awareness on the risks of infectious waste and the need for such waste to be properly separated and disposed of to better ensure safety for communities in Samut Sakhon Province.

“This latest wave of the COVID-19 pandemic in Thailand has resulted in the increase of infectious waste from items used to protect us from the virus, such as face masks,” said Dr. Kongkrapan Intarajang, CEO of PTT Global Chemical PCL, or GC.

“GC initiated the ‘How to Yeak’ Project by collaborating with governmental agencies and partners on infectious waste management, while providing knowledge on proper infectious waste separation and management in order to prevent the spread of the virus. “Important tools for this project are 120-liter red step-open trash cans for infectious waste separation and red trash bags for infectious waste collection. These bags are made from high-quality InnoPlus plastic resins that are durable with moisture protection, and help reduce the spread of the virus, are safe to be stored, and are carbon footprint certified,” he added.

Mr. Thiraphong Chansiri, CEO of Thai Union, added that the health and safety of all Thai Union employees as well as the people in the communities where its business operates remained the company’s top priority. “We are aware that infectious waste must be carefully separated before being gathered for treatment or disposal, especially during the current COVID-19 pandemic.

Thai Union remains committed to partnering with both the public and private sectors to help ensure safety, security and health. “We are proud to be part of this project and would like to thank GC as our partner in sustainability. We will also use this opportunity to encourage our employees to learn more of waste separation and proper infectious waste management, not only at work, but also in their daily lives,” Mr. Chansiri concluded.

ไทยยูเนี่ยน จับมือกับ GC เดินหน้าสร้างความตระหนักเรื่องการคัดแยกขยะติดเชื้อในจังหวัดสมุทรสาคร

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จับมือกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ในโครงการฮาวทูแยก..แยกอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องถึงความเสี่ยงของขยะปนเปื้อนที่ต้องการคัดแยกและการทิ้งอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยให้เกิดความปลอดภัยในชุมชนจังหวัดสมุทรสาคร

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ ทำให้เกิดขยะมูลฝอยติดเชื้อ จากการใช้ป้องกันไวรัส COVID-19 จำนวนมาก”

“GC เป็นผู้ริเริ่มในการประสานกับภาครัฐและพันธมิตร จัด โครงการฮาวทูแยก..แยกอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ เพื่อการบริหารจัดการขยะติดเชื้อ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางแบบครบวงจร พร้อมทั้งให้ความรู้เรื่องการคัดแยกและจัดการขยะมูลฝอยติดเชื้ออย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ โดยมีอุปกรณ์สำคัญได้แก่ ถังขยะสีแดงแบบลดการสัมผัส ด้วยการใช้เท้าเหยียบในการเปิดตัวถัง ความจุ 120 ลิตร สำหรับคัดแยกขยะมูลฝอยติดเชื้อ และถุงขยะสีแดงสำหรับใส่ขยะมูลฝอยติดเชื้อ ซึ่งผลิตจากเม็ดพลาสติกคุณภาพสูง InnoPlus มีความทนทาน แข็งแรง เหนียว ป้องกันความชื้น ลดการแพร่กระจายเชื้อ ปลอดภัยต่อการจัดเก็บขยะ และได้รับการรับรอง Carbon Footprint”

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว “สุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานไทยยูเนี่ยนทุกคน ตลอดจนชุมชนในพื้นที่ที่เรามีการดำเนินธุรกิจอยู่ยังคงเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดของเรา เราตระหนักดีว่า ขยะติดเชื้อต้องมีการคัดแยกอย่างระมัดระวังก่อนรวบรวมเพื่อบำบัดหรือกำจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน”

ไทยยูเนี่ยนยังคงมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อช่วยให้เกิดความปลอดภัย ความมั่นคง และสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น “เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ และขอขอบคุณ GC ในฐานะพันธมิตรด้านความยั่งยืน เราจะใช้โอกาสนี้ในการส่งเสริมให้พนักงานของเราเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการแยกขยะและวิธีการจัดการขยะติดเชื้ออย่างเหมาะสม ไม่เพียงแต่ในสถานที่ปฏิบัติงานเท่านั้นแต่ยังรวมถึงในชีวิตประจำวันของพวกเขาอีกด้วย” นายธีรพงศ์กล่าวสรุป

IVL remains on track to deliver its 2021-2023 strategy that will double EBITDA and deliver double digit ROCE by 2023

Indorama Ventures Public Company Limited, a global chemical producer, hosted its annual IVL Capital Markets Day 2021 announcing its strategic progresses.Highlights are as follows:

Our Platforms. People. Systems – prepared for growth

Despite the challenges of 2020, IVL’s vertically-integrated and multi-regional platforms have proven resilient on the back of strong volume growth and prudent capital management to maintain strong operating cash flows. Impact on demand and spreads across segments largely temporary and expected to make a strong recovery along with the economy.

In addition, the management team has used 2020 to ‘prepare for growth’ by re-organizing the business, building strong leadership teams at every vertical and enabling the teams with strong support systems (e.g. centers of excellence, shared services, one ERP).

Olympus transformation ahead vs. first year plan

Execution of the company’s cost saving transformation project, called Olympus, is off to a strong start as IVL is ahead of first year plan by 25%+. Encouraged by internal assessment and outperformance, we have increased our Project Olympus ambition to deliver $610M impact by 2023 (vs. $350M announced last year), comprising of 2,500+ Cost Transformation and Business Full Potential initiatives.

Segment strategies refreshed

Each segment has refreshed its strategy to reflect the changing macro environment, higher ambition from transformation, opportunity to harness the ‘One IVL’ advantage and new growth and adjacency opportunities.

Leader in Sustainability and Circular Economy

IVL remains committed to ESG and continues to be recognized by rating agencies as a leader in the Chemicals Industry. In addition, IVL is on track to meeting its 2025 global commitment on recycling

Strong Financial Performance expected

IVL expects to double its EBITDA and deliver double-digit ROCE by 2023. In doing so, IVL will generate healthy cash flows to meet its capital management goals, invest in value accretive attractive projects, sustain its dividend policy to reward shareholders and continuously de-leverage its balance sheet from 1.46 to 0.6x

Mr. Aloke Lohia, Group CEO of Indorama Ventures, said, “Despite a challenging year, 2020 has given me even more conviction in our businesses. Through the pandemic, we have strengthened our platforms, empowered our people and advanced our systems agenda, therefore positioning ourselves well to take advantage of opportunities in the recovery, to unlock the full potential of IVL and to ready the company for the next era.”

