ลุงชื่น คิดค้นเครื่องจักรกลผลิตพลังงานไฟฟ้า ประหยัดกว่า 80เปอร์เซ็นต์พลังงานทดแทนไฟฟ้า มันสมองคนไทย

 ลุงชื่น ขวัญเมฆ ในวัย 76 ปี ได้คิดค้นเครื่องจักรกลผลิตพลังงานไฟฟ้า ลดค่าใช้จ่ายกว่า80% ด้วยมันสมองของคนไทยที่ใช้เวลานับ 10 ปี ในการคิดค้นชุดระบบเฟืองมาขับเคลื่อน ไดนาโม ขนาด 30 กิโลวัตต์ ด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาดเล็ก 13 แรงม้า มาทดแทนเครื่องยนต์ ดีเซล 6 สูบ ขนาด 200 แรงม้า เป็นเครื่องต้นแบบ และ”เป็นพลังงานทดแทน” ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมหาศาล

       สำหรับเครื่องจักรกลไฟฟ้าต้นแบบที่ลุงชื่น ได้คิดค้นด้วยการนำชุดระบบเฟืองและอุปกรณ์เสริมบางส่วน เข้ามาช่วยขับเคลื่อนจนสามารถปั่นไดนาโม ขนาด 30 กิโลวัตต์ ออกมาเป็นไฟฟ้า 220 วัตต์ นี้สามารถขยายให้มีขนาดใหญ่ปั่นไดนาโม ขนาด 100 กิโลวัตต์ 1,000 กิโลวัตต์ หรือเป็นพลังงานทดแทน ปั่นโรงงานผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ ได้ตามความต้องการอีกด้วย จึงนับเป็นการคิดค้นด้วยมันสมองของคนไทย ที่คนทั้งโลกได้พยายามคิดค้นและหาพลังงานทดแทน มาผลิตกระแสไฟฟ้า มาเป็นเวลานานแล้วอย่างต่อเนื่อง

       ลุงชื่น ได้กล่าวถึงวิธีการทำงาน ของเครื่องจักรกลไฟฟ้าที่ได้ทุ่มเทและใช้ความพยายามในการคิดค้นมานานนับ 10 ปี ตัวนี้ว่าตามปกติแล้วไดนาโม ขนาด 30 กิโลวัตต์ ต้องใช้เครื่องยนต์ ดีเซล ขนาด 6 สูบ 200 แรงม้า มาปั่นจึงจะสามารถผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า 220 วัตต์ออกมาได้ และเมื่อต้องปั่นไดนาโมตลอด 24 ชม. ทั้งวันทั้งคืนคิดเป็นค่าใช้จ่ายของน้ำมันดีเซล ไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 บาท/วัน แต่เมื่อได้คิดค้นระบบเฟืองเข้ามาช่วยในการขับเคลื่อน ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 13 แรงม้า ทั้งวันทั้งคืน ตลอด 24 ชม. เช่นเดียวกัน จะเสียค่าใช้จ่ายเพียง 500-600 บาท/วัน เท่านั้น 

         หลังจากได้คิดค้นและประกอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้นำมาทดลองใช้กับหลอดไฟฟ้า ขนาด 100 วัตต์ กว่า 40 ดวง หรือ ประมาณ 4,000 วัตต์ ตามคำแนะนำของวิศวกรสามารถให้แสงสว่างได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอไฟไม่ตก ไฟไม่กระตุกกระชากแต่อย่างใด และสามารถใช้กับเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ได้อย่างปกติ เช่นเดียวกัน

       ลุงชื่นยังได้กล่าวด้วยความมั่นใจอีกว่า เครื่องจักรกลปั่นไดนาโมไฟฟ้าเครื่องนี้ เป็นเพียง “เครื่องต้นแบบ” ของการคิดค้นเท่านั้น แต่ขอยืนยันว่าสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาใช้ได้จริง หรือจะนำไปขยายให้เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ ก็สามารถทำได้ พร้อมกับขอฝากให้หน่วยงาน ภาครัฐ หรือภาคเอกชน อาทิ กระทรวงพลังงาน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้นำมันสมองของคนไทยที่ได้คิดค้น ไปต่อยอดจากเครื่องต้นแบบนี้ ให้โลกรู้ว่านี่คือ “ภูมิปัญญาและมันสมองของคนไทย” ที่ได้คิดค้นขึ้นมา เพื่อเป็นพลังงานทดแทน ลดค่ากระแสไฟฟ้าให้คนไทยทั้งประเทศ ได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงอีกด้วย

สวนสัตว์เปิดเขาเขียวเตรียมกลับมาเปิดให้บริการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 นี้ พร้อมด้วยการคงเข้มมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา

นายอนุพงษ์ อนนท์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการสวนสัตว์ เปิดเขาเขียว รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า ทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเตรียมกลับมาเปิดให้บริการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นวันแรกหลังจากการประกาศงดเข้าชมในสวนสัตว์ชั่วคราว ตามมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19 พร้อมทั้งเตรียมโปรโมชั่นและกิจกรรมไว้มากมาย โปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับชาวชลบุรี ด้วยการลดค่าบัตรเข้าชมสวนสัตว์เฉพาะผู้ใหญ่ 20% เพียงแสดงบัตรประชาชนตัวจริงเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่านอย่างอบอุ่น พร้อมทั้งโปรโมชั่นสุดพิเศษ สำหรับการจองบัตรเข้าชมสวนสัตว์ผ่าน eventpop พร้อมสิทธิพิเศษลุ้นรับเสื้อ “ยีราฟแม่ลูกสุดน่ารัก” โดยเปิดให้จองบัตรตั้งแต่วันนี้ ถึง วันที่ 30 มิถุนายน 2564 จำกัดจำนวนเพียง 200 สิทธิ์เท่านั้น และยังมีโชว์จากสัตว์นานาชนิดภายในสวนสัตว์เปิดเขาเขียวให้ตื่นตาตื่นใจเช่นเดิม โชว์พาเหรดนกเพนกวินสายพันธุ์ฮัมโบลด์ โชว์ช้างว่ายน้ำจากบ้านช้างเอเชีย รับชมคุณแม่มะลิฮิปโปโปเตมัสที่อายุกว่า 55 ปี พร้อมฮิปโปโปเตมัสแคระ เจ้าหมูตุ๋น หนุ่มสุดฮอตขวัญใจนักท่องเที่ยวที่ Hippo’s House พร้อมทั้งน้องใหม่ ลูกยีราฟที่พึ่งคลอดในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาได้ที่โซน Africa Amazing รวมไปถึงสัตว์อีกหลากหลายสายพันธุ์ภายในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว

            นอกจากนี้ทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียวยังได้เตรียมมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) อย่างเข้มงวดเพื่อให้การควบคุมการแพร่ระบาดนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 038-3184444 หรือ www.kkopenzoo.com

SMART เผยทิศทางธุรกิจปี64 มองครึ่งปีหลังตลาดอิฐมวลเบาโตต่อเนื่อง ชูกลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ปั๊มยอดขาย ตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% ประมาณ 440 ล้านบาท

SMART เผยทิศทางธุรกิจปี 64 มองแนวโน้มครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก งานโครงการภาครัฐหนุน-ภาคเอกชน นิคมอุตสาหกรรม โครงการอสังหาฯ ทยอยลงทุน ชูกลยุทธ์ออกสินค้าใหม่อิฐมวลเบาตกแต่ง-ประหยัดพลังงาน ปั๊มยอดขาย พร้อมขยายช่องทางจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด ดีลเลอร์ทั่วประเทศ ขณะที่ตลาดต่างประเทศ มียอดสั่งซื้อต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% รายได้ 440 ล้านบาท หากโควิด-19 จบอย่างรวดเร็วในครึ่งปีแรก

นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง และงานกั้นผนังอาคารเปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจปี 2564 คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดีกว่าครึ่งปีแรก จากโครงการเมกะโปรเจคขนาดใหญ่ งานโครงการก่อสร้างอาคารภาครัฐ นโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ EEC ผลักดันให้เกิดการลงทุนก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้า และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทยอยลงทุนในโครงการใหม่  ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาปรับตัวดีขึ้น

สำหรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจ บริษัทมีแผนเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก ออกสินค้าใหม่อิฐมวลเบาตกแต่งเพิ่ม 2 ลายในปีนี้ จากเดิม 5 ลาย เนื่องจากมีกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า และยอดขายเติบโตต่อเนื่อง พร้อมผลักดันสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด ดีลเลอร์ ให้มากขึ้น และขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าใหม่ อาทิ ผู้รับเหมาต่างประเทศที่เข้ามาพัฒนาโครงการอสังหาฯ และก่อสร้างโรงงาน นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออก

 บริษัทยังมุ่งเน้นการทำตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ อิฐมวลเบาตกแต่งและประหยัดพลังงาน” ให้เป็นที่รู้จัก มากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline ) เพื่อกระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโต และสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียต่อเนื่อง              ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ งานภาครัฐอยู่ที่ 60 % ภาคเอกชน  38 %  และต่างประเทศ 2%  ขณะที่สัดส่วนรายได้แบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบา 94 % อิฐมวลเบาตกแต่ง 5 % และอื่นๆ 1 % สำหรับการขยายตลาดกลุ่มประเทศ CLMV บริษัทฯยังมีการส่งสินค้าไปจำหน่ายในประเทศกลุ่มนี้ เพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ  โดยมีกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดีและมีออเดอร์สั่งซื้อสินค้าต่อเนื่องจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเจรจาหาพันธมิตรเป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ 440 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% หากโควิด-19 จบอย่างรวดเร็วในครึ่งปีแรก

SUN ทุ่มงบซื้อที่ดิน 1,007 ไร่ สยายปีกกำลังการผลิตล็อตใหญ่

SUN ผู้ผลิตและส่งออกข้าวโพดหวานรายใหญ่ ภายใต้แบรนด์ “KC” ทุ่มงบ 125 ล้านบาท ซื้อที่ดิน 1,007 ไร่ ลุยพัฒนาโครงการขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพด

นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN เปิดเผยว่า แม้ทั่วโลกจะเผชิญกับสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ความต้องการด้านอาหารของตลาดโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อและยอดการส่งออกของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า การมีพื้นที่รองรับสำหรับเพาะปลูกวัตถุดิบข้าวโพดหวานและพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ ป้อนให้โรงงาน เป็นแนวทางหนึ่งซึ่งจะช่วยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจด้านเกษตรให้มีความมั่นคง และวัตถุดิบมีความสม่ำเสมอ

ตามมติกรรมการบริษัท ให้ดำเนินการซื้อที่ดินจาก นายยศเมธา จันทรวิโรจน์  จำนวน 224 แปลง เนื้อที่ 1,007 ไร่ 1 งาน 19 ตารางวา เป็นจำนวนเงิน  125,000,000 บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบห้าล้านบาท) พื้นที่ตั้งอยู่ ในตำบลทุ่งปี้ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ห่างจากโรงงานประมาณ 15 กิโลเมตร และอยู่ใกล้กับศูนย์การเรียนรู้ KC Farm ถือเป็นการลงทุนต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางวัตถุดิบ และขยายโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ

อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าว ยังมีความเหมาะสมในการพัฒนาเกษตรยุคใหม่ที่ทันสมัย รวมถึงการนำเทคโนโลยีการเกษตรมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการปลูก และใช้เป็นฐานในการต่อยอดธุรกิจด้านอาหาร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของกลุ่มบริษัทฯ และสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทฯ ต่อไปในอนาคต

MTC ออกหุ้นกู้ 2 รุ่น ระหว่างวันที่ 18-19 และ 22 ก.พ.64 นี้ รองรับแผนขยายพอร์ตสินเชื่อ หนุนธุรกิจติดปีก

MTC ผู้นำสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ของเมืองไทย ออกหุ้นกู้  2 รุ่น ขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ระหว่างวันที่ 18-19 และ 22 ก.พ.64  หุ้นกู้ อายุ 2 ปี 2 วัน อัตราผลตอบแทน 2.95 % ต่อปี  และหุ้นกู้ อายุ 3 ปี 19 วัน  อัตราผลตอบแทน 3.23 % ต่อปี  กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน (เว้นแต่ดอกเบี้ยงวดแรก) รองรับแผนขยายพอร์ตสินเชื่อ หนุนธุรกิจติดปีก “ปริทัศน์ เพชรอำไพ” มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ของ MTC เป็นอย่างดี เนื่องจากอัตราการเติบโตที่สม่ำเสมอ และผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นที่น่าพอใจ เผยอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ BBB+ โดยทริสเรทติ้ง ซึ่งเป็นระดับลงทุนได้หรือ Investment Grade

            นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC)  เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายงานข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) จำนวน 2 รุ่น ประกอบด้วย หุ้นกู้ อายุ 2 ปี 2 วัน อัตราผลตอบแทน 2.95 % ต่อปี และหุ้นกู้ อายุ 3 ปี 19 วัน  อัตราผลตอบแทน 3.23 % ต่อปี โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 18-19 และ 22 กุมภาพันธ์ 2564

            ทั้งนี้อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้อยู่ที่ BBB+ แนวโน้ม “คงที่”  ประเมินโดย ทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ครั้งนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายพอร์ตสินเชื่อ

            “มั่นใจว่าหุ้นกู้ของ MTC จะได้การตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนเช่นที่ผ่านมาทุกครั้ง เนื่องจากธุรกิจของ MTC มีอัตราการเติบโตที่สม่ำเสมอ แม้อยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สะท้อนผ่านอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BBB+ จาก ทริสเรทติ้ง แสดงให้เห็นถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกัน และฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ทั้งยังสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดี เสถียรภาพของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่เป็นไปตามเป้าเสมอ ตลอดจนแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ทั้งหมดนี้ทำให้สถานะสภาพคล่องของบริษัทฯ อยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้ปีที่ผ่านมา MTC ได้รับรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2020 สาขาความเป็นเลิศด้านการบริหารทางการเงิน ซึ่งจัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่า MTC มีความสามารถบริหารทางการเงินดีเด่น และเป็นที่ยอมรับจากผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจชั้นนำของประเทศ”

            MTC เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 4,798 สาขา (ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายของบริษัทที่จะขยายสาขาให้ถึง 4,700 แห่งภายในสิ้นปี 2563 ไปแล้ว) กระจายอยู่ใน 74 จังหวัดทั่วประเทศ มีกำไรสุทธิสำหรับงวดเก้าเดือนที่ 3,844 ล้านบาท มีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมที่ระดับ 1.06% ซึ่งอยู่ระดับเดียวกับสิ้นปี 2562 และมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ยังไม่เบิกใช้ จำนวนทั้งสิ้น 9,853 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอ บริการของบริษัทแบ่งเป็น 5 ธุรกิจได้แก่ ธุรกิจให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถ ธุรกิจให้บริการสินเชื่อที่มีโฉนดที่ดินและห้องชุด (คอนโด) เป็นหลักประกัน ธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล ธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ ธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ และธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย

            สำหรับผู้สนใจลงทุนสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้:

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ โทร. 02-111-1111

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ โทร. 02-626-7777

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ โทร. 02-888-8888 กด 819

บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ โทร. 02-165-5555

หมายเหตุ :   บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ

 การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน

“ไซมิส แอสเสท” เปิดแผนปี 64 รุกสู่ผู้นำอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรระดับประเทศ วางแผนเปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมกว่า 6 พันล้านบาท ตั้งเป้ารายได้แตะ 5-6 พันล้านบาท

‘บมจ.ไซมิส แอสเสท’ หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร กางแผนปี 2564 เดินหน้าเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 6 พันล้านบาท พร้อมประเมินสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ชี้มีผลกระทบระยะสั้น ส่วนด้านธุรกิจมองว่ามีปัจจัยบวก ทั้งการที่เริ่มมีวัคซีนเข้ามา และดอกเบี้ยต่ำเพราะค่าเงินบาทแข็ง ซึ่งจะช่วยเสริมให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น   พร้อมตั้งเป้ารายได้ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท รุกกระจายการลงทุนหลากหลาย ทั้งอสังหาฯ เพื่อเช่าและบริการห้องพัก โครงการ Branded Residence หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ NPA เพื่อนำมาพัฒนาต่อ พร้อมอยู่ระหว่างศึกษาแผนจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจ

                นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด ‘Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต’ เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในปี 2564 คาดว่าจะมีการแข่งขันสูงอย่างต่อเนื่อง โดย ผู้ประกอบการหลายบริษัทต้องปรับตัวและวางกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่ม Real Demand ที่เป็นผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจริง ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงการเพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย

                บริษัทฯ มุ่งเน้นพัฒนาโครงการบนทำเลที่มีศักยภาพ ตลอดจนสร้างความแตกต่างของโครงการในแต่ละทำเล ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และย่านศูนย์กลางธุรกิจใหม่ (New CBD) โดยมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญออกแบบโครงการ พร้อมนำนวัตกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มาใช้ เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับแต่ละโครงการ และยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี ให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อลงทุนในระยะยาว

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ คาดว่าจะมีผลกระทบในระยะสั้น อีกทั้งหากประเมินในเชิงธุรกิจ มองว่ายังมีปัจจัยบวก ทั้งการที่เริ่มมีวัคซีนเข้ามาและดอกเบี้ยต่ำลง หลังค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในปีนี้ 

                ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SA กล่าวว่า ในปี 2564 บริษัทฯ วางเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรระดับประเทศ โดยตั้งเป้ารายได้แตะ 5,000 – 6,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 7,300 ล้านบาท ในจำนวนนี้คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งมุ่งเน้นทำเลเกาะติดแนวรถไฟฟ้า และมี Real Demand ของผู้อยู่อาศัย ได้แก่ 1) โครงการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างการซื้อที่ดิน และการออกแบบโครงการ และ 2) โครงการ Blossom Condo @ Fashion 3 ย่านรามอินทรา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู มูลค่าโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท จะพัฒนาเป็น Mixed-use Real Estate ประกอบด้วย โรงแรม ห้องชุดพักอาศัย ห้องชุดแบบมีบริการให้เช่า พื้นที่เชิงพาณิชย์ และห้องประชุมโครงการ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ภายในไตรมาส 1/2564

                พร้อมกันนี้ บริษัทฯ มีแผนเข้าซื้อ NPA และนำมาพัฒนาต่อเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่โครงการอย่างต่อเนื่อง  เน้นทำเลใจกลางเมืองที่มีศักยภาพ เช่น โซนสุขุมวิท โดยมองว่าในช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเป็นโอกาสซื้อสินค้าทรัพย์ในราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้บริษัทฯ  วางแผนเพิ่มสัดส่วนทรัพย์สิน NPA ในทำเลดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าในอนาคต  

                ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SA กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ กระจายความเสี่ยงการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา โดยวางแผนธุรกิจแบบผสมผสานและยืดหยุ่นเพื่อขยายฐานรายได้ประจำ (Recurring Income)  ทั้งในรูปแบบอสังหาฯ เพื่อเช่าและบริการห้องพักแบบโรงแรม ปัจจุบันมีโครงการรูปแบบดังกล่าวในพอร์ตกว่า 1,000 ยูนิต ขณะเดียวกันได้พัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence โดยจัดตั้ง บริษัท ไซมิส แอนด์ คิว กรีน เมเนจเมนท์ คอมพานี ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นความร่วมมือกับกลุ่ม Kew Green Hotels เพื่อรองรับการบริหารธุรกิจโรงแรมโดยเฉพาะ ซึ่งจะนำบริการของโรงแรมชั้นนำระดับโลกหลากหลายแบรนด์ เช่น Wyndham, Ramada ,The Crowne Plaza by IHG ,Cassia by Banyan Tree  เข้ามาบริหารอาคารพักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุน ถือว่าเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ โดยตั้งเป้าดึงแบรนด์มีชื่อเสียงเหล่านั้นเข้ามาร่วมขยายโครงการรูปแบบ Branded Residence ตามพื้นที่ชานเมืองหรือจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้กระจายการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) เช่น ร้านกาแฟแบรนด์ Kafeology ร้านอาหารไทย Rosemary เป็นต้น ขยายการลงทุนในธุรกิจสปาและ Wellness Center รวมถึงอยู่ระหว่างศึกษาการจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เพื่อเข้าลงทุนในโครงการอสังหาฯ ที่มีรายได้จากค่าเช่า เช่น โรงแรม อาคารชุดพักอาศัยพร้อมบริการ (Serviced Residence) อาคารสำนักงานให้เช่า เป็นต้น เพื่อระดมทุนนำมาใช้ขยายธุรกิจ ซึ่งจะต้องประเมินความคุ้มค่าด้านผลตอบแทน

โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” INSET เป้า 4.16 บ. รับกระแส 5G และ WFH มาแรง-หนุนผลงานโตแกร่ง

กูรูหุ้นจาก บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น INSET ราคาพื้นฐานปี 64 ที่ 4.16 บาท มองโอกาสการเติบโตรออยู่ จากกระแส 5G และ WFH หนุนภาคเอกชนทุ่มเงินลงทุนด้านไอทีมากขึ้น ผลักดันผลงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ฟากผู้บริหาร “ศักดิ์บวร พุกกะณะสุต”ตั้งเป้ารายได้ปี 64 เติบโต 15-20% โชว์งานในมือแน่นกว่า 2 พันล้านบาท พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) (INSET) ราคาพื้นฐานปี 2564 อยู่ที่ 4.16 บาท จากโอกาสการเติบโตที่รออยู่คาดจะหนุนผลการดำเนินงานของ INSET มีแนวโน้มสดใส คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/63 อยู่ที่ 32 ล้านบาท  เติบโต 36.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 38.9% เทียบไตรมาสที่ผ่านมา

“กำไรสุทธิที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น 95.0% จากงานในมือที่มีอยู่หลักๆ ได้แก่ งานติดตั้ง Filter คลื่นความถี่ 850 MHz ของ CAT และงานก่อสร้างศูนย์ Data Center ของ KTBCS (บ.ในเครือของธนาคารกรุงไทย) แต่อาจถูกหักล้างบางส่วนจาก GPM ที่ลดลงจาก 16.0% ในไตรมาส 4/62 เป็น 14.2% จากการรับรู้งานโครงการขนาดใหญ่ที่มีมาร์จิ้นต่ำมีมากขึ้น เมื่อรวมกับกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 63 คาด INSET มีกาไรสุทธิปี 63 ที่ 134 ล้านบาท เติบโต 11.5% เทียบปีที่ผ่านมา”

นอกจากนี้ ยังมองว่าด้วยเทคโนโลยี 5G ที่กำลังจะเข้ามาบวกกับกระแสของการทำงานนอกสถานที่ (WFH) ที่มาแรงในปัจจุบัน คาดส่งผลให้ภาคธุรกิจหันมาลงทุนด้านไอทีมากขึ้น ซึ่งคาดเป็นบวกต่อลักษณะการประกอบธุรกิจของ INSET โดยล่าสุด บริษัทฯได้ลงนามสัญญาหลักว่าจ้างงานก่อสร้างและปรับปรุงสถานีโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ บริษัท ไวร์เออ แอนด์ ไวร์เลส จำกัด (เครือ TRUE) มูลค่า 250 ล้านบาท

ขณะที่นายศักดิ์บวร พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) (INSET) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 วางเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% จากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมีงาน Data Center และงานโทรคมนาคม (งาน 5G) เข้ามาอีกหลายโครงการ เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ทำให้ประชาชนที่ทำงาน WFM ต้องการใช้ Cloud เพิ่มสูงขึ้น และผู้ประกอบหรือองค์การต่างๆ มีความต้องการที่จะลงทุนขยาย Data Center กันมากขึ้นด้วยเช่นกัน รวมถึงเทรน 5G เทคโนโลยี ที่ในปีนี้ เป็นปีที่ทาง Operator ขยายการลงทุนโดยเฉพาะงานอัพเกรดอุปกรณ์ 5G ที่มีต่อเนื่องมาจากปีก่อน

โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 2,000 ล้านบาท และยังเดินหน้าหางานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต

SOLD OUT!! เชฟเบอร์เกอร์ 2 เมนูล่าสุดจาก A&W มาเท่าไหร่ก็หมด!!

