“ไวไว” คว้ารางวัล WINNER จากเวที THAIFEX – ANUGA TASTE INNOVATION SHOW 2025

นายยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไวไว และเส้นหมี่อบแห้งไวไว เข้ารับรางวัล WINNER จากเวที THAIFEX ANUGA TASTE INNOVATION SHOW 2025 สำหรับผลิตภัณฑ์ “Rice Ramen Shoyu Som Jeed” หรือ “ราเมนโชยุส้มจี๊ด” ราเมนเส้นข้าวแท้ 100% ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารยอดเยี่ยมโดยมี นายธีรเมธ เลาวานันท์พันธุ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายขายส่วนกลาง, นายวิรกิตติ์ มิ่งโมฬี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และแนวความคิดผลิตภัณฑ์ 4, นายอังกูร อังคณาผลกุล Export Director, นายเจ ที จวง ผู้จัดการฝ่ายขายต่างประเทศ ร่วมงานด้วย ณ บูธไวไว ฮอลล์ 9 อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้

EM Motor เขย่าตลาด EV เปิดตัว “Legend Pro”มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าดีไซน์ล้ำ ฟังก์ชันจัดเต็ม ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ด้วยนวัตกรรมที่เข้าถึงได้

บริษัท อีเอ็ม มอเตอร์ จำกัด ผู้พัฒนาและผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทย ภายใต้แบรนด์ “EM” ประกาศเปิดตัว “Legend Pro” รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมแนวคิดการออกแบบล้ำสมัย เทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ และสมรรถนะเหนือระดับ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ยุคใหม่อย่างแท้จริง โดยภายในงานแถลงข่าวเปิดตัว บริษัทได้เชิญพันธมิตรทางธุรกิจ ตัวแทนจำหน่ายจากทั่วประเทศ รวมถึงสื่อมวลชนเข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของ “Legend Pro” อย่างใกล้ชิด พร้อมทดลองขับจริง และพูดคุยกับทีมผู้บริหารถึงแนวคิดในการพัฒนาแบรนด์ไทยให้สามารถยืนหยัดในอุตสาหกรรม EV ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติได้อย่างมั่นคง

นายธานัท ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีเอ็ม มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่น “Legend Pro” ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของบริษัท ในการผลักดันมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้าของไทยให้ก้าวไกลมากยิ่งขึ้น โดยเน้นการออกแบบที่ทันสมัย ควบคู่กับเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ตอบสนองต่อการใช้งานจริง พร้อมมอบประสบการณ์ขับขี่ที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้คนไทยทุกกลุ่มสามารถใช้งานรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างแท้จริง

นายธานัท ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นอกจากการเปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า “Legend Pro” บริษัทฯ ยังนำเสนอแนวทางการพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ หรือ EM Ecosystem ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความแข็งแกร่งของบริษัทในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในระยะยาว โดยประกอบด้วย 5 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่

  1. การผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ปี 2023 และมียอดจำหน่ายสะสมมากกว่า 10,000 คัน ปัจจุบันมีศักยภาพการผลิตที่ 30,000 คันต่อปี และเตรียมขยายเป็น 70,000 คันต่อปี
  2. การผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมภายใน ด้วยเทคโนโลยี cell-to-pack ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐาน UNR136 จากกรมการขนส่งทางบก และ มอก. จากกระทรวงอุตสาหกรรม
  3. การจัดตั้งเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย กว่า 120 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งทำหน้าที่ทั้งจำหน่ายและให้บริการหลังการขาย ครอบคลุมทุกภูมิภาค
  4. การพัฒนาเครือข่ายหัวจ่ายชาร์จไฟฟ้า “EM Charger” ที่ตั้งเป้าหมายติดตั้ง 100 หัวจ่ายทั่วประเทศภายในปี 2025 และขยายเป็น 1,000 หัวจ่ายในปี 2027
  5. การจัดตั้งระบบจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว ด้วยแนวทางการ Repurpose และ Recycle เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

นับตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทในปี 2016 กลุ่มบริษัท EM Motor มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 56% ต่อปี โดยมีงบการลงทุนรวมกว่า 400 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจใน 5 หมวดหลัก ได้แก่ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า EM, จักรยานไฟฟ้า ECO, จักรยานทั่วไป, แบตเตอรี่ลิเธียมภายใต้แบรนด์ Longlive Energy และหัวชาร์จไฟฟ้าสาธารณะ EM Charger

นายธานัท กล่าวปิดท้ายว่า บริษัทตั้งเป้าหมายภายในปี 2025 ในการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจำนวน 5,300–6,500 คัน และรักษาส่วนแบ่งตลาดให้ไม่ต่ำกว่า 20% โดยมุ่งเน้นการเสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศ EV ในทุกมิติ เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาด และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว

“เราไม่ได้เพียงแค่สร้างรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า แต่เรากำลังสร้างความมั่นใจให้คนไทยกล้าที่จะเปลี่ยน เพื่ออนาคตของการเดินทางที่สะอาด ปลอดภัย และยั่งยืน ภายใต้แบรนด์ไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของ EM Motor ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ด้วยนวัตกรรมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

ผู้ที่สนใจหรือต้องการทดลองขับขี่ สามารถติดต่อตัวแทนจำหน่าย EM MOTOR ใกล้บ้านท่านทั่วประเทศ หรือ ติดต่อผ่าน Facebook : EM Motor Thailand

“ไวไว” เดินหน้าสานต่อโครงการ “อิ่มนี้เพื่อน้อง” มอบอาหารกลางวันให้น้องๆ นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลจังหวัดเชียงใหม่ สร้างโอกาสการเรียนรู้และคุณภาพชีวิตที่ดีให้เยาวชนไทย

บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “ไวไว” ร่วมกับ ธนาคารออมสิน เขต 5 จังหวัดเชียงใหม่ ยึดมั่นในพันธกิจด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเดินหน้าสานต่อโครงการ “อิ่มนี้เพื่อน้อง” เพื่อส่งมอบอาหารกลางวันให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลในจังหวัดเชียงใหม่หลายแห่ง โดยมีเป้าหมายสำคัญในการสนับสนุนโภชนาการที่ดีและสร้างโอกาสการเรียนรู้ที่เท่าเทียมให้กับเยาวชนไทย

สำหรับโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนอาหารกลางวันในครั้งนี้ ได้แก่

  • โรงเรียนบ้านปางอุ๋ง ตำบลแม่ศึก
  • โรงเรียนบ้านโม่งหลวง ตำบลกองแขก
  • โรงเรียนบ้านห้วยตอง ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง
  • โรงเรียนทาเหนือวิทยา อำเภอแม่ออน
  • โรงเรียนบ้านขุนแปะ อำเภอจอมทอง

โครงการ “อิ่มนี้เพื่อน้อง” ไม่เพียงมุ่งหวังให้เด็กนักเรียนมีโภชนาการที่ดีและได้รับสารอาหารที่เพียงพอเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของบริษัทฯ ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเยาวชนให้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ   ผ่านการส่งเสริมด้านการศึกษา การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม และการพัฒนาทักษะชีวิตที่จำเป็นในอนาคตการดำเนินงานในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของบริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ในการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสังคมไทยไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิดที่ว่า
“อาหารที่ดี คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ดี” และ “การแบ่งปัน คือพลังสำคัญในการสร้างสังคมที่เข้มแข็ง”

ด้วยความเชื่อมั่นว่า ทุกมื้ออาหารที่อิ่มท้องของน้องๆ คือพลังที่ต่อยอดอนาคตของประเทศ บริษัทฯ        จึงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าโครงการเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และขยายผลให้ครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้นในอนาคต

“ซูเลียน” ปันน้ำใจ ส่งต่อความห่วงใย มอบรอยยิ้มแก่ผู้สูงวัยบ้านบางแค สะท้อนพันธกิจ “ธุรกิจเคียงข้างสังคม”

บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด สานต่อเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคมไทย ผ่านโครงการเพื่อสังคมที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้จัดกิจกรรม “ซูเลียนปันน้ำใจ” ณ มูลนิธิบ้านบางแค กรุงเทพมหานคร โดยมี ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานกรรมการ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงาน ร่วมเดินทางไปมอบความสุข ความอบอุ่น และกำลังใจให้แก่ผู้สูงอายุ เพื่อแสดงออกถึงความห่วงใย และการเคารพในคุณค่าของผู้สูงวัยในสังคมไทย

ในกิจกรรมดังกล่าว ซูเลียนได้ร่วมสมทบทุนบริจาคเงินจำนวน 100,000 บาท เพื่อสนับสนุนภารกิจของมูลนิธิในการดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงจัดเลี้ยงอาหารกลางวันให้กับผู้สูงวัยในบ้านบางแค พร้อมมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น อาทิ ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพส่วนบุคคล วิตามินซี และของใช้ในชีวิตประจำวันอื่น ๆ โดยทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่คัดสรรมาอย่างตั้งใจ เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้สูงอายุ ซึ่งถือเป็นกลุ่มประชากรที่ควรได้รับการใส่ใจและดูแลเป็นพิเศษ

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความอบอุ่นจากการได้แบ่งปัน ทุกการพบเจอและการพูดคุยในวันนั้นสะท้อนถึงพลังแห่งความเมตตาและความเอื้ออาทรที่ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย และที่สำคัญคือการตอกย้ำบทบาทของภาคเอกชนในการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสังคมให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ

ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานกรรมการ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
“ซูเลียนเชื่อมั่นมาตลอดว่าความสำเร็จขององค์กรไม่ได้วัดจากตัวเลขทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องวัดจากผลกระทบเชิงบวกที่เราสามารถส่งต่อให้กับสังคมโดยรวมได้ด้วย การดูแลสังคมคือหนึ่งในพันธกิจที่เราให้ความสำคัญอย่างจริงจังมาโดยตลอด เพราะเราเชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นพลังเล็ก ๆ ที่ร่วมกันสร้างสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้ในวงกว้าง และการใส่ใจผู้สูงวัยซึ่งเป็นผู้มีคุณูปการต่อประเทศชาติ ถือเป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลท่านเหล่านี้ให้มีชีวิตที่อบอุ่นและเปี่ยมคุณค่าในทุก ๆ วัน”

ทั้งนี้ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสุขภาพ โดยยึดหลัก “ความสุขจากการแบ่งปัน” และยึดมั่นในการพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบต่าง ๆ โดยเชื่อมั่นว่า “ความยั่งยืนที่แท้จริง คือการเติบโตไปพร้อมกับผู้คนและชุมชนรอบตัว”

สำหรับกิจกรรม “ซูเลียนปันน้ำใจ” ในครั้งนี้ จึงนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สะท้อนจุดยืนขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับความสุขของทุกคนในสังคม ไม่เพียงแต่ในฐานะลูกค้า แต่ในฐานะ “คนในสังคมเดียวกัน” และซูเลียนยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้ากิจกรรมดี ๆ เช่นนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ และยั่งยืนในทุกมิติ

Cosmoprof CBE ASEAN 2025 Grows Global Footprint with 25,000 SQM and 650+ Exhibitors Featuring Suppliers and Group Pavilions from Asia and Europe

Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025, the premier regional beauty trade show, is set to return in full force from June 25–27, 2025 at Queen Sirikit National Convention Center (QSNCC). As the global beauty wave increasingly shifts focus to ASEAN, this year’s edition
is positioned to capitalize on the region’s strengths, particularly in high-quality natural ingredients and organic beauty innovations. Featuring over 2,000 exhibiting brands from 650 exhibitors,
the event will play a key role in propelling the ASEAN beauty industry toward sustainable
and internationally competitive growth.

Mr. Sanchai Noombunnam, General Manager of Informa Markets Thailand, noted that Thailand has emerged as a pivotal hub for the ASEAN beauty market, boasting an impressive average growth rate of 11%—one of the highest in the region. This performance contributed significantly to Southeast Asia’s beauty market valuation of USD 34 billion in the past year.

Thailand’s strengths go beyond market potential,” said Mr. Noombunnam. “Its strategic location and world-class connectivity make it the ideal host for a B2B beauty trade platform like Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025. This event connects global entrepreneurs, investors, buyers, and leading brands—enabling trend discovery, knowledge exchange, and innovation launches that together drive ASEAN’s beauty industry forward on the global stage”.

The show is the result of a strategic alliance between BolognaFiere, Informa Markets, and Shanghai Baiwen Exhibition Co., Ltd., alongside prominent industry partners. Now in its fourth edition, the 2025 event is expecting to welcome more than 17,000 visitors from Thailand, Malaysia, Singapore,
the Philippines, China, Hong Kong, Taiwan, South Korea, Italy, the United States, and over 20 other countries.

This year’s show will spotlight global beauty trends across all the sectors of the beauty industry —ranging from Ingredients and raw materials. materials, natural and organic beauty products, supplements, OEM/ODM solutions, packaging innovations, to cutting-edge manufacturing technology. Enhanced experiential zones tailored to both Thai and international businesses will be introduced, including national pavilions from global beauty powerhouses such as China, South Korea and Italy. Educational activities led by industry experts will also enrich the visitor experience.”

Mr. Gianpiero Calzolari, President of BolognaFiere, added: “Cosmoprof CBE ASEAN is growing at an incredible rate, and we are excited about that. In a short time, the exhibition received high recognition as
a reference event for all the main players in the Asean region, facilitating connection between suppliers and brands and enhancing the development of the cosmetics industry. The Asean beauty market is expanding significantly: according to EUROMONITOR INTERNATIONAL, Malaysia, Indonesia, Philippines,
and Thailand are among the top 10 countries recording the highest annual growth rate from 2024 to 2025. Such a scenario can offer new opportunities for brands interested in expanding in a region where beauty has a well-defined cultural and social value. We will continue investing in the region, with the aim of offering alternative partnerships and new solutions to our global community”.

Ms. Ying Sang, Executive Chairman of CBE China Beauty Expo, Shanghai Baiwen Exhibitions
Co., Ltd.
, shared her excitement about bringing a delegation of top Chinese exhibitors to the event.

“We’re proud to showcase premium C-beauty products alongside ASEAN’s dynamic beauty innovations,” she said. “These exhibits are expected to spark new trends and capture interest across the region. Buyers and entrepreneurs—especially those from discerning markets like China—will find invaluable networking and collaboration opportunities at the show.”