อินโดรามา เวนเจอร์ส เดินหน้ากลยุทธ์ปี 2564-2566 ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA อีกเท่าตัว และ ROCE สองหลัก ในปี 2566

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก จัดงาน IVL Capital Markets Day 2021 รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ ซึ่งมีใจความสำคัญ ดังนี้

แพลทฟอร์ม บุคลากร และระบบของเรา พร้อมสำหรับการเติบโต

แม้ว่าปี 2563 จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่รูปแบบการดำเนินธุรกิจของไอวีแอลที่มีการบูรณาการแนวดิ่ง และดำเนินงานในหลากหลายภูมิภาคได้รับการพิสูจน์ว่ามีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยการเติบโตเชิงปริมาณที่แข็งแกร่ง และการบริหารเงินทุนที่รอบคอบ เพื่อรักษาความมั่นคงของกระแสเงินสดสำหรับการดำเนินงาน ผลกระทบต่ออุปสงค์และสเปรดในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และคาดว่าจะกลับมาแข็งแกร่งพร้อมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ คณะผู้บริหารได้ใช้โอกาสในปี 2563 เพื่อ ‘เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโต’ โดยปรับโครงสร้างการบริหารธุรกิจ สร้างทีมผู้นำที่เข้มแข็งในทุกกลุ่มธุรกิจ และส่งเสริมการทำงานด้วยระบบสนับสนุนต่างๆ อาทิ การจัดตั้ง Centers of excellence การใช้ประโยชน์ร่วมกันจากทรัพยากรในองค์กร หรือการใช้ระบบ ERP ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันมาใช้ทั้งองค์กร

โครงการ Olympus และแผนงานในปีแรก

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจเพื่อลดต้นทุนของบริษัทฯ ซึ่งเรียกว่า โครงการ Olympus เริ่มต้นอย่างมั่นคง โดยไอวีแอลดำเนินงานไปแล้วกว่าร้อยละ 25 มากกว่าแผนงานที่กำหนดไว้สำหรับปีแรก ด้วยการประเมินผลภายในและประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดี เราตั้งเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายสำหรับโครงการ Olympus ในการลดต้นทุนให้ได้ 610 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2566 (จากเป้าหมายเดิม 350 ล้านเหรียญสหรัฐที่ประกาศไว้เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งประกอบด้วยโครงการปรับต้นทุนและการเพิ่มศักยภาพธุรกิจอย่างเต็มที่กว่า 2,500 โครงการ

ปรับกลยุทธ์สำหรับกลุ่มธุรกิจ

แต่ละกลุ่มธุรกิจได้ปรับปรับกลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมมหภาคที่เปลี่ยนแปลงไป เป้าหมายที่สูงขึ้นจากการปรับเปลี่ยนขององค์กร โอกาสที่ได้จากประโยชน์ของการดำเนินงานที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งไอวีแอล (One IVL) และโอกาสการเติบโตใหม่ๆ ไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน

ผู้นำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน

ไอวีแอลมุ่งส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และได้รับการยอมรับจากองค์กรที่จัดอันดับในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ นอกจากนี้ ไอวีแอลกำลังดำเนินตามเป้าหมายการรีไซเคิลระดับโลกที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ ภายในปี 2568

คาดงบการเงินแข็งแกร่ง

ภายในปี 2566 ไอวีแอลคาดการณ์กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EDITDA เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว และมีอัตราผลตอบแทนต่อเงินทุนดําเนินงาน หรือ ROCE เพิ่มขึ้นเป็นสองหลัก โดยไอวีแอลจะสร้างกระแสเงินสดที่ดี เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการจัดการเงินทุน ลงทุนในโครงการน่าสนใจที่ให้คุณค่า รักษานโยบายการจ่ายเงินปันผลเพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น รวมทั้งลดอัตราส่วนหนี้สินจาก 1.46 เหลือ 0.6 เท่า

นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า “แม้เป็นปีที่ท้าทาย แต่ปี 2563 ทำให้ผมมั่นใจในธุรกิจของเรายิ่งขึ้นไปอีก ท่ามกลางการแพร่ระบาด เราได้เสริมความแข็งแกร่งให้แพลทฟอร์ม เพิ่มศักยภาพบุคลการของเรา และพัฒนาระบบให้ก้าวหน้า ทำให้เราอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการสร้างผลประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ฟื้นตัว เพิ่มศักยภาพของไอวีแอลให้เต็มที่ และเตรียมบริษัทฯ ให้พร้อมสำหรับอนาคต”

“ชโย กรุ๊ป” จับมือ “สหการประมูล” ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจ หนุนแผนซื้อหนี้ลีสซิ่งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์เสริมพอร์ต

บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CHAYO) ผู้เชี่ยวชาญในการซื้อหนี้เข้ามาบริหารรายใหญ่ของประเทศ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านธุรกิจกับเจ้าตลาดในการประมูลสินค้า บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) (AUCT) แย้มแผนลุยประมูลซื้อหนี้กลุ่มลีสซิ่ง ทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์ เข้ามาบริหาร โดยสามารถนำมาประมูลที่สหการประมูลได้ เพื่อเข้าสู่ระบบที่เป็นมาตรฐาน เป็นทางเลือกให้ลูกค้าสามารถลดภาระหนี้และหรือปลอดภาระหนี้ได้โดยเร็วขึ้น

โดย ในวันงานได้รับเกียรติจาก นายนที ลิ้มประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ สายบริหารหนี้ บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ นายวรัญญู ศิลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามในสัญญา

 นายนที ลิ้มประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ สายบริหารหนี้ บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ธุรกิจเจรจาติดตามเร่งรัดหนี้สิน ธุรกิจปล่อยสินเชื่อ และกิจการศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของ CHAYO ในการเพิ่มพันธมิตรด้านการประมูล เข้ามาเสริมแกร่ง สนับสนุนโอกาสในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหาร ในกลุ่มสินเชื่อรถจักรยานยนต์และรถยนต์ จากเดิมบริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในการซื้อหนี้ประเภทไม่มีหลักประกัน และหนี้ที่มีหลักประกันเข้ามาบริหารอยู่แล้ว  

จากการมองเห็นโอกาสในปี 2563 ที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และภาพรวมเศรษฐกิจ ทำให้มีการขายหนี้กลุ่มสินเชื่อรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ออกมามากขึ้น จากสถาบันการเงินทั้งกลุ่ม Bank และ Non-Bank ซึ่งบริษัทฯ ก็ได้ศึกษาตลาดดังกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว และมองเห็นโอกาสในการลงทุน จากอายุหนี้ที่สั้น มีรถเป็นหลักประกัน อีกทั้ง รถยังถือเป็นปัจจัยที่ 5 ลูกค้าต้องใช้ในการดำรงชีวิต และประกอบอาชีพ จึงได้เริ่มรุกตลาด และเข้าไปซื้อหนี้กลุ่มดังกล่าวเข้ามาบริหาร ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนของปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ มีพอร์ตหนี้กลุ่มรถยนต์และรถจักรยานยนต์มูลค่ารวมประมาณ 6,500 ล้านบาท  

“ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเราได้ซื้อหนี้กลุ่มรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ เข้ามาบริหาร จากสถาบันการเงินราว 3  แห่ง มูลค่ารวมประมาณ 6,500 ล้านบาท ปรากฏว่า มีลูกค้าแสดงความประสงค์จะชำระหนี้ ต้องการปิดบัญชี และไม่ต้องการให้ยึดรถ จำนวนพอสมควร เราจึงมองหาพันธมิตรทางด้านการประมูล เพื่อนำรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ เข้ามาร่วมประมูลขายทอดตลาด  จึงเป็นที่มาของการจับมือกับ บมจ.สหการประมูล ในครั้งนี้ เพราะหากมีการคืนรถหรือยึดรถ เราสามารถดำเนินการกับพันธมิตรด้านการประมูลที่ได้รับการยอมรับ และมีมาตรฐานสากล ทำให้ลูกค้าวางใจได้ในเรื่องของการประเมินราคา มีการซื้อขายอย่างเป็นธรรม เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าในการปิดบัญชี และชำระหนี้ อย่างไรก็ดี CHAYO ยังวางแผนในการขยายพอร์ตซื้อหนี้กลุ่มดังกล่าวเพิ่มเติมอีก คาดจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในปีนี้”  นายนที กล่าว

ด้าน นายวรัญญู ศิลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ประกอบธุรกิจให้บริการเป็นคนกลางในการจัดการประมูลทรัพย์สินทุกประเภท รวมทั้งให้บริการด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมูล โดยมีพอร์ตหลักคือรถจักรยานยนต์และรถยนต์รวมกว่า 90% ของพอร์ตสินค้าทั้งหมด ทำให้บริษัทฯ เชี่ยวชาญ และเป็นที่ยอมรับจากลูกค้ามาตลอดระยะเวลา 30 ปี จึงเชื่อมั่นว่า จะสนับสนุนการดำเนินงานของ CHAYO ได้เป็นอย่างดี และเป็นโอกาสขยายตลาดการประมูลรถจักรยานยนต์และรถยนต์ในปีนี้เพิ่มขึ้น ด้วยการให้บริการอย่างมืออาชีพ

WORLD แจงความคืบหน้าโปรเจคอสังหาฯ โชว์ 9 เดือนแรกปี 63 มีกำไรสุทธิ 29.51 ลบ.

WORLD แจงความคืบหน้าโปรเจคอสังหาฯ “ดร.จิรศักดิ์ จิยะจันทน์” เผย 9 เดือนแรกปี 63 มีกำไรสุทธิ 29.51 ล้านบาท หลังขายที่ดินเปล่าในโครงการนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานกว่า 78.84 ล้านบาท

ดร.จิรศักดิ์ จิยะจันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WORLD) ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยมีทั้งหมด 4 โครงการ แบ่งเป็น โครงการนิคมอุตสาหกรรมจำนวน 1 โครงการ และโครงการห้องชุดจำนวน 3 โครงการ เปิดเผยว่า ภาพรวมฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563 มีกําไรสุทธิจากการดําเนินงานต่อเนื่องสำหรับรอบระยะเวลา 3 เดือน จำนวน 28.11 ล้านบาท และสำหรับรอบระยะเวลา 9 เดือน จำนวน 32.30 ล้านบาท และมีกําไรสุทธิจากการดําเนินงานปกติ (ไม่รวมรายได้อื่น) สำหรับรอบระยะเวลา 3 เดือน จำนวน 26.99 ล้านบาท และสำหรับรอบระยะเวลา 9 เดือน จำนวน 29.51 ล้านบาท

ในส่วนของกระแสเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดําเนินงาน สำหรับงวด 9 เดือน มีจำนวน 78.84 ล้านบาทเนื่องจากในงวดมีกระแสเงินสดรับเข้าจากการขายที่ดินที่ลำพูน และกระแสเงินสดจ่ายลงทุนในสินค้าคงเหลือลดลง เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับความคืบหน้าโครงการต่างๆ ของกลุ่มบริษัท 1. โครงการนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ (ลำพูน) ดำเนินการโดยบริษัท เวิลด์ อินดัสเทรียล เอสเตท จํากัด เป็นบริษัทย่อยซึ่งบริษัทถือหุ้น 100% แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ

1.1. ขายที่ดินเปล่าในโซนอุตสาหกรรม และโซนพาณิชย์ โดยในส่วนของ โซนอุตสาหกรรม มีพื้นที่ขายทั้งหมด 236-3-59.2 ไร่ โอนกรรมสิทธิ์แล้ว 5-2-36.4 ไร่ รอโอนกรรมสิทธิ์ 202-0-72.8 ไร่ ยังไม่ได้ขาย 29-0-50 ไร่ ส่วนโซนพาณิชย์กรรม จำนวนพื้นที่ 16-2-82 ไร่ โอนกรรมสิทธิ์แล้ว 16-2-82 ไร่ “บริษัทฯได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปล่าในโซนอุตสาหกรรม ในเดือนพฤษภาคม ปี 2562 และเดือนมิถุนายน ปี2563 ซึ่งเป็นการโอนขายให้กับบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ที่มีความสนใจและต้องการขยายพื้นที่จึงมาซื้อเพิ่ม”

1.2 ที่พักอาศัยในโซนพาณิชยกรรม มีพื้นที่รวม 27 ไร่ 3 งาน 0.8 ตารางวา ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับปรุงแบบสำหรับพัฒนาพื้นที่โซนพาณิชย์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มพัฒนาพื้นที่ในปี 2565 เป็นต้นไป

2. โครงการดิ อะวอร์ด ป่าตอง ดำเนินการโดยบริษัท เวิลด์ อะวอร์ด ป่าตอง จํากัด เป็นบริษัทย่อยซึ่งบริษัทถือหุ้น 100% 2.1. เฟส 1 มีห้องชุดจำนวน 141 ยูนิต โอนกรรมสิทธิ์แล้วจำนวน 128 ยูนิต คงเหลือจำนวน 13 ยูนิต เป็นห้องชุดที่รอโอนกรรมสิทธิ์

