เฮเฟเล่ จัดแคมเปญต้อนรับเทศกาลกินเจ จัดโปรโมชั่นชุดเครื่องครัวเฮเฟเล่ลดสูงสุด 60 %

เฮเฟเล่ จัดแคมเปญต้อนรับเทศกาลกินเจ อิ่มบุญกับโปรโมชั่นชุดเครื่องครัวเฮเฟเล่
ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ในห้องครัว เพื่อคุณพ่อบ้านและคุณแม่บ้าน ได้เข้าครัวเตรียมอาหารเจหรืออาหารมังสาวิรัติอร่อยๆ แบบไม่จำเจได้ที่บ้าน รวมผลิตภัณฑ์ชุดเครื่องครัวมาลดราคามากมาย อาทิ ชุดมีดชุดกระทะ กาต้มน้ำร้อน หม้อทอดไร้น้ำมัน เครื่องสกัดน้ำผลไม้ และอุปกรณ์เครื่องครัวอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมให้โปรโมชั่นสุดพิเศษลดสูงสุดกว่า 60% เพิ่มความคุ้มให้ทุกการช้อปปิ้ง ด้วยโค้ดส่วนลดพิเศษจากเฮเฟเล่ “HFLJFEST” รับส่วนลดเพิ่มอีก 200 บาท เมื่อช้อปขั้นต่ำครบ 1,500 บาท และยังจัดส่งฟรีทั่วประเทศ เมื่อช้อปขั้นต่ำครบ 2,000 บาท นอกจากนี้ยังได้คูปองร่วมแคมเปญ บินลัดฟ้า เชียร์บาเยิร์น มิวนิก ปี 2 ให้คุณได้ลุ้นโชคใหญ่อีกหนึ่งต่อด้วย โปรโมชั่นเทศกาลกินเจนี้ลดตั้งแต่ วันนี้ ถึง 25 ตุลาคม 2563 นี้ ช้อปสินค้าได้ที่ https://www.hafelehome.co.th หรือคลิก  https://bit.ly/3nP6mTa

3 Startups ชื่อดัง Tofusan / Meat Avatar / PenquinEatShabu ชวนคุณร่วมแบ่งปันให้น้องๆ ผ่านโครงการแด่น้องผู้หิวโหย มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก ในช่วงเทศกาลเจตั้งแต่ 16 ตุลาคมนี้เป็นต้นไปผ่าน Application Lineman “Avatar Kitchen”

เนื่องในโอกาสเทศกาลกินเจในปีนี้ สามสตาร์ทอัพชื่อดัง ร่วมกันจัดเมนูอาหารแพลนต์เบสฟู้ด Avatar Kitchen Set Menu ชุดอิ่มไปด้วยกันจาก Avatar Kitchen ครัวพิเศษระบบ Cloud Kitchen ที่บริหารงานโดย PenquinEatShabu พร้อมเสริฟด้วยเนื้อจำแลงเหมือนจริงที่ผลิตจากพืช (Plant-Based Meat) แบรนด์ “Meat  Avatar” นวัตกรรมอาหาร plant-based หรือเนื้อสัตว์จากพืชดีที่สุดของไทย ผนึกกำลังกับ Plant Milk นมถั่วเหลืองระดับพรีเมี่ยมชื่อดัง โทฟุซัง (Tofusan)

นับเป็นการร่วมกันทำการตลาดอาหารเพื่อสุขภาพร่วมกันเป็นครั้งแรกของสตาร์ทอัพชื่อดังทั้งสาม ด้วยเทรนด์การทานอาหารเพื่อสุขภาพในกลุ่มคนรุ่นใหม่ กำลังเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น ซึ่งนวัตกรรมอาหาร Plant-Based Meat / Plant Milk ตอบโจทย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการนำโปรตีนจากพืชมารังสรรค์อาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ปรุงแต่งให้มีรสชาติ เนื้อสัมผัสและกลิ่นใกล้เคียงเนื้อสัตว์ ซึ่งใช้วัตถุดิบคัดสรรคุณภาพดีและใส่ใจต่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคเป็นสำคัญ

โดยแคมเปญ “อิ่มไปด้วยกัน” พร้อมบริการความอร่อย ตั้งแต่ 16 ตุลาคมนี้เป็นต้นไปผ่าน Application Lineman ”Avatar Kitchen” โดยให้บริการครอบคลุมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยทาง Avatar Kitchen ได้ให้เชฟชื่อดังทั่วประเทศรังสรรค์เมนูพิเศษ Plant-Based Meat Menu สำหรับเทศกาลเจปีนี้ โดยเสิร์ฟอาหารสไตล์ฟิ่วชั่นรังสรรค์ด้วยวัตถุดิบเนื้อ Plant-Based หรือ เนื้อจำแลง คุณภาพระดับพรีเมี่ยมจากแบรนด์  “Meat  Avatar” (มีท อวตาร) โดยมีเมนูรวมทั้งหมดกว่า 10 เมนู ตัวอย่างเช่น  โจ๊กหมุ Meat Avatar, ขนมจีนเส้นหมี่+น้ำยา Meat Avatar, ผัดหมี่ฮ่องกง, ข้าวหน้ากะเพราหมูกรอบจำแลง, สปาเก็ตตี้ขี้เมาหมูสับ Meat Avatar, และคะน้าหมูกรอบจำแลง เป็นต้น โดยในแต่ละเซ็ทเมนูจะมีน้ำเต้าหู้โทฟุซัง (Tofusan) นมถั่วเหลือง Plant-Based Milk ระดับพรีเมี่ยมอยู่ในทุกเซ็ท ซึ่งเป็นการนำเสนอความหลากหลายของอาหารที่ลงตัวด้วยรสชาติดีเยี่ยม

สำหรับแบรนด์ “Meat  Avatar” เป็นแบรนด์นวัตกรรมอาหาร Plant-Based เจ้าดังของไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเป็นผู้นำด้านอาหาร Plant-Based คุณภาพดีสู่ตลาดอาหาร ซึ่งผลิตภัณฑ์เนื้อ Plant-Based ภายใต้แบรนด์ “Meat  Avatar” มีสินค้าด้วยกันทั้งหมด 2 โปรดักซ์ ได้แก่ หมูกรอบและหมูสับจำแลง  ซึ่งผลิตภัณฑ์เนื้อ Plant-Based จากแบรนด์ “Meat Avatar” คือการแปลงร่างวัตถุดิบจาก พืช ผัก อาทิ ธัญพืช, ถั่วลันเตา, ถั่วเหลือง,แครอท, ฟักทอง, บีทรูทและเห็ด เป็นต้น มาผลิตเป็นเนื้อจำแลงที่เต็มไปด้วยคุณภาพผ่านการรับรองตามมาตรฐาน สามารถนำไปปรุงอาหารแทนเนื้อสัตว์จริงได้ตามต้องการ

มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแบ่งปันและเปิดประสบการณ์ลิ้มรสอาหารจากเชฟชื่อดังที่ Avatar Kitchen ได้แล้ววันนี้ที่ Lineman “Avatar Kitchen” ทั่วทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล สามารถสอบถามข้อมูลบริการเพิ่มเติมได้ที่ Line: @MeatAvatar / Facebook.com/MeatAvatar

เฮเฟเล่ ชวนมอบความห่วงใย ส่งต่อถึงคนที่คุณรัก ไปกับ Elder Care Product ของขวัญแทนความรู้สึกพิเศษ ในงาน “Intercare Asia 2020” 15-17 ต.ค. นี้ ที่ ไบเทค บางนา