เป็นปรากฏการณ์ใหม่แห่งวงการเบอร์เกอร์ กับ 2 เมนูใหม่จาก A&W ที่ออกวางจำหน่ายปุ๊บ Sold out ทันที ได้แก่ เมนู “Chef Burger” (เชฟ เบอร์เกอร์) สำหรับทั้งคนรักสายเนื้อต้องชิมWagyu Chef Burger เบอร์เกอร์ เบอร์พรีเมียมสุด ด้วยวัตถุดิบ ทั้งขนมปังบริยอช เนื้อวากิวจากออสเตรเลีย และเบค่อนคุณภาพพรีเมียม

อีกเมนู Pork Kurobuta Chef Burger ที่มีแพตตี้หมูที่มีส่วนผสมของคุโรบูตะ พร้อม Root Beer BBQ Sauce โดยทั้งสองเมนูรังสรรค์โดยเชฟจากฝรั่งเศส ที่ให้รสสัมผัสเหมือนทานเบอร์เกอร์ไฟน์ไดนิ่ง

เตรียมตัวพุ่งไปชิมลิ้มรสชาติเบอร์เกอร์สุดพรีเมียมจาก A&W ได้แล้ววันนี้ทุกสาขา

#อร่อยจนไม่อยากปล่อยให้พลาดซ้ำสอง

#AWthailand #ChefBurger

#WagyuChefBurger

#PorkKurobutaChefBurger

นิ่ม เอ็กซ์เพรส บริษัท Logistic สัญชาติไทย พร้อมลุยตลาด “Cold Chain” เน้นส่งด่วนราคาดี ภายใต้แนวคิด “Trust NiM Express”

นิ่ม เอ็กซ์เพรส เผยผลการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ปิดยอดขายอยู่ที่ 1,160 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนปี 2564 นี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,500 ล้านบาท เตรียมรุกตลาดขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการให้บริการแบบ Door to Door และการการันตีขนส่งแบบ Next Day มั่นใจด้วยคุณภาพบริการและโครงสร้างราคาที่เป็นมิตรจะทำให้การเติบโตเป็นไปได้ตามเป้าหมาย พร้อมเร่งสร้างแบรนด์ ภายใต้แนวคิด Trust NiM Express เผยลูกค้าสามารถใช้บริการได้ง่ายผ่านไลน์ @nimexpress และแอปพลิเคชั่น NiMExpress เล็งเพิ่มบริการขนส่งสินค้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษในเร็วๆ นี้

นายชาติชาย สุวิทย์ศักดานนท์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิ่ม เอ็กซ์เพรส จำกัด กล่าวว่า “นิ่มเอ็กซ์เพรส มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ที่ผ่านมามียอดขายอยู่ที่ 1,160 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า”

การเติบโตดังกล่าวฯ ส่วนหนึ่งมาจากการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมการขนส่งที่หลากหลาย และครอบคลุมพื้นที่การขนส่งทั่วประเทศ สำหรับในปี 2564 นี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,500 ล้านบาท โดยมีบริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) เป็นบริการสำคัญที่จะรุกตลาดมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาได้ทำการวางระบบ ทดสอบระบบ ลงทุนเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงรถควบคุมอุณหภูมิ จนในขณะนี้มีความพร้อมในการให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว โดยมีการทำโครงสร้างราคาและเงื่อนไขการให้บริการสินค้าควมคุมอุณหภูมิให้เป็นมิตรกับลูกค้า ราคาไม่แพงและเงื่อนไขไม่ซับซ้อน สามารถเข้าไปดูข้อมูลในเว็บไซต์ www.nimexpress.com หรือเพิ่มเพื่อนทาง LINE Official @nimexpress จะมีรายละเอียดสำหรับการส่งพัสดุทั้งหมด

“Cold Chain มีผู้ประกอบการให้บริการอยู่บ้าง แต่ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ แต่ในปัจจุบันนิ่มเอ็กซ์เพรสเองสามารถให้บริการจัดส่งได้ทั่วประเทศแล้ว เราจึงมุ่งมั่นที่จะให้บริการ Cold Chain อย่างจริงจัง และตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำให้บริการขนส่งควบคุมอุณหภูมิ Cold Chain”

ในตอนนี้นิ่มเอ็กซ์เพรสมีรถควบคุมอุณหภูมิที่พร้อมให้บริการจัดส่งได้ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการจัดส่งแบบ Next Day และยังสามารถเรียกเข้ารับพัสดุถึงบ้านได้ด้วยบริการ Door To Door โดยเลือกส่งได้ทั้งแบบแช่เย็น (Chill) และแบบแช่แข็ง (Freeze) มีการวางกลยุทธ์ในการทำการตลาดเน้นไปที่ด้านราคาเป็นการคิดค่าบริการในรูปแบบเดียวกัน คิดราคาแบบเหมาจ่ายคือ “คิดราคารวมต่อบิล” เมื่อส่งไปยังจุดหมายเดียวกัน ไม่ว่าจะส่งกี่กล่องก็ได้ ซึ่งมีค่าบริการเริ่มต้นเพียง 100 บาท

นายชาติชาย กล่าวว่า ปัจจุบันนิ่มเอ็กซ์เพรสมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ มีศักยภาพในการส่งพัสดุไม่ต่ำกว่า 200,000 ชิ้นต่อวัน และเรายังคงขยายเครือข่ายไปทั่วประเทศ เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้ามากขึ้น