3. โครงการเดอะ ซิตี้ หาดใหญ่ มี 2 โครงการย่อยคือ 3.1 โครงการเดอะ ซิตี้ หาดใหญ่ 1 ดำเนินการโดยบริษัท เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) มีอาคาร 2 อาคาร แบ่งเป็นอาคาร 1 มีจํานวน 78 ยูนิต ผ่านมาโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วจำนวน 27 ยูนิต ค งเหลือจำนวน 51 ยูนิต และอีก 1 อาคาร มีจำนวน 78 ยูนิต ก่อสร้างอาคารเสร็จเรียบร้อยอยู่ระหว่างดำเนินการออกหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด คาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 และ 3.2 โครงการเดอะ ซิตี้ หาดใหญ่ 2 ดำเนินการโดยบริษัท เวิลด์ พร็อพเพอร์ตี้แอนด์แอสเซท จํากัด เป็นบริษัทย่อยซึ่งบริษัทถือหุ้น 100% มี 2 อาคาร โดยมีจำนวนห้องชุดอาคารละ 78 ยูนิต ทั้ง 2 อาคารก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยอยู่ระหว่างดำเนินการออกหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด คาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2564จากนั้นก็จะเริ่มทำการตลาด เพื่อที่จะขายห้องชุดดังกล่าว

4. โครงการเดอะ ฟอเรสท์ ป่าตอง ดำเนินการโดยบริษัท เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) อยู่ระหว่างการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ที่ดินที่ใช้ดำเนินการโครงการนี้ ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของบริษัทฯ เนื่องจากอยู่ระหว่างการชําระค่าซื้อขายที่ดิน โดยกำหนดจ่ายชําระให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน พ.ศ.2564 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอขยายระยะเวลาการจ่ายชําระ เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับความยินยอมจากผู้ขายให้สามารถเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ควบคุมบริหารงาน ตลอดจนรับผลประโยชน์ตอบแทนที่พึงเกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงการเข้าพัฒนาที่ดิน การก่อสร้างอาคารอาคาร และการดำเนินการอื่นใด ตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายที่ดิน ฉบับลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2561

ทั้งนี้ บริษัทฯได้รับการขยายระยะเวลาในการดำเนินการให้มีคุณสมบัติเพื่อกลับมาซื้อขาย (Resume Stage) จนถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2564

PTTEP reports net profit of USD 720 million in 2020 Approves dividend payment at THB 4.25 per share

PTTEP announced operating profits for the year 2020 and key business expansion achievements despite the volatility of global crude oil price and the COVID-19 pandemic, with dividend payment approved for 2020 at THB 4.25 per share. The company targets sales volume in 2021 to increase by 6% and continues to expand business in the focused areas according to our strategy.

            Mr. Phongsthorn Thavisin, Chief Executive Officer of PTT Exploration and Production Public Company Limited (PTTEP), said that the company generated total revenue of year 2020 at USD 5,357 million (equivalent to THB 167,418 million), decreasing by 16% compared to USD 6,413 million (equivalent to THB 198,822 million) reported in 2019. The key factor was from the drop in an average selling price to USD 38.92 per barrels of oil equivalent (BOE) or 18%, from USD 47.24 per BOE in the year earlier. This was a consequence of the fluctuation of world’s crude oil price due to the declining energy demand from the outbreak of COVID-19. In 2020, the company also recognized extraordinary expenses including impairment losses, primarily from Mariana Oil Sands project in Canada due to the fact that the project is sub-commercial under current forecast of long-term oil price, and Yetagun Project in Myanmar caused by the production plan revision in according to the current potential of the field.

Nonetheless, the average sales volume for the year 2020 was at 354,052 barrels of oil equivalent per day (BOED), compared to 350,651 BOED in 2019. The company also reported oil price hedging gain of USD 112 million (equivalent to THB 3,632 million).

Accordingly, PTTEP’s net profit in 2020 reported at USD 720 million (equivalent to THB 22,664 million), dropping by 54% from the previous year of USD 1,569 million (equivalent to THB 48,803 million). However, the unit cost still stood at USD 30.5 per BOE with Earnings before Interest, Taxes, Depreciation and Amortaization (EBITDA) margin of 68%, aligned with the company’s target. The financial position remained solid with USD 3,804 million cash on hand (equivalent to THB 114,261 million).

“During 2020, when the oil and gas industry had been through very tough challenges, the oil price war coupled with impacts from the COVID-19 pandemic, PTTEP was also affected from those encounters. However, the company was able to generate profit by adjusting our operational plan, reducing the unit cost for the long term while maintaining our operational effectiveness and achieving business expansions as targeted. These included the Exploration and Production Sharing Agreement awarded for the onshore Block 12 in Oman and a new exploration block – Offshore Block 3 in the United Arab Emirates. Besides, the company was successful in capturing a new business opportunity by receiving an exclusive right to develop the Integrated Domestic Gas to Power Project in Myanmar and scaling up the AI & Robotics Venture (ARV) for an agriculture service platform and subsea engineering services. This year, PTTEP will continuously focus on seeking opportunities in strategic investment areas both in South East Asia and Middle East as well as thriving in new business to create sustainable growth.” Mr. Phongsthorn stated.

Approves dividend payment at THB 4.25 per share

Based on the company’s performance, on January 28, 2021, the Board of Directors approved the proposed of 2020 payment to the shareholders at THB 4.25 per share. The interim dividend for the first six-month operating results at THB 1.50 per share was paid on August 28, 2020, while the remaining dividend will be paid at THB 2.75 per share on April 26, 2021, after obtaining approval from the 2021 Annual General Shareholders’ Meeting. The record date of the company’s share registration for the right to receive the dividend is scheduled on March 2, 2021.

Targets sales volume growth rate in 2021 at 6%             PTTEP has set aside total expenditure at USD 4,196 million (equivalent to THB 132,174 million) for 2021. The key business objectives are to maintain production plateau of the existing projects, accelerate the development of major projects in enhancing production volume and proceed exploration activities for supporting long term growth. The average petroleum sales volume for this year is targeted at 375,000 BOED, an increment of 6% compared to the previous year. Part of the volume addition will be from the production start-up of Algeria Hassi Bir Rekaiz Project and Malaysia Project – Block H.