เฮเฟเล่ ชวนคนรักบ้านมอบความห่วงใย ส่งมอบของขวัญดีๆ แทนทุกความรู้สึกพิเศษ ผ่านไปกับ “Elder Care Product ผลิตภัณฑ์เพื่อผู้สูงอายุ” นวัตกรรมเพื่อบ้านและอาคารของทุกชีวิต ความหมายใหม่แห่งการเติมเต็มพื้นที่ในทุกตารางเมตร ด้วยคำนึงถึงความปลอดภัย ความสะดวกสบาย ให้ความคุ้มค่าที่มากกว่าใคร พร้อมเอ่ยคำเชิญกุมมือคนที่คุณรัก มาสัมผัสกับบรรยากาศขั้นกว่าของความใส่ใจ ในงาน “Intercare Asia 2020” พื้นที่แรงบันดาลใจเพื่อชีวิตที่สะดวกและปลอดภัยของผู้สูงวัย

พบกับนวัตกรรมคุณภาพมาตรฐานจากเยอรมนี ตั้งแต่ทางเข้าถึงใจกลางบ้าน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Complete Building Solutions อุปกรณ์ครบ จบทุกเรื่องงานอาคาร” ไม่ว่าจะเป็น Automatic Sliding Door ระบบประตูเปิด-ปิดอำนวยความสะดวก เซ็นเซอร์อัตโนมัติ, Grab Bar อุปกรณ์มือจับไนลอนซีรีส์ เพื่อการทรงตัวและพยุงตัวในห้องน้ำ, Smart Sanitary Ware สุขภัณฑ์อัจฉริยะ ก็อกน้ำระบบเซ็นเซอร์ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคตแบบไร้สัมผัส, Sensor Lights ไฟแสงสว่างระบบเซ็นเซอร์ ลดการเกิดอุบัติเหตุ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ กับ “Hoppe SecuSan” มือจับประตูคุณสมบัติยับยั้งการเติบโตของเชื้อโรคและแบคทีเรียถึง 99.9% และผลิตภัณฑ์อื่นๆ พร้อมคำแนะนำการออกแบบ-เลือกใช้อุปกรณ์เพื่อคนที่คุณรัก จากผู้เชี่ยวชาญ

เติมความห่วงใยพร้อมกันในงาน “Intercare Asia 2020”ณ บูธ เฮเฟเล่ ฮอลล์ EH101 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 15–17 ตุลาคม 2563 นี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-768-7171 หรือ https://www.hafelethailand.com/

กู๊ดเยียร์ มอบยางกู๊ดเยียร์ คาร์โก้ แมกซ์ ให้แก่โรงพยาบาลศิริราช เสริมความปลอดภัยให้รถพยาบาล

บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มอบยางรุ่นกู๊ดเยียร์ คาร์โก้ แมกซ์ ให้แก่ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อใช้ในงานรถพยาบาล รวมมูลค่า 100,000 บาท โดยมี  รศ.นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช และ ผศ.นพ.ธารา วงศ์วิริยางกูร รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เป็นผู้แทนรับมอบ การมอบยางครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในแคมเปญ Goodyear Goodcare ที่จัดทำขึ้นเพื่อส่งมอบความห่วงใยและคืนกำไรสู่สังคม โดยยางรุ่นนี้เป็นยางระดับพรีเมี่ยม ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานในรถกระบะและรถตู้โดยเฉพาะ มีความโดดเด่นในเรื่องความปลอดภัย การบรรทุก และอายุการใช้งานที่ยาวนาน

ก่อนหน้านี้ กู๊ดเยียร์ได้มอบยางรุ่นคาร์โก้ แมกซ์ ให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ในหลายภูมิภาค ได้แก่ โรงพยาบาลท่าสองยาง จังหวัดตาก โรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี โรงพยาบาลปากช่องนานา จังหวัดนครราชสีมา โรงพยาบาลแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี

โดยกู๊ดเยียร์ได้บริการเปลี่ยนยางให้แก่โรงพยาบาลที่ต้องการเปลี่ยนยางฟรี ผ่านร้านตัวแทนจำหน่าย Goodyear Autocare เพื่อให้ได้มาตรฐานในการเปลี่ยนยางและเช็คยางที่เหนือระดับ


“การส่งมอบความห่วงใยในครั้งนี้เป็นกิจกรรมหลักภายใต้แคมเปญ Goodyear Goodcare โดยกู๊ดเยียร์ให้ความสำคัญกับงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมซึ่งเปรียบได้กับดีเอ็นเอของกู๊ดเยียร์ เราใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่เราดำเนินธุรกิจในทุก ๆ พื้นที่ทั่วโลก“  มร.ลูก้า เครปาโชลี่ กรรมการผู้จัดการกู๊ดเยียร์ ประเทศไทย  กล่าว ยางกู๊ดเยียร์ คาร์โก้ แมกซ์ เป็นยางรุ่นใหม่ ที่ผลิตมาเพื่อรถตู้และรถกระบะโดยเฉพาะ มีคุณสมบัติที่โดดเด่นในเรื่องของความทนทาน และใช้งานได้ยาวนานกว่าถึง 20% โดยยางรุ่นนี้มีโครงสร้างยางแบบใหม่ ด้วยเทคโนโลยี แม็กซ์ โหลด (MaxLoad) เพิ่มขีดความสามารถในการรับน้ำหนัก เหมาะกับสภาพถนนในประเทศไทย พร้อมทั้งมีการออกแบบหน้ายางและปรับปรุงเนื้อยางสูตรพิเศษ ที่ช่วยลดการสึกหรอ และเพิ่มอายุการใช้งานให้ยาวนานมากกว่าเดิม  อีกทั้งยังรักษาคุณสมบัติด้านการยึดเกาะบนถนนเปียก รีดน้ำได้ดีเหมาะกับฤดูฝนของประเทศไทย

เรเซอร์ ต่อยอดนวัตกรรม โคมไฟอัจฉริยะสั่งการด้วยเสียง เรเซอร์ ต่อยอดนวัตกรรม โคมไฟอัจฉริยะสั่งการด้วยเสียง ‘AI Lamp Voice Control’ โคมไฟยุคใหม่ ใช้..เสียงสั่งแสง รุกตลาดสมาร์ทโฮม

เรเซอร์ (RACER) ผู้นำนวัตกรรมด้านการส่องสว่างของไทย ยาวนานกว่า 50 ปี ร่วมเปิดประสบการณ์ผู้บริโภค กับโคมไฟอัจฉริยะสั่งการด้วยเสียง “Racer AI Lamp Voice Control” เหนือกว่าโคมไฟธรรมดา สามารถเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศ IOT ในแอปพลิเคชั่น Racer Smart Pro” ที่สามารถควบคุมการเปิด-ปิด, การปรับเพิ่ม-ลดแสดง การเปลี่ยนสีของแสงทั่วไป และโหมดแสง RGB ให้โทนสีหลากหลายเฉดสี  ด้วยการสั่งผ่าน 16 ชุดคำสั่งเสียง มาพร้อมเสียงตอบรับของ พรีเซนเตอร์คนล่าสุด ‘ใบเฟิร์น – พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์’ ในงาน  Baan & beyond Expo 2020

มร.ก๊ก ฟาง ฉั่ว (Mr. Kwok Fang Chua)  ซีอีโอ  บริษัท เรเซอร์การไฟฟ้า (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า ‘Racer AI Lamp Voice Control’  โคมไฟอัจฉริยะสั่งการด้วยเสียง หนึ่งในเทคโนโลยีของ เรเซอร์ ผู้นำแถวหน้าในธุรกิจการส่องสว่าง ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ภายใต้ แบรนด์ Racer ที่ได้รับการยอมรับในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการบริการ ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมสินค้าใหม่มีมาตรฐานระดับสากล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี  ‘Racer AI Lamp Voice Control’  มีจุดเด่นด้วยระบบ ‘AI Voice Control’  สั่งการด้วยภาษาไทยหลากหลายสำเนียงได้ถึง 16 ชุดคำสั่ง และปรับสถานะของแสงสว่างได้หลากหลาย ตอบสนองความต้องการแต่ละ Life Style ได้อย่างลงตัวตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยในเวลากลางคืน และพฤติกรรมของกลุ่มคนเมืองที่ชอบความสะดวกสบาย