เนื่องจากการเป็นบริษัทคนไทย เราจึงเน้นการเติบโตด้วยผลกำไรของเราเองด้วยเงินทุนที่มีอยู่ และด้วยธุรกิจนี้มีการเปรียบเทียบราคาของผู้บริโภคตลอดเวลา โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เราจึงพยายามขายในสิ่งที่เราทำได้ แต่ก็พร้อมที่จะปรับให้ตรงกับความต้องการ อย่างไรก็ตามเพื่อให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์มากที่สุด สามารถเปรียบเทียบราคาและค่าบริการได้อย่างตรงไปตรงมา ในปีนี้เราจึงได้ปรับโครงสร้างราคาค่าขนส่งใหม่ โดยมุ่งเน้นการคิดราคาตามน้ำหนักทุก 1 กิโลกรัม และยังคงให้บริการจัดส่งแบบ Next Day เช่นเดิม

“หลายคนอาจจะมองว่าธุรกิจขนส่งสินค้าด่วนที่มียอดขายขนาดนี้ถือว่าไม่มาก แต่สำหรับเราแล้วค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้ธุรกิจอีคอมเมิร์ชจะเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่บริษัทที่มีเจ้าของเป็นคนไทยซึ่งไม่ได้มีเงินทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ ทำให้เราไม่สามารถลงไปแข่งขันได้เต็มที่ในสงครามราคาที่เกิดขึ้น สงครามราคาในธุรกิจขนส่งสินค้าด่วนมีการตัดราคากันอย่างรุนแรง ผู้เล่นหน้าใหม่ ยังคงต้องการส่วนแบ่งทางการตลาด โดยไม่ได้คำนึงถึงกลไกด้านต้นทุนเหมือนแข่งกันขาดทุน ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายบริษัทที่ขาดทุนระดับหลายร้อยล้านบาท แต่มีเงินทุนสนับสนุนจากต่างประเทศจึงอยู่รอดได้ แล้วเมื่อคู่แข่งล้มตายไปก็ต้องกลับมาขึ้นราคาในที่สุด”

นายชาติชาย กล่าวว่า นิ่มเอ็กซ์เพรสตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้มาโดยตลอด และเราหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปสู่สงครามราคา เพราะราคามาตรฐานของเราถือได้ว่าเป็นราคาที่เป็นธรรมและค่อนข้างถูกที่สุดในตลาดอยู่แล้ว เพียงแต่คู่แข่งหั่นราคาจนต่ำกว่าต้นทุนจริง แต่อย่าลืมว่าราคาโดยส่วนใหญ่ที่คู่แข่งรายใหม่ๆ ใช้ในการโปรโมทเป็นราคาที่ใช้เวลาในการจัดส่ง 2-3 วัน แต่ของเราเป็นราคา Next Day จึงเป็นที่มาของวิสัยทัศน์ของบริษัทเรา “ไว้ใจนิ่มเอ็กซ์เพรส” หรือ “Trust NiM Express”

โดยได้เตรียมเริ่มนโยบายรับประกันการจัดส่งพัสดุแบบ SLA Guarantee เราจะเป็นผู้ให้บริการขนส่งด่วนรายแรก ที่รับประกันการจัดส่งพัสดุโดยคืนเงินค่าขนส่งหากไม่สามารถจัดส่งได้ตามกำหนดที่แจ้งไว้  หรือเรียกง่ายๆ ว่า “ส่งไม่ทัน คืนเงิน”


และในอนาคตอันใกล้ เราจะให้บริการขนส่งสินค้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น เครื่องดนตรี งานศิลปะ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิต และหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่านอกจากเราให้บริการจัดส่งสินค้าพัสดุทั่วไปแล้ว เรายังมีบริการขนส่งสินค้าที่ต้องการการติดตั้ง เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น

ในส่วนของช่องทางการใช้บริการ นอกจากจุดบริการที่มีทั้ง DC, Shop และ Drop Point ลูกค้ายังสามารถเรียกใช้บริการผ่านทาง LINE Official @nimexpress ในราคาที่แทบจะไม่ต่างจากการยกสินค้ามาส่งเองที่จุดบริการเลย นอกจากนั้นยังสามารถสะสมคะแนนเพื่อใช้แลกของรางวัล ใช้ในการติดตามสถานะสินค้า ฯลฯ ได้อีกด้วย ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกอยู่กว่า 60,000 ราย

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแอปพลิเคชั่น NiM Express เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีบริการทั้งหมดของเราแล้ว ยังเป็นตัวช่วยในการบันทึกประวัติการจัดส่งต่างๆ ได้อีกด้วย

นายชาติชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า เร็ว ๆ นี้ นิ่มเอ็กซ์เพรส กำลังจะมีโครงการ CSR ที่นอกเหนือไปจากการส่งพัสดุที่ต้องการบริจาคให้กับมูลนิธิกระจกเงาฟรีแล้ว เราจะทำโครงการส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าของคนไทยที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand) เพราะเราเห็นว่าทุกวันนี้ถึงแม้ตลาดอีคอมเมิร์ชจะเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่สินค้าส่วนใหญ่ล้วนมาจากต่างประเทศ ส่วนของดีที่ผลิตในประเทศไทยยังไม่เติบโตเท่าที่ควร เราเลยอยากทำโครงการในลักษณะนี้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการบริโภคสินค้าในประเทศและเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มากขึ้น

“นิ่ม เอ็กซ์เพรส มุ่งมั่นที่จะพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการของเราเป็นที่ถูกใจของตลาด ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย และเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วให้ได้มากที่สุด เราเป็นบริษัทเล็กๆ ของคนไทย เราจำเป็นต้องไม่อยู่นิ่ง เพราะเราไม่ได้มีเงินทุนที่จะไปสู้กับคู่แข่งในการตัดราคาได้ ถ้าทำแบบนั้นต่อไปคงไม่เหลือบริษัทขนส่งเอกชนสัญชาติไทยแท้ ทางเลือกเดียวของเรา คือ การพัฒนาบริการให้ดีที่สุด Trust NiM Express

กรมควบคุมโรค ร่วมกับ สปสช. เร่งผลักดันการดำเนินงานเพื่อยุติวัณโรคในประเทศไทย “ค้นให้พบ จบด้วยหาย” ด้วยการตรวจคัดกรองวัณโรคกลุ่มเสี่ยงสูงโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เร่งผลักดัน  การดำเนินงานเพื่อยุติวัณโรคในประเทศไทย ด้วยการตรวจคัดกรองในกลุ่มเสี่ยงสูงโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งคาดว่า    จะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคมนี้ โดยมีเป้าหมายลดอัตราป่วยวัณโรครายใหม่เหลือ 10 ราย ต่อประชากรแสนคน ในปี 2578 ด้วยกลยุทธ์ “ค้นให้พบ จบด้วยหาย” นำไปสู่เมืองไทยปลอดวัณโรค

วันนี้ (27 มกราคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันวัณโรค  ยังเป็นโรคติดเชื้อที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประเทศไทย จากรายงานวัณโรคของโลกปี 2563          (Global Tuberculosis Report 2020) ขององค์การอนามัยโลก พบว่า ประเทศไทยมีอัตราป่วยวัณโรครายใหม่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก 1.15 เท่า และมีผู้ป่วยที่ถูกตรวจพบและรายงาน (ร้อยละ 84) ของที่คาดประมาณเท่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงการที่ผู้ป่วยส่วนหนึ่ง เข้าไม่ถึงการรักษาหรือเข้าถึงล่าช้า ทำให้เชื้อแพร่กระจายไปในชุมชน พบอัตราป่วยวัณโรค ในประเทศไทยลดลงเพียงเล็กน้อยในแต่ละปี ดังนั้นในปี 2557 องค์การสหประชาชาติ จึงได้กำหนดให้การควบคุมและป้องกัน วัณโรคเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยุติวัณโรค (End TB Strategy) ตามองค์การอนามัยโลก(WHO) และแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านการต่อต้านวัณโรค ให้บรรลุเป้าหมายลดอัตราป่วยวัณโรครายใหม่ให้เหลือ 10 ราย ต่อประชากรแสนคนในปี 2578

            กรมควบคุมโรค ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เร่งผลักดันเพิ่มสิทธิประโยชน์       ในการตรวจคัดกรองวัณโรคด้วยวิธีการถ่ายภาพรังสีทรวงอก (CXR) และตรวจวินิจฉัยวัณโรคด้วยวิธีอณูชีววิทยา (Molecular assay) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใน 7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1. ผู้สัมผัสร่วมบ้านหรือผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรคปอด 2. ผู้ต้องขังในเรือนจำ ผู้อาศัยในสถานคุ้มครอง และพัฒนาคนพิการหรือสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 3. ผู้ติดเชื้อเอชไอวี 4. ผู้ป่วยโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง อาทิ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง หรือได้รับ  ยากดภูมิคุ้มกัน 5. ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี ที่สูบบุหรี่ หรือมีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) หรือโรคเบาหวานร่วมด้วย       6. ผู้ใช้สารเสพติด ติดสุราเรื้อรัง และ 7. บุคลากรสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาผู้ป่วยวัณโรคอย่างทั่วถึงและครอบคลุม รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของการคัดกรองวัณโรค    ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ลดปัญหาการแพร่ระบาดวัณโรค และสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยวัณโรค    ในประเทศไทย โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคม 2564 นี้

            นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันดำเนินการเพื่อให้อัตราอุบัติการณ์วัณโรคของประเทศไทยลดลงจาก 171 ราย ต่อประชากรแสนคนในปี 2557 ให้เหลือ           10 ราย ต่อประชากรแสนคนภายในปี 2578 มาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้กลยุทธ์ “ค้นให้พบ จบด้วยหาย” ในการค้นหาผู้ป่วยวัณโรคให้เข้าสู่ระบบให้เร็วที่สุดตลอดจนดูแลรักษาให้หายจากวัณโรค เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนรอบข้าง ส่งผลต่อการลดจำนวนผู้ป่วยวัณโรค แต่การลดอัตราป่วยวัณโรครายใหม่ลงจะทำได้สำเร็จ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การยุติวัณโรคเพื่อให้เมืองไทยปลอดวัณโรค สอบถามเพิ่มเติมได้ที่      สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422