ผลประกอบการ ปตท.สผ. ปี 2563 กำไรสุทธิ 720 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมพิจารณาจ่ายปันผล 4.25 บาทต่อหุ้น

ปตท.สผ. เผยผลประกอบการปี 2563 ยังมีผลการดำเนินงานเป็นบวก แม้เผชิญกับความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกและผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 โดยยังขยายธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมอนุมัติจ่ายปันผลงวดปี 2563 ที่ 4.25 บาทต่อหุ้น ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการขายในปี 2564 อีกร้อยละ 6 และยังมองหาโอกาสขยายการลงทุนในพื้นที่ที่มีศักยภาพตามแผนกลยุทธ์

            นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้รวมในปี 2563 ที่ 5,357 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 167,418  ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 16 จากปี 2562 ซึ่งมีรายได้รวม 6,413 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 198,822 ล้านบาท) โดยปัจจัยหลักมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยลดลง ร้อยละ 18 มาอยู่ที่ 38.92 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เมื่อเทียบกับ 47.24 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2562 ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลงมากในปี 2563 สืบเนื่องจากความต้องการใช้พลังงานที่ลดลงจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ประกอบกับในปี 2563 บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ (Non-recurring items) โดยได้ตั้งด้อยค่าของสินทรัพย์ (Impairment) โครงการมาเรียนา ออยล์ แซนด์ ประเทศแคนาดา จากการคาดการณ์ราคาน้ำมันในระยะยาวที่จะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากต่อพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ และโครงการเยตากุน ประเทศเมียนมา สาเหตุมาจากการปรับแผนการผลิตลดลงตามศักยภาพปัจจุบันของแหล่งผลิต

อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 บริษัทมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 354,052 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เมื่อเทียบกับ 350,651 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 2562 และมีผลกำไรจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (Hedging) จำนวน 112 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 3,632 ล้านบาท)

จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิในปี 2563 ที่ 720 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 22,664 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 54 จากปี 2562 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 1,569 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 48,803 ล้านบาท) ทั้งนี้ บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) ที่ 30.5 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา ที่ร้อยละ 68 ซึ่งเป็นไปตามที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้ และยังมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งด้วยเงินสดในมือ 3,804 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 114,261 ล้านบาท)

“ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจปิโตรเลียมต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ทั้งเรื่องสงครามราคาน้ำมัน และผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ซึ่ง ปตท.สผ. ได้รับผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน แต่บริษัทยังคงมีผลกำไรใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากเราได้การปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานหลายประการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้โครงสร้างต้นทุนลดลง แต่ยังคงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และยังสามารถขยายธุรกิจได้ตามเป้าหมาย เช่น การได้รับสิทธิสำรวจแปลง 12 ในโอมาน และการชนะการประมูลแปลงสำรวจออฟชอร์ 3 ในยูเออี นอกจากนี้ ยังได้รับอนุมัติจากรัฐบาลเมียนมาให้เดินหน้าพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (Integrated Domestic Gas to Power) รวมถึงการขยายธุรกิจ AI & Robotics Venture (ARV) เพื่อให้บริการด้านการเกษตรแบบครบวงจรในรูปแบบของแพลตฟอร์ม และธุรกิจการบริการงานวิศวกรรมใต้ทะเล ตามแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งความสำเร็จต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปี 2563 นั้น จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในระยะยาว สำหรับในปี 2564 ปตท.สผ. ยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมทั้ง ธุรกิจใหม่ตามแผนกลยุทธ์ระยะยาว เพื่อสร้างการเติบโตให้กับ ปตท.สผ. ในอนาคต ” นายพงศธร กล่าว       

อนุมัติจ่ายปันผล 4.25 บาทต่อหุ้น 

จากผลประกอบการข้างต้น คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 อนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผล สำหรับปี 2563 ที่ 4.25 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ ปตท.สผ. ได้จ่ายสำหรับงวด 6 เดือนแรกไปแล้วในอัตรา 1.50 บาทต่อหุ้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563  ส่วนที่เหลืออีก 2.75 บาทต่อหุ้น จะกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 2 มีนาคม 2564 และจะจ่ายในวันที่ 26 เมษายน 2564 ภายหลังได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2564 แล้ว 

ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการขายปิโตรเลียมในปี 2564 อีก 6%

          สำหรับแผนการลงทุนปี 2564 ปตท.สผ. ได้ตั้งงบประมาณไว้ที่ 4,196 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 132,174 ล้านบาท) เพื่อรักษากำลังการผลิตจากโครงการหลัก เร่งพัฒนาโครงการสำคัญเพื่อเริ่มการผลิตให้ได้ตามแผนที่วางไว้ และดำเนินกิจกรรมการสำรวจเพื่อการเติบโตในระยะยาว โดยได้ตั้งเป้าหมายปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยไว้ที่ 375,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาจากการเริ่มการผลิตปิโตรเลียมใน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ และโครงการมาเลเซีย – แปลงเอช

“แซ่บ! สะท้าน! กุมภาพันธ์” ช่อง 3 นำ รายการ ซีรีส์ ละครใหม่ อัดพลังบวก สู้ โควิด-19​

กุมภาพันธ์ เดือนที่ความรักกำลังบานฉ่ำ! ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าระลอกใหม่ ช่อง 3 บ่ยั่น!! รู้ใจคอบันเทิง ขอส่งพลังบวกสร้างกำลังใจสู้วิกฤตโควิด-19 เต็มรูปแบบ โดยนำรายการเด็ด วาไรตี้เรียลลิตี้โชว์ และละครใหม่ล่าสุด ลงจอ พร้อมเกมโชว์สุดแซ่บ! และซีรีส์สะท้านทรวง รอเสิร์ฟครบเครื่อง


​เริ่มกันที่รายการท่องเที่ยวแนวใหม่ “Thailand, I Miss You!” (ไทยแลนด์, ไอ มิส ยู!) รายการเรียลลิตี้เชิงท่องเที่ยว เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ที่คิดถึงและอยากไปกับแก๊งก๊วนเพื่อน และเรื่องราวต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างทาง โดยสอดแทรกความสนุกตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และทำให้การท่องเที่ยวในยุค “New Normal” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นำทีมท่องเที่ยวโดย 4 นักแสดง ออกัส-วชิรวิชญ์, อาย-กมลเนตร, มีน-พีรวิชญ์ และ ตี๋-ธนพล ตัวแทนคนรุ่นใหม่ ทุกวันพุธ เวลา 22.23-23.53 น. เริ่มออกเดินทางวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นตอนแรก และอีกหนึ่งรายการใหม่ล่าสุดเอาใจวัยใส “Idol Paradise” เรียลลิตี้ สเตจโชว์ ที่ท้าทายเด็กสาววัยรุ่นจากทั่วประเทศ ให้ก้าวขึ้นสู่พลังแห่งความเป็นไอดอล โดยคัดเลือกจากผู้สมัครร่วม 7,000 คน ทั่วประเทศ ให้เหลือผู้ที่จะก้าวเท้าเข้าพิสูจน์หัวใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ด้วยโจทย์ของการโชว์ และต้องเอาชนะใจกรรมการในรอบ AUDITION ให้ได้ภายใน 10 วินที เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาศักยภาพทั้งร่างกายและจิตใจฝึกฝนและทดสอบตลอด 16 สัปดาห์ ให้กลายเป็นศิลปิน IDOL รุ่นใหม่ไฟแรงเฟ่อร์!! ดำเนินรายการโดย “บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” ร่วมเชียร์และส่งกำลังใจให้พวกเธอได้ทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.20-19.50 น. เสนอตอนแรกวันที่ 31 มกราคม 2564 เป็นต้นไป