Ms. Ketmanee Lertkitcha, Chairman – Thailand Cosmetics Manufacturer Industry, added that Southeast Asia’s beauty market reached USD 34 billion (approx. THB 1.2 trillion) in 2024. The region is projected to expand at a CAGR of 16% from 2024–2028, making it one of the world’s fastest-growing beauty and cosmetics regions.

Thailand, Indonesia, Vietnam, and the Philippines lead in regional demand—driven by both local consumers and tourists. Future trends include diverse beauty solutions tailored to local skin tones and climates. The organic and natural product segment is also experiencing consistent growth at an average of 9.2%
per year
, in line with new consumer preferences for clean, cruelty-free, vegan, and eco-friendly products.

Emerging segments to watch include men’s grooming, as male consumers increasingly adopt skincare and haircare routines, and silver beauty—targeting aging populations seeking anti-aging, sensitive-skin-friendly, and easy-to-use formulations.

“Over the next decade (2025–2035), ASEAN’s beauty industry will continue to thrive—especially
for sustainable, natural, and niche-targeted products,”
Ms. Kasemanee said. “Cosmoprof CBE ASEAN 2025 presents a key opportunity for local Thai brands and OEM/ODM manufacturers to scale globally, leveraging our competitive strengths in raw materials, herbal knowledge, and cost-effective production.”

For beauty industry entrepreneurs, manufacturers, and anyone interested in beauty products, don’t miss this key opportunity for your business at Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025, taking place from 25–27 June 2025 at the Queen Sirikit National Convention Center (QSNCC). For more information and online registration, please visit: www.cosmoprofcbeasean.com

Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ยกระดับเวทีความงามภูมิภาคสู่ระดับโลก เปิดพื้นที่ 25,000 ตร.ม. รวม 650 ผู้แสดงสินค้า รวมแบรนด์ดังจากเอเชีย-ยุโรปเสริมพลัง

งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมความงามระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุด Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 เตรียมกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในระหว่างวันที่ 25–27 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ตอบรับกระแสความงามทั่วโลกหลั่งไหลสู่อาเซียน ด้วยจุดแข็งด้านวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคคุณภาพระดับโลก งานในปีนี้รวบรวมแบรนด์ความงามกว่า 2,000 แบรนด์จากผู้แสดงสินค้ากว่า 650 ราย พร้อมตอกย้ำบทบาทการเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมความงามอาเซียนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับสากล

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเป็นศูนย์กลางของตลาดความงามในอาเซียน ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่โดดเด่นถึง 11% ซึ่งอยู่ในอันดับต้นของภูมิภาคและเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ตลาดความงามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมูลค่าสูงถึง 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีที่ผ่านมา

“ประเทศไทยมีศักยภาพมากกว่าแค่ตลาดที่น่าสนใจ ทำเลที่ตั้งซึ่งเชื่อมต่อภูมิภาคได้สะดวก บวกกับโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ทำให้เหมาะอย่างยิ่งในการเป็นเจ้าภาพจัดเวทีการค้าความงามระดับ B2B อย่าง Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ที่จะเชื่อมโยงผู้ประกอบการระดับโลก นักลงทุน ผู้นำเข้าแบรนด์ต่างประเทศ
และผู้ซื้อรายสำคัญ เปิดโอกาสให้เกิดการพบปะแชร์เทรนด์ แลกเปลี่ยนความรู้ และเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งล้วนเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมความงามอาเซียนสู่ระดับโลก”

Cosmoprof CBE ASEAN เกิดจากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง BolognaFiere, Informa Markets
และ Shanghai Baiwen Exhibition Co., Ltd.
พร้อมพันธมิตรในแวดวงอุตสาหกรรม โดยปี 2568 นี้เป็นครั้งที่ 4 ของการจัดงาน และคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 17,000 รายจากกว่า 20 ประเทศ อาทิ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ อิตาลี สหรัฐอเมริกา ฯลฯ

งานในปีนี้จะนำเสนอเทรนด์ความงามระดับโลกที่ครอบคลุมทั้งซัพพลายเชน ตั้งแต่วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกและธรรมชาติ อาหารเสริม บริการรับจ้างผลิต (OEM/ODM) บรรจุภัณฑ์ ฟินิชโปรดัก
ไปจนถึงเทคโนโลยีการผลิตล้ำสมัย พร้อมโซนกิจกรรมเชิงประสบการณ์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ โดยจะมีพาวิลเลียนระดับประเทศจากผู้นำอุตสาหกรรมความงามของโลก
เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอิตาลี พร้อมเวิร์กช็อปและการสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก

นายจีอันปีร์โลร์ คาลโซลารี (Mr.Gianpiero Calzolari) ประธาน BolognaFiere กล่าวว่า “Cosmoprof CBE ASEAN เติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นงานอ้างอิงสำคัญของอุตสาหกรรมความงามในอาเซียนอย่างแท้จริง
โดยช่วยเชื่อมโยงแบรนด์และซัพพลายเออร์ พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาค
ซึ่งปัจจุบันมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ต่างติดอันดับ 10 ประเทศแรกที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดในโลก ตามรายงานของ Euromonitor International เราจึงมุ่งมั่นที่จะลงทุนต่อเนื่องในภูมิภาคนี้ เพื่อสร้างทางเลือกและพันธมิตรใหม่ ๆ ให้แก่เครือข่ายผู้เล่นในอุตสาหกรรมระดับโลก”