‘Racer AI Lamp Voice Control’  ได้พัฒนาและเพิ่มความโดดเด่นของเสียงตอบรับ ด้วยการใช้เสียง ‘ใบเฟิร์น – พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์’ มาเป็นเสียงตอบรับใน AI Lamp รุ่นใหม่ จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น Sapphire, Crystal และ รุ่น Top Luxury โดยเสียงตอบรับของโคมไฟแต่ละรุ่น สามารถเปลี่ยนเสียงตอบรับได้รุ่นละ 2 สไตล์ ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป เพื่อตอบสนองต่อ Life Style ของผู้ใช้ รวมถึงสร้างบรรยากาศของเสียงตอบรับที่ให้อารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบเสียง Siam Style เสียงตอบรับมาตรฐานที่มีใน AI Lamp ทุกรุ่น ให้ความไพเราะ น่าฟังในรูปแบบของความเป็นไทย, รูปแบบเสียงNick Name ในรุ่น Sapphire ให้น้ำเสียงของใบเฟิร์นแบบส่วนตัว ให้ความรู้สึกเหมือนมีใบเฟิร์นอยู่กับเราตลอดเวลา , รูปแบบเสียง Buddy ในรุ่น Crystal ให้น้ำเสียงของใบเฟิร์นแบบเพื่อนสนิท ซึ่งจะคอยเตือนกันบ้างในบางเวลา และรูปแบบเสียง V.I.P ในรุ่น Luxury ให้น้ำเสียงของใบเฟิร์นแบบผู้ช่วยส่วนตัวในบ้านหรือที่ทำงาน ให้ความรู้สึกสุด Exclusive กับผู้ครอบครองโคมไฟ

นอกจาก “เรเซอร์” เป็นผู้นำด้านนวัตกรรม และอุปกรณ์สองสว่างแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ ความปลอดภัย คือ Consumer Unit หรือตู้ไฟเบรกเกอร์ ซึ่งมีแบบ Premium Set ครบชุดพร้อมเบรกเกอร์กันดูด รูปทรงสวยงามเหมาะกับบ้านยุคใหม่ และรับประกันถึง 20 ปี และยังมีตู้เบรกเกอร์ครบชุด Complete Set และ Hybrid Set ซึ่งมีหลากหลายความต้องการตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยให้กับบ้านยุคใหม่ ภายใต้ Concept “ตัดไว ปลอดภัย หายห่วง” มร.ก๊ก ฟาง ฉัว กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจสามารถหาซื้อได้ที่ห้างวัสดุก่อสร้างชั้นนำทั่วประเทศ   และ   ช่องทางออนไลน์ชั้นนำ และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่  www.facebook.com/racerlighting

ไลอ้อน ประเทศไทย บุกตลาดสินค้าต้านโควิด-19 ดูแลสุขอนามัยด้วย “Look” สเปรย์ฆ่าเชื้อโรค

บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย ลุค (Look) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นบ้าน ห้องครัว และห้องน้ำ ล่าสุดบุกตลาดผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคสำหรับพื้นผิวอเนกประสงค์ ป้องกันเชื้อไวรัสและเชื้อโรคต่าง ๆ รวมถึงเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด-19 ช่วยให้ทำความสะอาดทุกพื้นผิวภายในบ้านได้อย่างมั่นใจ ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ห่วงใยสุขอนามัยของตนเองและคนในครอบครัว

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขอนามัยของตนเองและครอบครัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งคันทาร์ (Kantar) ผู้นำด้านข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาดระดับโลกได้เปิดเผยข้อมูลงานวิจัยว่า คนไทยรู้สึกถึงภัยคุกคามจากโควิด-19ทำให้เกิดความกังวลและมีพฤติกรรมในการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนไป โดยผู้บริโภคได้มองหาสินค้าที่จำเป็นที่จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมแห่ง “ความปลอดภัย” เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ “การฆ่าเชื้อโรคด้วยตัวเอง” สำหรับใช้งานส่วนตัวและภายในบ้านมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสต่าง ๆ  ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน มีการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสินค้าประเภทแอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อโรค เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด ซึ่งผลิตภัณฑ์ลุค สเปรย์ฆ่าเชื้อโรคสำหรับพื้นผิวอเนกประสงค์ลุค จัดว่าอยู่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีความกังวลในเรื่องของโรคโควิด-19

ผลิตภัณฑ์ “ลุค” สเปรย์ฆ่าเชื้อโรคสำหรับพื้นผิวอเนกประสงค์ เป็นสเปรย์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเชื้อโรคตามพื้นผิววัสดุต่าง ๆ โดยมีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์สูงถึง 80% และสารอัลคิลไดเมทิลแอมโมเนียมคลอไรด์ 0.5% สามารถป้องกันโรคโควิด-19 ได้* อ้างอิง ตามที่องค์กรอนามัยโลกแนะนำ  ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพจากองค์การอาหารและยา (อย.) สามารถใช้ได้ทั้งในสถานพยาบาล บ้านพักอาศัย ที่ทำงาน สถานรับเลี้ยงเด็ก และที่อยู่ของสัตว์เลี้ยง ซึ่งใช้ได้กับทุกพื้นผิวได้อย่างมั่นใจ เช่น พื้น ฝาผนัง โต๊ะทำงาน เครื่องสุขภัณฑ์ และในรถยนต์ เป็นต้น พร้อมกลิ่นเฟรช ฟลอรัล ที่ช่วยดับกลิ่นไม่พึงประสงค์  วางจำหน่ายที่ Food Land, Tsuruha, UFM Fuji และ Tops หรือสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ที่ Lion shop

online: https://www.lionshoponline.com/th/look-multi-spray.html
Lazada: https://www.lazada.co.th/-i1544106442-s4119468906.html
Shopee: https://bit.ly/3mllw1I
JD central: https://www.jd.co.th/product/10242045.html

MyCloudFulfillment รับเงินลงทุน 2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายธุรกิจ รับช้อปปิ้งออนไลน์โต พร้อมเตือน 3 สิ่งควรระวัง เพื่อให้ร้านค้าอยู่รอดในโลกอีคอมเมิร์ซแห่งอนาคต

MyCloudFulfillment พร้อมก้าวสู่ความเป็น 1 ด้าน Fulfillment ในระดับอาเซียน (ASEAN) และเตรียมเข้าสู่ The future of commerce ชี้การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจออนไลน์จากวิกฤตโควิด19 (New Normal) และทิศทางการขายในโลกอนาคต (New Future) หรือ Data Commerce พร้อมทั้งเผยให้เห็นว่าประเทศไทยอยู่ในจุดที่หอมหวานในการประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตาม ได้ส่งสัญญานเตือน 3 ข้อที่ธุรกิจต้องทำความเข้าใจ และเตรียมรับมือเพื่อให้อยู่รอดในโลกอีคอมเมิร์ซในอนาคต พร้อมประกาศรับเงินลงทุน Series A มูลค่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากผู้ลงทุน ได้แก่ ECG-RESEARCH, Gobi Partners, NVest Venture และ SCB 10X โดยมีเป้าหมายที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปพัฒนาระบบการจัดการด้านข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศ

MyCloudFulfillment บริษัทคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร ผู้ให้บริการ Fulfillment ที่มาพร้อมกับระบบจัดการออเดอร์ (OMS) และระบบจัดการคลังสินค้า (WMS) ช่วยร้านค้าจัดการ เก็บ แพ็ค ส่งสินค้า และเชื่อมต่อ API เข้ากับช่องทางการขายต่าง ๆ ได้แบบอัตโนมัติ (API Lazada, Shopee, etc.)  ด้วยรูปแบบบริการที่ยืดหยุ่น มีบริการแพ็คสินค้า ที่สามารถ customize ได้ตามต้องการ เช่น แพ็คแบบพิเศษ QCสินค้า จัดเซ็ท เพิ่มมูลค่าสินค้าที่มากกว่าแค่ รับแพ็คสินค้าทั่วไป อีกทั้งยังช่วยจัดการSupply Chain จัดการคำสั่งซื้อ และ นำข้อมูลการขายมาใช้เป็นข้อมูลวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจได้ เผยว่า บริษัทมี SKU ในระบบมากกว่า 100,000 SKUs, มียอดออเดอร์สูงสุดต่อวันถึง 50,000 ออเดอร์, โดยที่ออเดอร์เติบโตขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 6 เท่า และ ภายในครึ่งปีที่ผ่านมามีมูลค่าซื้อขายสินค้าผ่านคลังกว่า 500 ล้านบาท

นายนิธิ สัจจทิพวรรณ กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง MyCloudFulfillment บริษัท อี-เอ็มพาวเวอร์เมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันแนวโน้มตลาดซื้อขายสินค้าออนไลน์ หรือ อีคอมเมิร์ซทั่วโลก ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Statista คาดการณ์ปี 2563 มูลค่าตลาดทั่วโลกจะอยู่ที่ 75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปี 2562 มีจำนวนผู้ใช้งานมากถึง 3,468 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.6% จากปี 2562 เช่นกัน

ทั้งนี้ ความน่าสนใจในตลาดอีคอมเมิร์ซ คือรายได้ของทั่วโลกในปี 2563 มาจากภูมิภาคเอเชียมูลค่าอยู่ที่ 45 ล้านล้านบาท เติบโต 29% จากจำนวนผู้ใช้ถึง 2,133 ล้านคน คิดเป็น 61.5% ของผู้ใช้ทั่วโลก สะท้อนขนาดตลาดที่ใหญ่สุดในโลก หากมองเจาะลึกลงไปในภูมิภาคเอเชีย ยังพบว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่มูลค่าอีคอมเมิร์ซเติบโตสูงสุดถึง 44%  ซึ่งมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะอยู่ที่ 2แสนล้านบาท โตขึ้นมาถึง 42% จากปีที่แล้ว โดยตลาดที่มีกำลังซื้อ คนมีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงอันดับหนึ่ง ได้แก่ คนอินโดนีเซีย มีอัตราการใช้จ่ายผ่านอีคอมเมิร์ซต่อผู้ใช้ต่อปีที่ 219 เหรียญสหรัฐ คิดเป็น 6,856 บาทต่อคนต่อปี และที่รองลงมาก็คือ คนไทย 215.67 เหรียญสหรัฐ คิดเป็น 6,752 บาทต่อคนต่อปี แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังมีอัตราคาดการณ์ของการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ต่ำกว่าอินโดนีเซียอยู่มาก  นั่นหมายความว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเป็นตลาดที่ คนมีกำลังซื้อ และ ยังขยายได้อีกมากในอนาคต

 “ตลาดการซื้อขายสินค้าออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ถือว่าอยู่ในจุดที่เรียกว่า Sweet spot คือไม่ใช่จุดที่ดีที่สุด แต่เราอยู่ในจุดที่หอมหวานที่สุด คนไทยชื่นชอบและนิยม การซื้อสินค้าออนไลน์ ใช้จ่ายเฉลี่ยใกล้เคียงกับผู้บริโภคชาวอินโดนีเซีย แต่เทียบประชากรเราแล้ว การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเราต่ำกว่า จึงสะท้อนว่าโอกาสทางการตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยยังมีอีกมหาศาล ในอนาคตจะมีผู้คนเข้ามาโลกออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าหน้าใหม่ยังเกิดใหม่เรื่อยๆ หากผู้ประกอบการต้องการลงทุน ขยายตลาดช่องออนไลน์ ต้องดำเนินการตอนนี้เลย” 

อีกทั้ง นายนิธิ สัจจทิพวรรณ ยังเล่าให้ฟังว่าธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ โควิดจนถึงตอนนี้ และ จะเติบโตต่อไปอีกในอนาคต คือ อุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มที่ผ่านการบรรจุภัณฑ์, อุปกรณ์ที่ใช้ภายในบ้าน และ ผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก สืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของผู้ซื้อ (New normal) และ จากกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ที่เข้ามาทดลองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งติดใจกับการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วนธุรกิจที่น่าจับตามองคือ ความงามเครื่องสำอาง,ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย, และ ธุรกิจกลุ่มสุขภาพและอาหารเสริม เนื่องจากมีการเติบโตที่น่าสนใจช่วงโควิด ถึงจะลดตัวลงนิดหน่อยจากการกลับมาของหน้าร้าน แต่ จะกลับมาเติบโตได้ดีบนออนไลน์อีกครั้งในอนาคต โดยสุดท้ายแล้ว อุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือธุรกิจแฟชั่น ที่ตกลงอย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบของการท่องเที่ยว



เตือน 3 สิ่งควรระวัง เพื่อให้ร้านค้าอยู่รอดในโลกอีคอมเมิร์ซแห่งอนาคต

ถึงแม้ว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะมีการขยายตัว และเป็นขุมทรัพย์ตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล แต่ก่อนจะบุกทำตลาดผู้ประกอบการต้องเข้าใจทิศทางตลาดและผู้บริโภคให้ถ่องแท้ เพื่อระมัดระวัง เตรียมตัวรับมือ และสามารถอยู่รอดในโลกของอีคอมเมิร์ซในอนาคต ซึ่งหากเจาะลึกจะมี 3 อย่างที่ต้องทำความเข้าใจ ประกอบด้วย 

1. Understand lifestyles not trend ต้องเข้าใจไลฟ์สไตล์ของลูกค้าก่อน ไม่ใช่เทรนด์ เนื่องจากยุคดิจิทัลเทรนด์ตลาดหรือผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจอยู่ได้ไม่กี่วัน เทียบอดีตอยู่ได้เป็นเดือนหรือเป็นปี แต่การเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคเชิงลึกจะทำให้ผู้ประกอบการขายสินค้าได้อย่างยั่งยืน เช่น ผู้บริโภคซื้อแอลกฮอล์ หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 และมองหาสินค้าอื่นเพื่อดูแลสุขอนามัย สะท้อนความต้องการสินค้าอื่นอย่างต่อเนื่อง เพราะไลฟ์สไตล์กลัวเชื้อโรค รักสุขภาพไม่เปลี่ยน แต่ความต้องการสินค้าเปลี่ยนได้ 

 “หากผู้ประกอบการยึดติดที่ตัวสินค้าจะขายดีแค่ช่วงเวลาหนึ่งแต่การเข้าใจปัญหาลูกค้า จะสามารถขายดีได้อย่างต่อเนื่อง”  

2. Understand journey not channels ต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าก่อนเลือกช่องทาง การเข้าใจเส้นทางการซื้อสินค้าของผู้บริโภค (Customer journey) มีความสำคัญมาก เพื่อให้พ่อค้าแม่ขายสามารถนำเสนอสินค้าและบริการ โปรโมชั่น ผ่านช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะเป็น Marketplace อย่างLazada, Shopee, JD Central Social Commerce อย่าง Facebook, Instagram หรือ ช่องทางเว็ปไซต์ ได้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย 

“ปัจจุบันทุกช่องทางจำหน่ายมีความสำคัญเท่าๆกัน เพราะตอบโจทย์คนละอย่างกัน ไม่มีช่องทางออฟไลน์ หรือออนไลน์สำคัญกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน, Shopee, Lazada หรือFacebook  เพราะแต่ละช่องทางมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป ไม่ใช่ว่าทุกช่องทางจะเหมาะกับทุกคน เช่น Marketplace เป็นการค้นหาสินค้าใหม่ๆ โซเชียลคอมเมิร์ซเป็นช่องทางอ้างอิงว่าสินค้าน่าเชื่อถือ และ Website หรือ Line @ เป็นช่องทางช่วยทำให้เกิดการซื้อซ้ำ แต่ละช่องทางคาแร็กเตอร์ต่างกัน ผู้คนที่เข้ามาในช่องทางแต่ละอันก็คาดหวังไม่เหมือนกัน เส้นทางการซื้อสินค้า (Customer journey) ต่างกัน หากคุณทำช่องทางMarketplace แพง   ๆ หวังกำไร โพสขายของหนัก ๆ บนโซเชียลมีเดีย และ ทำเว็บไซต์ตัวเองหรือไลน์ไว้เพื่อหาลูกค้าใหม่ ธุรกิจคุณไปต่อได้ยากแน่ ๆ เพราะใช้แต่ละช่องทางผิดจุดประสงค์ ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจเส้นทางการซื้อสินค้าของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ก่อน เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการ โปรโมชั่นที่สอดคล้องกับความต้องการลูกค้า” 

3. Understand patterns not numbers ต้องเข้าใจรูปแบบไม่ใช่ตัวเลข การขายสินค้าออนไลน์ค่อนข้างมีรูปแบบ อย่างการจัดโปรโมชั่น 11 11, 12 12 ของ Marketplace แบรนด์ต่างๆ หรือสถานการณ์ก่อนและหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะรู้ทิศทางสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ สินค้าขายดี เช่น สินค้าแฟชั่น เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เมื่อถูกกระทบจากโควิดยอดขายจึงหดตัว เป็นต้น 

 “ไม่ต้องการให้ผู้ประกอบการยึดติดกับตัวเลขที่คาดการณ์ไปล่วงหน้า เพราะความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอน แม้จะมีดาต้า เราก็ไม่สามารถคาดการณ์อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก แต่การเข้าใจแพทเทิร์น ทำให้รู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำเราจะไม่พลาดอีก เช่น หากเกิดโรคระบาดอีกครั้ง จะทราบว่าสินค้าหมวดไหนจะตก อันไหนจะเติบโต ที่สำคัญคุณต้องไว้วางใจผู้อื่นมากขึ้นอย่าถือทุกอย่างไว้ที่ตัวเอง กระจายการทำงานที่ไม่ถนัดให้คนที่เค้าถนัดทำ คุณจะได้สามารถโฟกัสเฉพาะแค่สิ่งที่ถนัดได้ และหากเกิดวิกฤตอีก จะได้ยืดหยุ่นพอที่จะปรับแปลงบริบทได้แบบทันท่วงที ทั้งนี้ต้องระมัดระวังเรื่องการนำเงินไปลงทุน ต้องกระจายความเสี่ยง  อย่าเพิ่งลงทุนหวังผลระยะยาวและความคุ้มค่า ลงทุนเพื่อสร้างความยืดหยุ่นก่อนดีกว่า” 

อย่างไรก็ตาม 3 สิ่งที่พึงระวังดังกล่าว การใช้ข้อมูลหรือดาต้า ถือเป็นหัวใจสำคัญมาก ข้อมูลในอดีตเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการวางแผนงานได้แม่นยำ สังเกตเห็นว่าเราทำอะไรที่ผิดพลาด และ ทำยังไงให้ธุรกิจการค้าทำดีขึ้นกว่าเมื่อวานได้ ซึ่ง MyCloudFulfillment ในฐานะผู้ให้บริการด้านคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร มีจุดแข็งด้านดาต้าในกระบวนการ เก็บ แพ็ค ส่งที่ช่วยลูกค้าได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า (Order Management Data) ที่สามารถช่วยรวมออเดอร์ของแต่ละช่องทางการขายมาเป็นที่เดียว และ ช่วยให้จัดการข้อมูลการซื้อของลูกค้า จัดการช่องทางการขาย จัดโปรโมชั่นอย่างมีประสิทธิภาพ และ มองเห็นโอกาสการเติบโตได้ (Growth potential)

การบริหารจัดการข้อมูลการเก็บสต็อคสินค้า (Inventory Management Data) ที่สามารถช่วยแนะนำสต็อคสินค้าที่เหมาะสมของแต่ละ SKU ได้ (Stock optimization) ให้สามารถเห็นได้ว่าสินค้าตัวไหนเก็บเยอะเกินไปหรือน้อยเกินไป ขั้นต่ำที่ควรเก็บคือจุดไหน เมื่อสต็อคเหลือถึงจุดไหนถึงควรเติม ทั้งหมดจะช่วยให้ธุรกิจบริหารค่าใช้จ่าย ค่าเช่า การเก็บสินค้า และ การขนส่งเติมสินค้าให้พอดี เพื่อช่วยไม่ให้เงินจม และ การบริหารจัดการข้อมูลการแพ็คและส่งสินค้า (Fulfillment Performance Data) ที่สามารถช่วยให้มองเห็นกำไรและต้นทุนของ แต่ละสินค้าแต่ละออเดอร์ได้ ร้านค้าจะทราบได้ว่าสินค้าตัวไหนขายแล้วได้กำไรดี ตัวไหนขายแล้วขาดทุน สามารถช่วยแนะนำวิธีให้ร้านค้าทำให้การซื้อต่อครั้งแพงขึ้น และ ช่วยให้ทำกำไรได้ดีขึ้น

MyCloudFulfillment ได้รับเงินลงทุน Series A มูลค่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากผู้ลงทุน ได้แก่ ECG-RESEARCH, Gobi Partners, NVest Venture และ SCB 10X พร้อมขยายธุรกิจรับช้อปปิ้งออนไลน์โต

ทางด้าน ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัดและผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนผู้ลงทุนของ MyCloudFulfillment กล่าวว่า “ตลาดอีคอมเมิร์ซ และตลาดโลจิสติกส์ในเมืองไทยรวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูงและน่าจับตามองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 มีความเข้มข้น และด้วยบริการคลังสินค้าออนไลน์ จัดเก็บ แพ็คสินค้า ของ MyCloudFulfillment มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีความสามารถในการพัฒนารูปการให้บริการเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ อีกทั้งสามารถยกระดับการให้บริการไปสู่ระดับอาเซียนเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง ที่สำคัญมีศักยภาพที่จะก้าวไปเป็นผู้นำด้าน Fulfillment ที่มากกว่าแค่ เก็บ แพ็ค ส่งบนเวทีในระดับภูมิภาคได้ ประกอบกับ SCB 10X ให้ความสำคัญกับสตาร์ทอัพไทยและธุรกิจโลจิสติกส์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เราให้ความสนใจ เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนรอบ Series A ของทาง MyCloudFulfillment ร่วมกับผู้ลงทุนรายอื่น ๆ ซึ่งนอกจากการสนับสนุนด้านเงินลงทุนแล้ว เรายังมีแผนในการพัฒนาโซลูชันต่าง ๆ ร่วมกัน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ Social commerce ในอนาคตรวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการและลูกค้าอีกด้วย”


“การทำให้ลูกค้าเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นภารกิจสำคัญของเรา”  

ทั้งนี้ เงินทุนจะนำไปใช้ 2 ส่วน ส่วนแรกคือการพัฒนาระบบการจัดการด้านข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซบริหารจัดสินค้า ขายสินค้าได้ง่ายขึ้น นำข้อมูลสถิติ ที่มีมาใช้ในการทำ predictive analytics ได้มากขึ้น สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึง การพัฒนาศักยภาพด้านบริการแก่ลูกค้าปัจจุบัน และลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มเติมในอนาคต และส่วนที่สองคือการขยายฐานพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเติม เราร่วมมือกับ agency และ E-commerce enabler ชั้นนำต่างๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบวงจร รวมถึงพาตเนอร์พิเศษที่ร่วมกันพัฒนาโซลูชั่น เช่นรูปแบบ white label logistics ที่เราร่วมมือกับ SCG ด้านการขยายคลังสินค้า หรือ รูปแบบที่จับมือกับ SCB 10X ในการทำโซลูชั่นเพื่อร้านค้าในการทำ social commerce เพื่อยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภค

Partners ของ MyCloudFulfillment เล่าถึงโลกการขายในอนาคตและความร่วมมือ

นายไพฑูรย์ จิรานันตรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า จากผลกระทบที่เราได้รับจากช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19ที่ผ่านมา ทำให้ออเดอร์เราเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เอสซีจี ให้ความสำคัญกับเรื่องของการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอยู่เสมอ จากที่ทาง MyCloudFulfillment ได้นำเสนอไปเกี่ยวกับ อนาคตของโลกการค้า (Future of Commerce) ทำให้เราต้องวางแผนและพร้อมปรับตัวรับมือกับทุกสถานการณ์ สิ่งที่เราต้องทำคือ ปรับตัวให้เร็ว และ ทำตัวให้ยืดหยุ่น เราจึงพาร์ทเนอร์ร่วมกับ  MyCloudFulfillment  เพื่อช่วยกันปรับตัวไปสู่โลกอนาคต ถึงแม้ตลาด E-Commerce จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดก็ตามแต่เราต้องมีวิธีการรับมือ ซึ่งการเก็บรวบรวมดาต้าที่ดีจะช่วยนำมาสร้างมูลค่าให้ผู้ประกอบเติบโตและไปต่อได้ในโลกอนาคต

เอสซีจี เล็งเห็นศักยภาพ และ ผลงานที่ดีของ MyCloudFulfillment เราจึงเลือกจับมือด้วย เราเก่งเรื่อง hardware และเครือข่ายโลจิสติกส์ทั่วประเทศ แต่ MyCloud เก่งเรื่อง software และการจัดการ Fulfillment สำหรับลูกค้า B2C หรือ Online หากเราทั้งสองร่วมมือกัน เราทั้งคู่ก็จะไปข้างหน้าได้เร็วกว่า คุ้มค่ากว่า ซึ่งทั้งหมด เพื่อช่วยก้าวข้ามขีดความสามารถด้านการให้บริการ และตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ตลอดจนสนับสนุนให้ Ecosystem ของสตาร์ทอัพเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนตามแนวทางของเอสซีจี

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ

MyCloudFulfillment โทร.02-138-9920  https://www.mycloudfulfillment.com/ หรือ Facebook : MyCloudFulfillment หรือ LINE : @mycloudgroup

Meat Avatar เปิดตัว “หมูสับจำแลง” จับมือ Foodland วางจำหน่ายทั่วประเทศ ต้อนรับเทศกาลกินเจ

มีท อวตาร (Meat Avatar) ผู้นำด้านเนื้อจำแลงหรือ Plant-Based Meat ในไทยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เอาใจคนรักสุขภาพ และต้อนรับเทศกาลกินเจด้วย “ผลิตภัณฑ์หมูกรอบและหมูสับจากพืช” โดยผลิตภัณฑ์เนื้อจำแลงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากพืชทดแทนเนื้อสัตว์ และตอบสนองเทรนด์ “อาหารแห่งอนาคต” อีกด้วย โดย Meat Avatar ได้ผนึกกำลังกับ Foodland วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อจำแลงแล้วทุกสาขา

Meat Avatar ผู้นำเทรนด์อาหารแห่งอนาคต ผลักดันนวัตกรรมอาหาร “เนื้อจำแลง” ส่งเนื้อจากพืชทดแทนเนื้อสัตว์หรือ Plant-Based Meat ซึ่งผ่านกรรมวิธีการแปรรูปที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการแรกจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาด พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์หมูสับที่ทำมาจากพืช 100% โดยรสชาติและสัมผัสคล้ายหมูจริงจนแยกไม่ออก หวังเจาะตลาดกลามคนรักสุขภาพที่ต้องการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยลดภาวะโลกร้อนและการฆ่าสัตว์จากการทำปศุสัตว์

คุณวิภู เลิศสุระพิบูลและ คุณวรุฒม์ จันทร์โพธิ์ ผู้ก่อตั้ง Meat Avatar กล่าวว่า “เนื้อจำแลงหรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในกลุ่มคนรักสุขภาพทั่วโลกอย่าง Plant-Based Meat เป็นเนื้อที่แปรรูปมาจากพืช ทำให้มีรสชาติ คล้ายเนื้อสัตว์ ส่วนใหญ่ทำมาจากถั่วและพืชต่างๆ เช่น เห็ด ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา แครอท บีทรูท เป็นต้น โดยคอนเซ็ปต์ของเรา คือ วัตถุดิบต้องมาจากธรรมชาติโดยส่วนผสมหลักมาจากถั่วเหลืองและถั่วลันเตาเป็นสำคัญ ผสมผสานกับขั้นตอนการผลิต ทำให้ผลิตภัณฑ์มีรสชาติอร่อยและมีคุณภาพเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ซึ่งอยากให้คนไทยได้บริโภคในราคาที่ถูกลงด้วยเช่นกัน”

นอกจากนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับกลุ่มเป้าหมายไม่ได้มีแค่คนที่รับประทานอาหารเจหรือมังสวิรัติเท่านั้น เรายังคาดหวังว่าคนที่รับประทานเนื้อสัตว์จะหันมารับประทาน Meat Avatarด้วย ซึ่งยังคงให้ความอร่อยเหมือนเนื้อสัตว์จริงๆและอีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญ คือกระบวนการการผลิต Plant-Based Meat ยังช่วยลดภาวะโลกร้อน เนื่องจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่น้อยลง Meat Avatar เกิดขึ้นภายใต้การวิจัย และพัฒนาโดยใช้วัตถุดิบในประเทศ โดยส่งผลิตภัณฑ์หมูสับจำแลงและหมูกรอบจำแลงสู่ตลาดเป็นชุดแรก และจะทยอยเปิดตัวอีกหลายผลิตภัณฑ์  เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค ในอนาคต Meat Avatar ยังเตรียมจะขยายไปยังตลาดต่างประเทศ และหวังที่จะได้เป็นผู้นำตลาดเนื้อทดแทนเนื้อสัตว์ในภูมิภาคเอเชีย”

สำหรับ Foodland ถือเป็นอีกหนึ่งพันธมิตรทางธุรกิจกับ Meat Avatar โดยเทศกาลกินเจปีนี้ Meat Avatar ชวนทุกท่านมาอิ่มบุญ พร้อมจัดเต็มเนื้อจำแลงที่ Foodland ทุกสาขา พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษ ตอบโจทย์ทั้งเจ และมังสวิรัติ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “เจนี้ไม่จำเจด้วยผลิตภัณฑ์เนื้อจำแลงจาก Meat Avatar”

แม็คโคร ขยายทักษะวิชาชีพธุรกิจอาหารสู่รั้วมหาวิทยาลัย บูรณาการร่วม ม.เกษตรฯ ผุดหลักสูตรปั้นมืออาชีพ เพิ่มทางเลือกทำเงิน รับวิกฤตคนว่างงานพุ่ง

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) โดย แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี หรือ MHA ขยายทักษะวิชาชีพธุรกิจอาหารสู่รั้วมหาวิทยาลัย ล่าสุด จับมือ คณะมนุษยศาสตร์ ม.เกษตรฯ เชื่อมโยงหลักสูตรออนไลน์เรียนรู้ธุรกิจอาหารครบวงจรให้นิสิตคณะมนุษยศาสตร์ปี 2-4 ในชั่วโมงกิจกรรม พร้อมออกวุฒิบัตรการันตีมีวิชาชีพติดตัว เพิ่มทางเลือกหางานหาเงินรับวิกฤตตกงานพุ่ง

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พันธกิจสำคัญของแม็คโคร นอกจากจะเป็นแหล่งรวมวัตถุดิบคุณภาพมาตรฐานอาหารปลอดภัยแล้ว แม็คโครยังมุ่งมั่นที่จะนำความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจอาหาร เผยแพร่สู่ลูกค้าสมาชิกเพื่อพัฒนาทักษะการประกอบการให้รอบด้าน ครอบคลุมความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่เพียงสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบการมืออาชีพเท่านั้น แม็คโคร โดย แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี หรือ MHA ยังขยายการเผยแพร่ทักษะความรู้ไปยังกลุ่มนิสิตคณะมนุษยศาสตร์ ชั้นปี 2-4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผ่านความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรด้านธุรกิจบริการอาหารระดับอุดมศึกษา ด้วยหลักสูตรการเรียนการสอนแบบออนไลน์ 

“แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี ได้พัฒนาหลักสูตรออนไลน์ มาอย่างต่อเนื่อง และนำมาถ่ายทอดผ่านช่องทาง www.makrohorecaacademy.com รวมถึง  Facebook และ YouTube ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการเชื่อมโยงให้นิสิตนักศึกษาได้รับความรู้และการบริหารจัดการธุรกิจอาหารในเชิงวิชาชีพ หรือเป็นทักษะติดตัวที่นำไปปรับใช้ในการสร้างงานสร้างอาชีพในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่มีตัวเลขคนว่างงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้”

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.กิติมา อินทรัมพรรย์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กล่าวว่า ยุทธศาสตร์สำคัญของเรา คือ การพัฒนานิสิตให้เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญและความสามารถรอบด้าน (Expert Generalist) มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้นิสิตชั้นปีที่ 2-4  ทุกสาขาวิชาเข้ารับการอบรมเชิงวิชาชีพก่อนสำเร็จการศึกษา เพื่อเพิ่มพูนทักษะเชิงวิชาชีพและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพนอกจากเหนือจากความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เรียนตามหลักสูตร

“การพัฒนาบุคลากรด้านธุรกิจบริการอาหารร่วมกัน  ข้อตกลงกำหนดไว้ในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งจะให้นิสิตคณะมนุษยศาสตร์ ชั้นปี 2-4 เลือกเรียนในชั่วโมงกิจกรรมพัฒนาทักษะวิชาชีพผ่านหลักสูตรออนไลน์ที่กำหนดและรับรองผลการอบรมโดยการวัดและประเมินผลที่ได้มาตรฐาน พร้อมมอบวุฒิบัตร ซึ่งจะเป็นทักษะที่นำไปประยุกต์ใช้สร้างงานสร้างอาชีพได้”

สำหรับหลักสูตรออนไลน์ดังกล่าวประกอบด้วย 17 องค์ความรู้ แบ่งเป็นหมวดการตลาด 3 คอร์ส หมวดการบริหารการเงินและต้นทุน 6 คอร์ส  หมวดการพัฒนาเมนู 4 คอร์ส  หมวดการจัดการภายในร้าน 4 คอร์ส  สอนโดยผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอาหาร และผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมเชฟประเทศไทย อาทิ เชฟวิลแมน ลีออง ประธานไทยแลนด์ คัลลินารี อคาเดมีและสมาคมเชฟโลก, อาจารย์ต่าย – พรชัย นิตย์เมธาวงศ์ จากเพจเพื่อนแท้ร้านอาหาร, เชฟบุญธรรม ภาคโพธิ์ เชฟกะทะเหล็กแห่งประเทศไทย และอ.โบว์-มธุรส วงศ์ประดู่ เป็นต้น

นางศิริพร กล่าวทิ้งท้ายว่า “โครงการนี้เป็นโครงการเพื่อสร้างทางเลือก และเตรียมความพร้อมให้กับนิสิตนักศึกษา ที่จะจบการศึกษาออกไปให้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพในยุค New Normal  นอกจากนี้เรายังได้วางแผนความร่วมมือให้เกิดความต่อเนื่องไปถึงการแลกเปลี่ยนบุคลากร และการขยายขอบเขตการศึกษาทักษะความรู้เชิงวิชาชีพนี้ไปยังกลุ่มเรียนที่เป็นบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง”

อิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเม็กซิโก เผยรายได้รวม 26 พันล้านบาท ห้างค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์สัญชาติสวีเดนมียอดขายออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โตเกินสองเท่า ในปีที่ต้องรับมือวิกฤติใหญ่จากภัยโควิด

อิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเม็กซิโก ประกาศรายได้ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่าหนึ่งทศวรรษของ การเติบโตและขยายตัวทางธุรกิจ ปิดปีงบประมาณที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ด้วยรายได้รวม 26 พันล้านบาท ในขณะเดียวกัน วิกฤติโควิดได้เร่งให้บริษัทเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกธุรกิจแบบดิจิทัลเร็วขึ้น ผลจากความนิยมในการแต่งบ้านที่พุ่งขึ้นอย่างล้นหลามช่วงล็อกดาวน์

“วิกฤติโควิดเปลี่ยนความคิดและค่านิยมที่หลายคนมีต่อการใช้ชีวิตในบ้าน” คริสเตียน รอยเคียร์ กรรมการผู้จัดการอิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเม็กซิโก กล่าว “เมื่อต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันอย่างกะทันหัน หลายคนมาที่อิเกียเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์และของใช้ไปแต่งโฮมออฟฟิศ มุมอ่านหนังสือ พื้นที่พักผ่อนกลางแจ้ง และครัวที่ตอบโจทย์การใช้งานในบ้านของตนเอง หลายคนตระหนักว่า บ้านมีความหมายและสำคัญต่อพวกเขามากแค่ไหน และเห็นว่ามันคุ้มที่จะลงทุนเพื่อทำให้บ้านที่เราใช้ชีวิตอยู่ในทุกๆ วัน เป็นที่ที่เราจะอยู่อาศัยได้อย่างสบาย ตอบโจทย์การใช้งาน และมีรูปลักษณ์สวยงาม”

สโตร์อิเกียทั้ง 9 แห่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท มียอดขายรวม 22.4 พันล้านบาท ในช่วงเดือนกันยายน 2562 – สิงหาคม 2563 ลดลงจากยอดขายในปีงบประมาณที่ผ่านมา 7.4 เปอร์เซ็นต์ เนื่องด้วยสโตร์หลายแห่งต้องปิดให้บริการชั่วคราว โดยบางแห่งปิดให้บริการไปนานถึงสองเดือนครึ่ง ทั้งยังต้องเผชิญความท้าท้ายในเรื่อง การจัดหาสินค้า และการจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการภายในสโตร์เพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย เมื่อรวมกับรายได้จากศูนย์การค้า ในเครือที่เชื่อมต่อกับสโตร์อิเกียอีก 5 ศูนย์ (ทั้งหมดบริหารงานโดยอิคาโน่ เซ็นเตอร์ส ซึ่งมีการเยียวยาค่าเช่าให้แก่ผู้เช่าจำนวนหลายร้อยรายที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติที่เกิดขึ้น) ทำให้บริษัทมีรายได้รวม 26 พันล้านบาท น้อยกว่าปีก่อน 2 พันล้านบาท

อิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเม็กซิโก เป็นหนึ่งใน 12 แฟรนไชส์อิเกียที่มีอยู่ทั่วโลก โดยมีสโตร์เปิดให้บริการในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ควบคู่ไปกับศูนย์การค้าในเครืออิคาโน่ เซ็นเตอร์ส ซึ่งปัจจุบันมีผู้เช่าประมาณ 1,500 ราย ภายใต้พื้นที่ให้เช่า 4 ล้านตารางฟุต บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะเข้าถึงคนทั่วไปอีกเป็นจำนวนมาก ด้วยการให้บริการเฟอร์นิเจอร์ และสินค้าตกแต่งบ้าน รวมถึงมีทบอลต้นตำรับสวีเดนในสโตร์ที่จะเปิดให้บริการในประเทศเม็กซิโกและฟิลิปปินส์ ซึ่งทั้งสองแห่งจะเปิดให้ลูกค้าช้อปออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ได้ล่วงหน้าหลายเดือนก่อนที่จะได้เข้าไปสัมผัสประสบการณ์ช้อปเต็มรูปแบบในสโตร์

หลังให้บริการอีคอมเมิร์ซในสามประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สโตร์อิเกียในทั้งสามประเทศยังสามารถจำหน่ายสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้งานแก่ลูกค้าได้แม้ในช่วงที่ต้องปิดหน้าร้านไปเป็นเวลานาน โดยได้รับการสนับสนุนและคำแนะนำจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่ พนักงานร่วมแรงร่วมใจกันจัดตั้งระบบปฏิบัติงานด้านการหยิบ แพ็ก และจัดส่งสินค้าเพื่อรองรับยอดสั่งซื้อจำนวนมากในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน แผนกที่เกี่ยวข้องต้องจัดหาผู้ให้บริการด้านการขนส่งสินค้าเพิ่มเติม เพิ่มรอบจัดส่งสินค้า ปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่ให้รองรับยอดสั่งซื้อออนไลน์ที่หลั่งไหลเข้ามาในแต่ละวัน เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ มียอดสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เข้ามาทั้งหมดกว่า 525,000 ออเดอร์ คิดเป็นยอดขายออนไลน์กว่า 3.1 พันล้านบาท ซึ่งเกินสองเท่าของรายได้รวมจากอีคอมเมิร์ซของบริษัทในปีก่อนหน้า

สโตร์ในประเทศไทยได้เริ่มให้บริการ Click & Collect ช้อปออนไลน์และรับสินค้าได้ที่สโตร์ ขณะที่แผนกอาหารและเครื่องดื่ม ในสโตร์อิเกียทั้งในไทยและมาเลเซียหันหน้าจับมือพันธมิตรทางธุรกิจ ขยายการให้บริการจัดส่งอาหารหลากหลายเมนู รวมถึง

มีทบอลต้นตำรับสวีเดนให้ลูกค้าอิ่มอร่อยได้ถึงที่บ้าน และหลายส่วนยังทำงานร่วมกันในระดับภูมิภาคเพื่อให้ความช่วยเหลือในการจัดส่งสินค้าและบริการให้แก่โรงพยาบาล หอพักแรงงานอพยพ ศูนย์พักพิง และองค์กรอื่นๆ ที่เป็นแนวหน้าในการรับมือวิกฤติโควิดในแต่ละประเทศ รวมมูลค่ากว่า 11.5 ล้านบาท

“วิกฤติครั้งนี้ดึงศักยภาพที่ดีที่สุดของเราออกมา ปลุกจิตวิญญาณนักธุรกิจที่มีอยู่ในตัวพนักงานทุกคน ผลักดันให้ธุรกิจของเราพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว” คริสเตียน รอยเคียร์ กล่าว “เราทำงานกันภายใต้แรงกดดันมหาศาล อาจมีบ้างที่ไม่สามารถตอบความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างที่ตั้งใจ แต่ลูกค้าหลายคนก็เข้าใจกันเป็นอย่างดี เราแข็งแกร่งขึ้น และนี่เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกภาคภูมิใจที่สุดในองค์กรของเรา รวมถึงความพยายามของทุกๆ คนที่จะทำเพื่อชุมชนและสังคมโดยรอบ”

ในแปดสัปดาห์ที่มีผู้มาใช้บริการสโตร์อิเกียและเว็บไซต์สูงที่สุดในแต่ละประเทศ ลูกค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซื้อโต๊ะอิเกียไปกว่า 212,000 ตัว เก้าอี้สำนักงาน 64,000 ตัว ยอดขายประจำปีของแผนกห้องทำงานพุ่งสูงขึ้นในทั้งสามประเทศ ในช่วงล็อกดาวน์ ศูนย์การค้าทุกแห่งในเครือจำกัดการให้บริการเหลือเพียงส่วนที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และได้เปิดประตูต้อนรับผู้มาเยี่ยมชมที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลับมาทยอยเปิดให้บริการ ทั้งยังได้รับเสียงชื่นชมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการรักษาระยะห่างทางสังคม การเข้มงวดกวดขันในการทำความสะอาด จุดให้บริการวัดอุณหภูมิร่างกาย และมาตรการความปลอดภัยอื่นๆ ที่นำมาใช้ในพื้นที่

บริษัทไม่มีนโยบายให้พนักงานแม้แต่เพียงคนเดียวต้องออกจากงานในช่วงล็อกดาวน์ และยังมีแผนที่จะจัดหาพนักงานใหม่อีกกว่า 200 คนในประเทศสิงคโปร์ เพื่อเตรียมพร้อมเปิดให้บริการสโตร์อิเกีย Jurung ในปี 2564 ส่วนที่เม็กซิโกซิตี มีแผนจะเปิดให้บริการอีคอมเมิร์ซทันทีที่เปิดสโตร์อิเกีย Oceania ในช่วงปีใหม่ และสโตร์อิเกียที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มะนิลา ก็มีกำหนด จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2564 โดยออกแบบให้มีพื้นที่พร้อมรองรับการปฏิบัติงานด้านการหยิบ แพ็ก และจัดส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซ รวมถึงศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า และในเวลาเดียวกันนี้ ก็มีทีมในประเทศเวียดนามที่กำลังเดินหน้าวางแผน
เปิดสโตร์ในอนาคตอันใกล้

“เรื่องที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้ คือการดูแลพนักงานและลูกค้าของเราให้ปลอดภัย และเดินหน้าทำธุรกิจของเราต่อไป เพราะไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่วิสัยทัศน์ของเราซึ่งต้องการจะสรรค์สร้างชีวิตที่ดีกว่าให้คนทั่วไปในทุกๆ วัน จะสอดคล้องกับการใช้ชีวิตของผู้คนทั่วไปได้มากเท่ากับในช่วงเวลานี้” คริสเตียน รอยเคียร์ กล่าวและเสริมว่า “อิเกียได้ปรับลดราคาสินค้าหลายร้อยรายการในแคตตาล็อกอิเกียเล่มใหม่ เพื่อให้สินค้าของเรามีราคาที่ย่อมเยายิ่งขึ้นอย่างที่คนทั่วไปจำนวนมากจะเลือกซื้อไปสร้างการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านได้ เพื่อให้พวกเขาใช้ชีวิตได้ดีขึ้นในทุกๆ วันอย่างแท้จริง”