สำหรับรายการปรับโฉมใหม่สุดปัง! Hollywood Game Night Thailand ที่ได้ย้ายจากเดิมทุกวันอาทิตย์ มาออกอากาศทุกวันเสาร์ กับ ‘โปรเจกต์พิเศษสุดยิ่งใหญ่’ ในชื่อว่า “Hollywood Game Night Thailand Super Champ” โดยพิธีกรอารมณ์ดี “วิลลี่ แมคอินทอช” ขอนำขบวนชวนนักแสดงซุปตาร์ล้วนๆ 5 ทีม มาชิงความเป็นเจ้าแห่งเกม เพื่อคว้าเงินรางวัลมอบให้กับมูลนิธิการกุศล โดยมี ทีม BNK 48, ทีม สวยหล่อขอทำบุญ, ทีม สายฮามาเป็นตับ, ทีม เสียงดีดี๊ด๊า และ ทีม ฝีปากกล้า บ้าหลุดโลก ที่จะเวียนแข่งขันพบกันหมด เพื่อคัดเหลือเพียงหนึ่งทีมเป็นเจ้าแห่งเกม ออกอากาศ ทุกวันเสาร์ เวลา 18.20-19.50 น. เริ่มแข่งตอนแรกวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 และรายการสุดฮิต “เกมแจกรถ” ที่ขอจัดเต็ม ต้อนรับศักราชใหม่ 2564 โดยได้ปรับรูปแบบรายการ เพิ่มความปัง! สนุก ตื่นเต้น ได้ลุ้นมากขึ้น และในช่วงที่กำลังมีการรณรงค์มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ให้ปลอดภัยจากไวรัสโควิด-19 เกมแจกรถจึงเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปร่วมเล่นเกมชิงรางวัลผ่านทาง Facebook อีกด้วย โดย “น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา” บอกว่า แจกจริง! แจกทุกวัน! เพียง ‘เลือกรถที่ชอบ หยิบกุญแจที่ใช่’ ร่วมสนุกด้วยการสมัครทาง Inbox ผ่าน Facebook ของรายการ และมาลุ้นกันทุกวัน จันทร์-ศุกร์ เวลา 17.30-18.00 น. ทางช่อง 3 กด 33 และ facebook “เกมแจกรถ”
​ทางด้าน ซีรีส์ใหม่แกะกล่อง สะท้านใจวงการสายวาย “นับสิบจะจูบ” หรือ (Lovely writer the series) ซีรีส์วายเรื่องที่สองของช่อง 3 ที่ขอเอาใจสาวกซีรีส์วายทั้งหนุ่มและสาวหนักมาก เพราะหนุ่มๆในเรื่องงานดีเวอร์! และ เป็นซีรีส์ที่มาจากนิยายออนไลน์เรื่องดังของนักเขียน วาฬกลิ้ง ที่จะพาคุณล้วงลึกทุกเบื้องหลังวงการวาย นำโดยสองหนุ่มนักแสดงใหม่ เก้า-นพเก้า เดชาพัฒนคุณ และ อัพ-ภูมิพัฒน์ เอี่ยมสำอาง ที่จะร่วมพาท่องไปในสายวาย แบบ ‘โลกทั้งใบจะเป็นของนายคนเดียว’ และยังมีนักแสดงหน้าใหม่ใสเวอร์อาทิ บรูซ-ศิริกร คณานุรักษ์, เคนจิ-วศิน ภาณุมาภรณ์, เคน-ภรัณยู สุขสำราญ, แชป-ศุภชีพ ชนะภัย, ซอโซ่-นัทธ์หฤทัย อัครกิจวัฒนากุล, ฟองคี่ฯลฯ ร่วมแซ่บ! อีกมากมาย ผลงานของ 2 ผู้จัดมือฉมังอย่าง คิง-สมจริง ศรีสุภาพ จากค่าย Good Feeling และ ก้อง-ปิยะ เศวตพิกุล, ชุดาภา จันทเขตต์ จากค่าย ดีทุกวัน 2019 ร่วมกับบริษัทน้องใหม่ไฟแรงที่น่าจับตาอย่าง D Hup House (ดีฮัพ เฮ้าส์) ติดตามทุกวันพุธ เวลา 22.23-22.53 น. เริ่มวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นตอนแรก ต่อจากรายการ “ไทยแลนด์, ไอ มิส ยู!”


ปรับสู่โหมดละครก่อนข่าว ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00 – 20.00 น. ช่อง 3 นำ “เทพธิดาปลาร้า” ละครใหม่แกะกล่องค่ายสุขสันต์หรรษา 52 จำกัด “อุ๊-พัชนี จารุจินดา” มาให้ว้าว..สุดๆ 5 วันรวดกับสองพระนาง“ชิปปี้-ศิรินทร์” ประกบคู่เป็นครั้งแรกกับ “กระทิง-ขุนณรงค์” มาดูกันว่า ชิปปี้ จะเว้า อีสานกันระเบิดระเบ้อเบอร์ไหน และการเป็นพระเอกครั้งแรกของ กระทิง จะได้ใจแม่ยกกันรัวๆหรือไม่ต้องติดตาม


ส่วนละครหลังข่าว ช่อง 3 นำละครใหม่ 3 เรื่อง 3 รส ลงช่วงไพร์มไทม์ ต่อเนื่อง 7 วัน จันทร์ถึงอาทิตย์ มีทั้งบู๊ แอ็คชั่น ดราม่า คอมเมดี้ มาครบ เริ่มตั้งแต่ วันจันทร์-อังคาร เวลา 20.23 – 22.23 น. พบกับเรื่อง “ดาวคนละดวง” ที่จะมาประกาศความมันส์ ผลงานของค่ายอาหลองกรุ๊ป และการนำเอาสองพระนาง “เกรท และ บูม” มาร่วมงานกันเป็นครั้งแรก กับบทที่ท้าทาย เพราะ ‘ดาวที่ตนเองกำลังจะไขว่คว้า มันเกือบต้องแลกมาด้วยชีวิต’