ด้าน คุณหยิง ซาง ประธานกรรมการบริหาร CBE China Beauty Expo บริษัท Shanghai Baiwen Exhibitions Co., Ltd. เสริมว่า เราได้นำกลุ่มผู้แสดงสินค้าชาวจีนที่โดดเด่นมาร่วมงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 เพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์ C-beauty คุณภาพสูงเคียงข้างนวัตกรรมจากอาเซียน ซึ่งจะจุดประกายเทรนด์ใหม่ ๆ และสร้างแรงบันดาลใจแก่ตลาดในภูมิภาค โดยเฉพาะผู้ซื้อจากตลาดที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น จีน ที่จะได้พบโอกาสในการจับคู่ธุรกิจที่ทรงคุณค่า

ด้าน นางเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย เปิดเผยว่า ตลาดความงามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2024 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 16% ในระหว่างปี 2024–2028
จึงนับได้ว่าเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีอุตสาหกรรมความงามและเครื่องสำอางเติบโตเร็วที่สุดในโลก

ประเทศผู้นำด้านดีมานด์ในภูมิภาค ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากผู้บริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยว โดยเทรนด์ในอนาคตจะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เฉพาะเจาะจงตามสีผิวและสภาพอากาศของท้องถิ่น รวมถึงผลิตภัณฑ์แนวธรรมชาติ ออร์แกนิก ที่เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 9.2%
ตามกระแสความต้องการผลิตภัณฑ์แบบคลีน วีแกน ปลอดสารพิษ และไม่ทดลองในสัตว์

กลุ่มสินค้ามาแรงที่น่าจับตามอง ได้แก่ กลุ่มดูแลผู้ชาย (men’s grooming) ที่เริ่มมีพฤติกรรมการดูแลผิวและผมมากขึ้น รวมถึงกลุ่ม Silver Beauty สำหรับผู้สูงอายุ ที่มองหาผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย อ่อนโยน และใช้งานง่าย

“เรามองว่าอีก 10 ปีข้างหน้า (2025–2035) อุตสาหกรรมความงามในภูมิภาคอาเซียนจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นความยั่งยืน ธรรมชาติ และตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้สูงวัย รวมถึงผู้ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม งาน CCA 2025 นี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญของทั้งแบรนด์ท้องถิ่นและผู้ผลิต OEM/ODM ในไทย ที่สามารถนำจุดแข็งด้านวัตถุดิบ สมุนไพร และกระบวนการผลิตในราคาที่แข่งขันได้ ไปต่อยอดเพื่อส่งออกสู่ตลาดหลักทั่วโลก”

สำหรับผู้ประกอบการ โรงงาน ผู้ผลิตที่อยู่ในอุตสาหกรรมความงาม และผู้ที่สนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ความงาม อย่าพลาดโอกาสสำคัญของธุรกิจคุณ ที่ Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนชมงานออนไลน์ได้ที่ www.cosmoprofcbeasean.com

OMODA & JAECOO Show Proud! โชว์ตัวตนให้โลกต้องเหลียวมอง! เฉลิมฉลองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายในฐานะแบรนด์ที่เข้าใจทุกอัตลักษณ์ ขับเคลื่อนขบวนพาเรดแห่งความภาคภูมิใจ Bangkok Pride Festival 2025

OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ ​เจคู่) แบรนด์รถที่พร้อมสนับสนุนทุกความหลากหลาย และความเข้าใจในไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ มุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์ตัวแทนของความหลากหลายและการยอมรับในทุกอัตลักษณ์ ร่วมเฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจอย่างยิ่งใหญ่ในงาน Bangkok Pride Festival 2025 ซึ่งจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568 เวลา 14.00 – 22.00 น. บนถนนพระราม 1 ตั้งแต่สนามกีฬาแห่งชาติถึงแยกราชประสงค์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยมีสองตัวแทนคนรุ่นใหม่อย่าง โยชิ รินรดา และ กัน อรรถพันธ์ ร่วมสร้างสีสันและส่งต่อพลังแห่งความภาคภูมิใจไปพร้อมกับแบรนด์อย่างสง่างาม

ภายในงานปีนี้ เต็มอิ่มด้วย 5 ขบวนหลัก 5 สี 5 คอนเซปต์ และขบวนย่อยอีกกว่า 90 ขบวน ภายใต้ธีม “Born This Way” พร้อมปรากฏการณ์ “ธงสีรุ้ง” ยาวที่สุดในประเทศไทย รวมระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร และ “ธงอัตลักษณ์” ความยาวกว่า 200 เมตร ที่จะปูทอดยาวตลอดแนวถนนพระราม 1 กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมครั้งประวัติศาสตร์ของไทยและของโลก ในการเฉลิมฉลองอัตลักษณ์และความหลากหลายในพื้นที่สาธารณะอย่างภาคภูมิ