มาถึงวันพุธ-พฤหัส เวลา 20.23 – 22.23 น. พบกับเรื่อง “ดวงใจในมนตรา” ละครโรแมนติกดราม่า ผสมแฟนตาซี ที่จะเปลี่ยนบทบาทสองคู่จิ้น (โน่-ณิ) “โตโน่ และ ณิชา” ให้ย้อนยุคไปหลายพันปี มาลุ้นการตามหา “เพชรดวงใจนักรบ” ที่ ‘พชร’ ชายหนุ่มอายุ 2,000 ปี ต้องตามหา เพื่อลบคำสาป และความแค้นข้ามภพข้ามชาติ การันตีความสนุกโดยค่าย บรอดคาซท์ไทย เทเลวิชั่น จำกัด


และสุดท้ายกับวันศุกร์ เวลา 20.23 – 22.23 น. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.18 – 22.18 น. พบกับ “เมียจำเป็น” ละครสายฮา ที่มีดราม่ามาปะปน เมื่อชีวิตที่เปรียบเสมือนละคร มีครบรสชาติให้สะเทือน ดังนั้น ละครก็เอามาจากชีวิตจริงเพราะมันผสมผสานกันจนกลมกลืน ผู้จัด “พรสุดา ต่ายเนาว์คง” จากค่าย ดี วัน ทีวี จำกัด นำพระ-นาง “ไม้ วฤษฎิ์-พาย รินรดา” มาประบคู่กันครั้งแรกพิสูจน์ความจิ้น หลังจบ เมียจำเป็น จะต่อด้วยละครเรื่อง “พิภพหิมพานต์” ออกอากาศตอนแรกวันแรก 26 กุมภาพันธ์ 2564

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 สำหรับ “แชนแนลทรี มูฟวี่ส์” ช่อง 3 นำภาพยนตร์เรื่องยาวถึง 4 เรื่อง นำเสนอทุกวันเสาร์ เวลา 22.48-01-18 น. เริ่มจาก เสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 เรื่อง พยัคฆ์ระห่ำ มังกรผยองโลก (Crouching Tiger Hidden Dragon) เมื่อจอมยุทธหลี่มู๋ไป๋ ตั้งใจจะวางกระบี่จากยุทธภพ และกลับไปใช้ชีวิตกับคู่มั่น, เสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 เรื่อง บิ๊กมาม่าส์ (Big Mommas: Like Father , Like Son) เรื่องราวของนักสืบเอฟบีไอ ที่ต้องแปลงกายเป็นบิ๊กมาม่า เพื่อสืบคดี, เสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564 เรื่อง แฮนค็อค ฮีโร่ขวางนรก (Hancock) จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อซุปเปอร์ฮีโร่ได้รับสมญานามว่า ฮีโร่ผู้ไม่เอาอ่าว, เสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 เรื่อง วันแวมไพร์ครองโลก (Day breakers) โรคระบาดลึกลับแพร่กระจาย ผู้คนค่อนโลกกายเป็นแวมไพร์ แล้วมนุษย์ที่เหลือจะทำอย่างไร? ทั้งหมดนี้บอกได้คำเดียวห้ามพลาด


และสำหรับคอซีรีส์จีนเรื่องยาว ช่อง 3 ได้นำ “เปาบุ้นจิ้น” วีรบุรุษผู้ทรงคุณธรรม ในตอนสำคัญๆของการปราบคนร้ายมาให้ได้ติดตาม ทุกคืนวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 03.33 น. และ เสาร์-อาทิตย์ เวลา 02.48 น. แฟนท่านเปาต้องดู


ยังไม่หมดเพราะช่อง 3 ขอชวนคนตื่นเช้า มาพบกับ “ข่าว 3 ยามเช้า” รายการข่าวที่จะ ปลุก!! คุณยามเช้า ให้มารับชมข่าวที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การรายงานข่าว แต่พ่วงทั้ง สาระ ความรู้ คู่ความสนุกสนาน โดยสองผู้ประกาศข่าวคู่หู “โอ๊ค-นิธินาฏ” และ “โจ-อรชุน” และปิดท้ายกับช่วง “@ข่าวเช้า” ที่จะชวนมาคุยข่าวแบบเจาะลึกทุกเหตุการณ์สำคัญระหว่างวัน กับ “เอ-ดนยกฤตย์” ซึ่งคุณจะไม่พลาดข่าวหลัก ข่าวใหญ่ และข่าวสำคัญอีกต่อไป ติดตาม “ข่าว 3 ยามเช้า” และ “@ข่าวเช้า” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตี 4 ครึ่ง ทางช่อง 3 กด 33

เช็กร่างกายให้พร้อม ก่อนฉีดวัคซีน COVID-19 ในเร็วๆ นี้

ช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา หลายคนคงได้ยินข่าวความคืบหน้าเรื่อง “วัคซีนCOVID-19” จากต่างประเทศผ่านหูกันมาไม่มากก็น้อย จากผู้ที่ “ได้ฉีด” วัคซีนCOVID-19 เป็นกลุ่มแรกๆ ทั่วโลก

            คำถามต่อมาที่หลายคนอยากรู้ คงเป็นเรื่องที่เมื่อไรวัคซีนตัวความหวังนี้ จะบินมาถึงประเทศไทยสักที หรือคำถามง่ายๆ แบบคนขี้สงสัยว่า “ก่อนจะเอาเจ้าวัคซีนCOVID-19  มาฉีดใส่ในตัว” เราต้องเตรียมความพร้อมอย่างไรกันแน่ ?

            แน่นอนว่าวัคซีน COVID-19  ที่เข้ามาในประเทศไทยล็อตแรก คงจะอยู่ในมือของสาธารณสุขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับหน่วยงาน “เอกชน” ก็คงขึ้นอยู่กับเวลาที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะอนุญาตให้โรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ ทำการใช้งานได้แบบเป็นทางการเท่านั้น ฉะนั้น ในระหว่างที่เรานับถอยหลังรอสัญญาณไฟเขียวจาก อย. เราลองมาทำความเข้าใจกับข้อสงสัยการเตรียมตัวฉีดวัคซีน โควิด-19 ก่อนสักนิดดีกว่า กับคุณหมอสมชัย ลีลาศิริวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านตจวิทยา และที่ปรึกษาผู้จัดการความเสี่ยง โรงพยาบาลพระรามเก้า

            Q: “ใคร” บ้าง ที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีน COVID-19 

            คุณหมอสมชัย: ในเบื้องต้นวัคซีนทุกตัว สามารถฉีดให้กับคนแข็งแรง ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป แต่ถ้าเป็นผู้หญิง “ต้องไม่ได้ตั้งครรภ์” อยู่ครับ เพราะในการทดลองที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีการทดลองฉีดในคนอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือในเด็ก หรือในสตรีมีครรภ์ ดังนั้นโดยทั่วไป การฉีดวัคซีนจะยังไม่มีนโยบายฉีดให้กับคนกลุ่มนี้ครับ

            Q: ก่อนไปฉีดวัคซีน ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

          คุณหมอสมชัย: การฉีดวัคซีนโควิด-19 ก็เหมือนกับการฉีดวัคซีนทั่วๆ ไปครับ หากร่างกายเราปกติแข็งแรงดี เราก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นก่อนมาฉีดก็ควรเช็คความพร้อมว่าเราไม่ได้เป็นไข้ ไม่ได้เจ็บป่วย หรือไม่มีอาการไข้หวัดใดๆ ก็สามารถฉีดได้เลยครับ

            Q: แล้วถ้ามีอาการป่วยด้วยโรคร้ายแรง จะมีสิทธิ์ฉีดวัคซีน COVID-19  หรือไม่

            คุณหมอสมชัย: ตามข่าวที่เราเห็นว่าเกิดอุบัติการณ์ของการเสียชีวิตหลังจากฉีดวัคซีนค่อนข้างเยอะ จึงมีคำแนะนำจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ FDA ใน “บางประเทศ” ว่าคนที่มีสุขภาพอ่อนแอมากๆ อายุมากจริงๆ หรือเป็นโรคร้ายแรง เช่น โรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็งขั้นลุกลาม ว่าไม่ควรฉีด ทว่านี่ก็เป็นเพียงรายงานในบางประเทศเท่านั้น ยังไม่ใช่การออกคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก สำหรับประชากรทั้งโลก สำหรับในไทยก็คงต้องติดตามข้อมูลจาก อย. เป็นรายวัน

            Q: การฉีดวัคซีน COVID-19 จะมีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่

          คุณหมอสมชัย: โดยปกติแล้วการฉีดวัคซีนเกือบทุกชนิด จะมีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยอยู่แล้ว ซึ่งเป็นอาการทั่ว ๆ ไปของอาการไข้หวัด เช่น มีไข้ มีอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดบริเวณที่ฉีด รวมถึงมีอาการอ่อนเพลีย ส่วนอาการข้างเคียงอื่นๆ หรือกับการแพ้วัคซีน ตามที่รายงานมาจะเจอได้ค่อนข้างน้อย ซึ่งโอกาสเกิดประมาณ 10-20 คน ในล้านคน เรียกได้ว่าไม่สูงมาก แตกต่างจากวัคซีนทั่วไปเล็กน้อย แต่หากในภาพรวมเกิดอันตรายหรือมีความเสี่ยงมากเกินไปเมื่อไร ทาง อย. หรือ FDA ก็น่าจะระงับการฉีดวัคซีน COVID-19 โดยทันทีครับ

            Q: แล้วจากข่าวที่มีผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน COVID-19 เกิดจากสาเหตุอะไร

            คุณหมอสมชัย: ประเด็นการฉีดวัคซีน COVID-19 แล้วทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงจนเสียชีวิตในคนสูงอายุ ในบางประเทศที่มีรายงานมา ถือว่ายังเป็นเรื่องเบื้องต้นมาก ๆ ซึ่งในบางแห่งมีรายงานว่าอาจเกิดโอกาสแพ้มากกว่าวัคซีนทั่วไป แต่ก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าการเสียชีวิตเหล่านี้ เกิดจากการฉีดวัคซีน COVID-19  โดยตรงหรือไม่ และเราต้องทำความเข้าใจว่า วัคซีนทุกชนิดแม้กระทั่งวัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ๆ ที่เราฉีดกันทุกปี มันมีโอกาสแพ้หรือแพ้รุนแรงเกิดขึ้นได้เสมอ แต่หากมองในภาพรวม “การฉีดวัคซีนถ้าสามารถทำได้ ย่อมดีกว่าการไม่ฉีดวัคซีนแน่นอนครับ”

            Q: ทำไมจึงต้องมีการฉีดวัคซีน COVID-19 “เข็มที่สอง”

            คุณหมอสมชัย: ที่จริงแล้ววัคซีน COVID-19  มีทั้งชนิดที่ฉีดเข็มเดียวและฉีด 2 เข็ม แต่วัคซีนที่เราทราบ ๆ กัน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นวัคซีนที่ต้องฉีด 2 เข็ม เหตุผลเพราะว่า “การฉีดเข็มที่สองจะเป็นการกระตุ้นภูมิที่มีอยู่แล้ว ให้มีสูงเร็วขึ้น” พูดง่าย ๆ คือการฉีดวัคซีนเข็มเดียวก็สามารถกระตุ้นภูมิได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่กว่าภูมิจะขึ้นสูงจนเรามั่นใจว่าป้องกันโรคได้จริง จะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ เพราะฉะนั้นการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง โดยทอดระยะเวลาออกไปประมาณ 4-6 สัปดาห์ จะช่วยกระตุ้นภูมิจากวัคซีนเข็มแรก ให้ขึ้นมาในระดับที่สูงพอที่จะป้องกันโรคได้เร็วขึ้นนั่นเอง

            Q: ในตอนนี้โรงพยาบาลพระรามเก้าพร้อมให้บริการฉีดวัคซีน COVID-19 แล้วหรือยัง

            คุณหมอสมชัย: สำหรับตัวโรงพยาบาลพระรามเก้าเอง เราอยู่ในขั้นเตรียมความพร้อม และเราก็กำลังรอไฟเขียวจากรัฐบาลหรือกระทรวงสาธารณสุขมากกว่า ซึ่งเมื่อไรที่ทางโรงพยาบาลพระรามเก้าได้รับไฟเขียว เราก็พร้อมดำเนินการให้บริการกับทุกคนในทันทีครับ

3D render of a medical background with virus cells

            แม้ในตอนนี้เราจะยังไม่รู้เวลาที่แน่นอน ว่าวัคซีนความหวังจะได้รับการฉีดโดยทั่วถึงเมื่อไร แต่ผู้เขียนเชื่อว่าข้อมูลสำคัญที่ได้จาก คุณหมอสมชัย และโรงพยาบาลพระรามเก้า ก็คงมากพอในระดับหนึ่ง ที่จะให้ทุกคนได้ทำการสำรวจตัวเอง ว่าพร้อมพอสำหรับการฉีดวัคซีนแล้วหรือยัง ? เมื่อพร้อมแล้ว เราก็มานั่งรอ “ไฟเขียว” จากรัฐบาลไปพร้อมๆ กันได้เลยครับ

ติดตามสอบข้อมูลวัคซีนเพิ่มเติมจากโรงพยาบาลพระรามเก้า ได้ที่

โทร.1270

Website: www.praram9.com

Line : https://lin.ee/vR9xrQs หรือ @praram9hospital