OMODA & JAECOO เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวน Pride ด้วยแนวคิด “Show Proud: โชว์ตัวตนให้โลกต้องเหลียวมอง!” ผ่านขบวนรถไฟฟ้า 4 คันที่ตกแต่ง Wrap พิเศษในธีม Born This Way เป็นรถนำขบวน ซึ่งเคลื่อนตัวอย่างสง่างามในขบวนพาเหรด พร้อมบูธกิจกรรม ณ CentralWorld ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมาร่วมถ่ายรูป แชร์พลัง และแสดงตัวตนอย่างภาคภูมิใจ ท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคักที่มีทั้ง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมเฉลิมฉลองและเดินเคียงข้างขบวนพาเหรดอย่างเป็นทางการ เพื่อแสดงพลังสนับสนุนความหลากหลายทางเพศอย่างต่อเนื่อง 

OMODA & JAECOO เข้าร่วมขบวน Pride ด้วยคอนเซปต์ “Show Proud”: ผ่านขบวนรถ 4 คัน ได้แก่

  • “Born to Be Loved – Born to Be Part of One” ถ่ายทอดพลังแห่งความรักที่เชื่อมโยงทุกผู้คนเข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้ขอบเขต
  • “Born to Create & Inspire” สื่อถึงพลังแห่งการสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจที่ขับเคลื่อนสังคม
  • “Born to Heal Generation” สะท้อนความหวังของเยาวชนรุ่นใหม่ที่มุ่งสู่สุขภาวะและความยั่งยืน
  • “Culture in Motion” ผสานวัฒนธรรมไทยเข้ากับความทันสมัยอย่างกลมกลืน

รถไฟฟ้าทั้ง 4 คันเคลื่อนตัวอย่างสง่างามในขบวนพาเหรด พร้อมสะท้อนจุดยืนของแบรนด์ที่เคารพในอัตลักษณ์และความหลากหลายอย่างแท้จริง 

คุณสุชาดา ชูสงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “OMODA & JAECOO เชื่อมั่นว่า ‘ความหลากหลาย’ ของผู้คนคือหัวใจสำคัญของสังคมที่ก้าวหน้าและเปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ เราไม่ได้มองความหลากหลายทางเพศ ไลฟ์สไตล์ หรือความคิดเป็นเพียงความแตกต่าง 

ในฐานะแบรนด์ยานยนต์ที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ทั่วโลก เราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Bangkok Pride Festival 2025 เพราะเราเชื่อว่าทุกคนควรมีพื้นที่ในการแสดงตัวตนอย่างอิสระ ปลอดภัย และสง่างาม

การสนับสนุนงาน Pride ในครั้งนี้ของ OMODA & JAECOO จึงไม่ใช่เพียงการเข้าร่วมกิจกรรมตามกระแส แต่คือการแสดงออกอย่างชัดเจนถึงจุดยืนของแบรนด์ที่เชื่อมั่นในคุณค่าของ “ความหลากหลาย” ในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเพศสภาพ ความคิด ไลฟ์สไตล์ หรือวัฒนธรรม

เราจึงพร้อมใช้ทุกเวทีและทุกโอกาสในการขับเคลื่อนบทสนทนา สร้างพื้นที่ที่เปิดกว้าง และส่งต่อแรงบันดาลใจให้ทุกคนกล้าเป็นในแบบของตนเอง

ในโอกาสนี้ เราขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมเฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจนี้อย่างเต็มที่ กล้าที่จะเป็นในแบบที่คุณเป็น และแสดงตัวตนของคุณออกมาให้โลกได้เห็น เพราะโลกใบนี้จะสวยงามที่สุด เมื่อทุกคน ‘กล้าเป็นตัวเอง’”

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมต่อเนื่องตลอดเดือนมิถุนายน เพื่อสานต่อพลังแห่งความภาคภูมิใจ ได้แก่:

1. กิจกรรมโชว์รูมทั่วประเทศทั้งหมด 36 แห่ง ที่มาพร้อม

  • โปรโมชั่นสุดพิเศษ เมื่อจองและออกรถภายใน 30 มิถุนายน 2568 อาทิ 
  • JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) ราคาเริ่มต้น 899,000 บาท ที่มอบส่วนลดกับแคมเปญ Eco Bonus มูลค่า 10,000 บาท สำหรับลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ประเภทเครื่องยนต์สันดาป (ICE) หรือ ไฮบริด (HEV), ฟรีค่าบำรุงรักษารถ (ค่าแรง และ ค่าอะไหล่) เป็นระยะเวลา 2 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และข้อเสนออื่นมูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท* 
  • JAECOO 6 EV LONG RANGE 4WD เฉพาะสี Forest Green และ Lunar Silver รับข้อเสนอพิเศษกับส่วนลดสูงสุด 150,000 บาท และข้อเสนออื่น ๆ อีกมากมาย*
  •  OMODA C5 EV Long Range Max และ OMODA C5 EV Long Range Dynamic ดาวน์เริ่มต้นเพียง 8,888 บาท ผ่อนนานสูงสุด 84 เดือน*

2. Pride Roadshow – เดินสายขับรถ OMODA C5 EV  และ JAECOO 6 EV ทั่วไทย

  • รถ OMODA C5 EV  และ JAECOO 6 EV  แต่งลาย Pride ด้วยคอนเซปต์ “Show Proud” ทั้ง 4 คันเดินสายไปกับขบวน เพื่อทำกิจกรรมตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ
  • เพื่อสร้างการรับรู้และส่งต่อพลังแห่งความภาคภูมิใจในทุกพื้นที่

OMODA & JAECOO เดินหน้าสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ “กล้าแตกต่าง” และยืนหยัดเพื่อ “ความหลากหลายทางไลฟ์สไตล์” อย่างแท้จริง ไม่จำกัดเพศ สถานะครอบครัว รุ่น หรืออายุ พร้อมสนับสนุนให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสีสันและภาคภูมิใจในแบบของตนเอง

ด้วยความเข้าใจในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไลฟ์สไตล์ที่มีหลากหลายมากขึ้นในทุกเจเนอเรชัน OMODA & JAECOO จึงไม่เพียงเป็นแบรนด์ยานยนต์ แต่ยังเป็นตัวแทนของการใช้ชีวิตที่หลากหลาย แตกต่าง และลงตัว ภายใต้แนวคิดที่เปิดกว้าง เข้าใจ และเคารพในทุกอัตลักษณ์

ทั้งหมดนี้สะท้อนผ่านสโลแกน “Show Proud: โชว์ตัวตนให้โลกต้องเหลียวมอง!” ที่เชิญชวนทุกคนให้กล้าที่จะเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด

*ศึกษาเงื่อนไขและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่WWW.OMODAJAECOO.CO.TH หรือสอบถามรายละเอียดได้ โทร. 02-020-8888 หรือที่ผู้จำหน่ายทั่วประเทศ

ลดแรงวันสิ่งแวดล้อมโลก! โฮมโปร เมกาโฮม ชวนช้อป CIRCULAR PRODUCTS คุ้มแบบรักษ์โลก! ได้ส่วนลด-คะแนนโฮมการ์ด X5 พร้อมกระเป๋าช้อปปิ้งรักษ์โลกฟรีทุกใบเสร็จ ช้อปคุ้มแบบรักษ์โลก พร้อมกันทั่วประเทศ 5 มิ.ย.นี้ วันเดียวเท่านั้น!

สองแบรนด์คู่หูเรื่องบ้าน โฮมโปร เมกาโฮม ชวนทุกคนเติมความกรีนให้บ้าน จัดใหญ่! โปรพิเศษรับวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน 68 นี้ เลือกช้อปสินค้ารักษ์โลก หรือ Circular Products ไม่ว่าจะเป็น #ตู้เย็นรักษ์โลก #เครื่องซักผ้ารักษ์โลก #เครื่องทำน้ำอุ่นรักษ์โลก #พัดลมรักษ์โลก #กระเบื้องรักษ์โลก #กระเป๋ารักษ์โลก #เก้าอี้รักษ์โลก #กล่องรักษ์โลก ทุกชิ้นทุกรายการ พร้อมตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ในฐานะผู้นำค้าปลีกสินค้าและบริการเรื่องบ้านที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกๆ มิติ ชวนช้อปคุ้มๆ แบบรักษ์โลก รับทันทีสิทธิประโยชน์ 3 ต่อให้ใจฟูทั้งผู้ซื้อและโลกของเรา

  • ต่อที่ 1 รับคูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จ มูลค่า 500 บาท เมื่อช้อปสินค้ารักษ์โลก หรือ Circular Products ครบ 2,000 บาทขึ้นไป สำหรับนำกลับไปช้อปสินค้าใดก็ได้ ที่โฮมโปรและเมกาโฮม
    ตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป (จำกัดคูปอง 1 สิทธิ์/สมาชิกโฮมการ์ด ตลอดรายการ)
  • ต่อที่ 2 รับคะแนนสะสมโฮมการ์ด x5 สูงสุด 5,000 คะแนน/สมาชิกโฮมการ์ด (จำกัด 200 สิทธิ์/ตลอดรายการ)
  • ต่อที่ 3 รับฟรี! กระเป๋ารักษ์โลก 1 ใบ เมื่อชำระเงินผ่านบัตรเครดิต VISA ทุกประเภท ที่โฮมโปร หรือเมกาโฮม ทุกสาขา (ยกเว้นช่องทางออนไลน์) (จำกัดเฉพาะ 200 ท่านแรกเท่านั้น)

ห้ามพลาด! เปลี่ยนทุกแรงช้อปเป็นพลังช่วยโลก พร้อมรับคุ้มจัดเต็มในวันสิ่งแวดล้อมโลก เฉพาะวันที่ 5 มิถุนายน 2568 นี้ วันเดียวเท่านั้น!

มาร่วมรักษ์โลกด้วยกันที่ โฮมโปร เมกาโฮม ทุกสาขาทั่วประเทศ

#สินค้ารักษ์โลกจากวัสดุหมุนเวียน #CircularProducts #ร่วมรักษ์โลกไปกับโฮมโปร #HomeProCircularProducts
#โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #เมกาโฮม #MegaHome #ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและงานช่าง #Homepropr

“สตาร์มาร์ค” ร่วมเปิดตัว “โรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี” ความลงตัวระหว่างทำเลที่ดีที่สุดและความหรูหราระดับห้าดาว พร้อมร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 17 ปี ของกลุ่มโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์

นางสาวณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ (ที่ 3 ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง เข้าร่วมแสดงความยินดีในงานเปิดตัวโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี (Grande Centre Point Lumphini BANGKOK) แลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ความลงตัวระหว่างทำเลที่ดีที่สุดและ ความหรูหราระดับห้าดาว ดีไซน์ที่ใส่ใจในทุกมิติ โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก สวนลุมพินี สวนสาธารณะแห่งแรกในกรุงเทพฯ พื้นที่เขียวชอุ่มที่ผู้คนในชุมชนได้เข้ามาใช้เวลาร่วมกันท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ สู่การส่งต่อความประทับใจผ่านดีไซน์ของโรงแรมที่จะสร้างความทรงจำแสนล้ำค่าให้กับผู้เข้าพักทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 17 ปี ของกลุ่มโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจโรงแรมแบรนด์ไทย เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

โดย STARMARK ได้รับความไว้วางใจในการผลิตเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน ฝ้า ผนังตกแต่งหัวเตียง ผนังตกแต่งด้วยอินทีเรียฟิล์มพิมพ์ลายแบบพรีเมียม ชุดครัวแพนทรี ชุดตู้ห้องน้ำ ตกแต่งตามดีไซน์ทั้งภายในห้องพักทั้งหมดรวมกว่า 512 ห้อง รวมถึงไฮท์ไลท์ของโรงแรมอย่างห้องห้องเพนท์เฮาส์ ห้องพักหนึ่งเดียวที่สุดแห่งความหรูหราและความสะดวกสบาย แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 176 ตารางเมตร มาพร้อมกับโซนห้องนั่งเล่น ห้องแต่งตัว ห้องครัวแพนทรีและห้องรับประทานอาหารที่กว้างขวาง รองรับการพักผ่อนอย่างเหนือระดับและดื่มด่ำไปกับวิวพาโนรามาแห่งมหานครที่ลุมพินี และสตาร์มาร์คยังตกแต่งผนังโถงทางเดินหน้าลิฟต์ด้วยอินทีเรียฟิล์มพิมพ์ลายอย่างประณีต เพื่อให้สะท้อนถึงความเป็นแบรนด์โรงแรมระดับเวิลด์คลาสได้อย่างสง่างาม

ท่านสามารถติดตามข่าวสารต่าง ๆ ของสตาร์มาร์ค อินทีเรีย ได้ที่ www.starmark.co.th / Facebook: StarmarkInterior / Instagram :Starmarkinterior หรือ Line@: @starmarkinterior

โรงพยาบาลพระรามเก้า ผนึกกำลังเครือข่ายภาคใต้จัดสัมมนาวิชาชีพ “การพยาบาลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง และการผ่าตัดเปลี่ยนไต”

นพ.วิรุฬห์  มาวิจักขณ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ และผู้อำนวยการสถาบันโรคไตและเปลี่ยนไต พร้อมด้วย นพ.วิทยา วันเพ็ญ รองกรรมการผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระรามเก้า และ นพ.บรรจบ มานะกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทักษิณ ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาวิชาชีพ“การพยาบาลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง และการผ่าตัดเปลี่ยนไต” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อยกระดับองค์ความรู้ทางการแพทย์ และเปิดเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยโรคไตระดับวิชาชีพ โดยมี รศ.พญ.ชนิกานต์ ศมาวรรตกุล, พญ.สรัลชนา เจียมพจมาน และนายอาคม เดชประมวลพล จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 11 สุราษฎร์ธานี ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ในหัวข้อสำคัญ ได้แก่ แนวทางการรักษาโรคไต, “ไตใหม่ ชีวิตใหม่” : การผ่าตัดปลูกถ่ายไต และสิทธิของผู้ป่วยโรคไต ณ ห้องศรีวิชัย ซีดี โรงแรมวังใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี