โฮมโปร จับมือ มาซูม่า เปิดตัว “เครื่องทำน้ำอุ่นรักษ์โลกจากพลาสติกหมุนเวียน” ดันเทรนด์ “ไลฟ์สไตล์ใหม่ ใส่ใจโลก” ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน

สองแบรนด์รักษ์โลก เดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ “โฮมโปร” ผู้นำค้าปลีกเรื่องบ้าน จับมือ “มาซูม่า” ผู้นำระบบจัดการน้ำและอากาศครบวงจร ดันเทรนด์ “ไลฟ์สไตล์ใหม่ ใส่ใจโลก” เปิดตัวเครื่องทำน้ำอุ่นรักษ์โลก (Circular Products) ที่มีส่วนประกอบพลาสติกหมุนเวียน PCR (Post-Consumer Recycled) ถึง 52% ร่วมกันลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” ตอบโจทย์ ความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจรักษ์โลก

นายแสงศักดิ์ สรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดซื้อ Water Solution & Electric Merchandising  กล่าวว่า  โฮมโปร เดินหน้าสู่ธุรกิจยั่งยืน ด้วยการพัฒนาเครื่องใช้ไฟฟ้ารักษ์โลก (Circular Products) ที่ทำจากวัสดุหมุนเวียน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์การหมุนเวียนทรัพยากรให้ไม่เสียเปล่าและเกิดมูลค่าสูงสุด พร้อมแก้ปัญหาของผู้บริโภค ด้วยการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าไปจัดการอย่างถูกวิธี ช่วยลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ WEEE (Waste of Electrical and Electronic Equipment) ได้อย่างยั่งยืน ครั้งนี้โฮมโปรได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง “มาซูม่า” ในการนำเม็ดพลาสติกรีไซเคิล PCR (Post-Consumer Recycled) มาตรฐานระดับสากลมาผลิตเป็นเครื่องทำน้ำอุ่นรักษ์โลก ที่ได้คุณภาพและมาตรฐานของแบรนด์มาซูม่า ซึ่งตอบโจทย์ทั้งการประหยัดน้ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการมีส่วนร่วมรักษ์โลกอย่างเป็นรูปธรรม

ด้าน นายศรัล ดุรงค์เดช กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาซูม่า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ซึ่งทางมาซูม่ามุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “Mazuma Sustainable Living”  ล่าสุด “มาซูม่า” ได้จับมือกับ “โฮมโปร” เปิดตัวเครื่องทำน้ำอุ่นรักษ์โลก ที่มาพร้อมแนวคิด นำเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง Post-Consumer Recycled) มาใช้เป็นส่วนประกอบถึง 52% ซึ่งเป็นการช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกล้นโลกอย่างยั่งยืน  ทั้งนี้ มาซูม่าตั้งเป้าผลิตเครื่องทำน้ำอุ่นรักษ์โลก จำนวน 4,000 – 5,000 เครื่อง เพื่อขับเคลื่อนตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเครื่องทำน้ำอุ่นในประเทศไทย”

เครื่องทำน้ำอุ่นรักษ์โลก มาพร้อมกับเทคโนโลยีจากมาซูม่า ที่ช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 25% ผ่านหัวฝักบัวประสิทธิภาพสูง ปรับระดับความแรงน้ำได้ 5 ระดับ พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยของเทคโนโลยี i-SAFE Protection ตรวจเช็คสายดินอัตโนมัติขณะติดตั้ง และ ELCB Power Relay Protection ที่ตัดไฟอัตโนมัติใน 0.1 วินาที เมื่อเกิดกระแสไฟฟ้ารั่ว เสริมด้วย Overheat Protection ป้องกันน้ำร้อนลวก ด้วยระบบควบคุมอุณหภูมิ 2 ชั้น และระบบป้องกันน้ำเข้าสู่ตัวเครื่อง ลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าช็อต พร้อมดีไซน์ที่ออกแบบมาตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การแต่งบ้าน

สัมผัสประสบการณ์อาบน้ำอุ่นอย่างปลอดภัย สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม กับเครื่องทำน้ำอุ่นรักษ์โลก ได้แล้วที่ โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ และโฮมโปรออนไลน์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.homepro.co.th หรือโทร Call Center หมายเลข 1284

#สินค้ารักษ์โลกผลิตจากวัสดุหมุนเวียน #CircularProducts #CircularEconomy #โฮมโปร #HomePro #BetterLiving #Homepropr #มาซูม่า #mazuma #เครื่องทำน้ำอุ่นรักษ์โลก

สคส. ห่วงใยเหตุแผ่นดินไหว เน้นย้ำประชาชนระวังข่าวปลอม ตรวจสอบข้อมูลก่อนโพสต์หรือแชร์ทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

สคส. ห่วงใยเหตุแผ่นดินไหว เน้นย้ำประชาชนระวังข่าวปลอม ตรวจสอบข้อมูลก่อนโพสต์หรือแชร์ทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) แสดงความห่วงใยประชาชนจากกรณีการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในประเทศเมียนมา และส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน จากเหตุดังกล่าวส่งผลให้โลกออนไลน์มีการแชร์ข่าวปลอมเป็นจำนวนมาก และเหล่ามิจฉาชีพอาศัยสถานการณ์ดังกล่าวส่งลิงก์ผ่าน SMS และโพสต์ลิงก์ข่าวปลอม โดยหากประชาชนไม่ระมัดระวังและกดลิงก์ดังกล่าว อาจนำมาสู่ความไม่ปลอดภัยทั้งทรัพย์สินและข้อมูลส่วนตัว

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการ สคส.กล่าวว่า ในช่วงสภาวะวิกฤตนี้ อยากจะขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังข่าวปลอมที่แฝงมากับเหตุการณ์ต่างๆ หรือข่าวลือที่ไม่มีแหล่งที่มาอย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะกระทบต่อข้อมูลส่วนตัวของตนเองและผู้อื่น นอกจากนี้ การโพสต์ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงอาจทำให้เกิดความแตกตื่นในสังคมและยิ่งสร้างสถานการณ์ให้แย่ลง ดังนั้น ขอให้ประชาชนเลือกติดตามข่าวสาร ข้อมูล และสถานการณ์จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้อย่างมีสติ และไม่ตื่นตระหนก 

          ทั้งนี้ สคส.ขอแสดงความเสียใจต่อผู้ประสบภัย และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์วิกฤตนี้ ทั้งนี้ หากประชาชนพบเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล สามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)โทร. 02-111-8800 หรืออีเมล saraban@pdpc.or.th

ข้อมูลรั่วไหลเป็น “0”

UNFPA-สสส. ผนึกกำลังภาครัฐ ภาคี 8 หน่วยงาน ปลดล็อกแพลตฟอร์ม SoSafe เดินหน้ายกระดับสุขภาพและความปลอดภัย ผ่านการพัฒนาชีวิตทุกช่วงวัย สำหรับทุกกลุ่ม ทุกเพศและทุกวัย

กรุงเทพฯ – กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุ ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม SoSafe ซึ่งเป็นโครงการสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ ความปลอดภัย และการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทย

พิธีลงนามจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 ณ โรงแรมพริ้น พาเลซ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วม อาทิ ดร. จูลิตตา โอนาบันโจ ผู้อำนวยการ UNFPA ประจำประเทศไทยและผู้แทนประจำประเทศมาเลเซีย นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นพ. โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และตัวแทนจากหน่วยงานอื่น ๆ รวมถึง นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของโครงการ SoSafe และผู้ผลักดันสำคัญในการจัดงานครั้งนี้

ดร. จูลิตตา โอนาบันโจ ผู้อำนวยการกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNFPA Thailand) กล่าวว่า บันทึกข้อตกลงฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวางกรอบความร่วมมือและสร้างพันธมิตรที่เข้มแข็งในการพัฒนาแพลตฟอร์ม SoSafe ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ 

  • การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรในด้าน สุขภาพมารดา สุขภาพทางเพศ อนามัยการเจริญพันธุ์ และสิทธิทางเพศภาวะการบูรณาการแพลตฟอร์ม SoSafe เข้ากับระบบสนับสนุนด้านสุขภาพ สังคม และชุมชนการสนับสนุนทรัพยากรเพื่อให้ SoSafe สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนการส่งเสริมการพัฒนานโยบายที่ช่วยให้ชุมชนมีความปลอดภัยและครอบคลุมมากขึ้น
  •  ทั้งนี้ ภาคีที่ร่วมลงนามในข้อตกลงนี้ตกลงที่จะร่วมมือกันในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การให้คำปรึกษา และการบูรณาการทรัพยากร เพื่อให้แพลตฟอร์ม SoSafe สามารถดำเนินการและขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดกลไกการประชุมเพื่อติดตามผลและวางแผนความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง โดยข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้มีระยะเวลา 3 ปี มีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการนำเทคโนโลยีและแนวทางการพัฒนาแบบบูรณาการมาใช้ ภายใต้แผนดำเนินการ SoSafe จะเริ่มนำร่องในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือเขตที่มีประชากรกลุ่มเปราะบางจำนวนมาก

    ด้าน นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างระบบสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม โดย เฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ แพลตฟอร์ม SoSafe จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยบูรณาการบริการด้านสังคม สุขภาพ และความปลอดภัยให้เป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมที่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

    นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของแพลตฟอร์ม SoSafe กล่าวเสริมว่า “สสส. เล็งเห็นว่า SoSafe เป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มโอกาสให้คนไทยทุกวัยเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและความปลอดภัยได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เราเชื่อว่าด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แพลตฟอร์มนี้จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสร้างสังคมที่เอื้อต่อสุขภาวะทั้งทางกาย ใจ และสังคมได้อย่างแท้จริง”

    การลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาแพลตฟอร์มที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพ และความปลอดภัยของประชาชน ผ่านการร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมที่ยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

    สคส. จับมือ Meta เปิดตัว DPA Casework Channel ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

    สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ผนึกกำลัง Meta เปิดตัว DPA Casework Channel ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกละเมิด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในโลกออนไลน์ปัจจุบัน เพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับปัญหาข้อมูลรั่วไหล และเสริมสร้างมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย

    ภายในงานมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสององค์กรเข้าร่วมประชุม ณ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อาทิ นายเธียรชัย ณ นคร ประธานกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมด้วยกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล,กรรมการผู้เชี่ยวชาญ,พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการ PDPC, พ.ต.อ.ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะผู้บริหารจาก PDPC ทางฝั่ง Meta นำโดย Ms. Arianne Jimenez Head of Privacy and Data Policy พร้อมทีมผู้แทนจาก Meta ประเทศไทย

    พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการ สคส. กล่าวว่า ปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งานเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งบนโซเชียลมีเดีย DPA Casework Channel เป็นช่องทางใหม่ที่ช่วยให้ สคส. ประสานงานกับ Meta ได้โดยตรง ทำให้สามารถรับเรื่อง ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลได้

    อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยช่องทางนี้จะช่วยจัดการปัญหาหลัก ได้แก่ บัญชีถูกแฮก (Account Hacking), ข้อมูลถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต และการแอบอ้างข้อมูลส่วนบุคคล

    นอกจากการเปิดตัวช่องทางใหม่นี้ Meta ยังได้นำเสนอแนวทาง Meta’s Privacy Program         เพื่อส่งเสริมมาตรการด้านความปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม และร่วมกันวางแนวทางลดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา และผู้สูงอายุ เกี่ยวกับ วิธีใช้ข้อมูลให้ปลอดภัยในโลกออนไลน์

    Ms. Arianne Jimenez, Head of Privacy and Data Policy กล่าวว่า “การเปิด DPA Casework Channel ในประเทศไทย จะช่วยให้ สคส. สามารถประสานงานกับ Meta ได้โดยตรง ทำให้สามารถตรวจสอบและแก้ไขเรื่องร้องเรียนด้านข้อมูลส่วนบุคคลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความปลอดภัยของผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มของเรา”

    พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวปิดท้ายว่า “การร่วมมือกับ Meta ในการส่งเสริมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลผ่าน Meta’s Privacy Program และ DPA Casework Channel จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน เพราะข้อมูลส่วนตัวจะได้รับการปกป้องอย่างเข้มแข็ง ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของ สคส. และประเทศไทย—มุ่งสู่ยุคที่ข้อมูลรั่วไหลเป็น ‘0’”

    ทั้งนี้ หากประชาชนพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย หรือมีเหตุเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล สามารถแจ้งเบาะแส สอบถาม หรือร้องเรียนมายัง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) โทร. 02-111-8800 หรืออีเมล saraban@pdpc.or.th

    LOAN DD ยอดทะลุเป้า! มูลค่าทรัพย์สินขายฝากพุ่งทะลุ 170 ล้านบาทคาดไตรมาสแรกแตะ 200 ล้านแน่นอน

    LOAN DD ตอกย้ำบทบาทผู้นำแพลตฟอร์มตัวกลางด้านการขายฝากและจำนอง เดินหน้าสร้างสภาพคล่องให้กับ SME ไทยที่มีศักยภาพ ล่าสุดเผยตัวเลขเดือนมีนาคม ยอดขายฝากทะลุ 170 ล้านบาทภายในครึ่งเดือนแรก สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจที่ยังซบเซา พร้อมตั้งเป้าไตรมาสแรกแตะ 200 ล้านบาท

    นายวรวุฒิ กิตติอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โลนด์ ดีดี จำกัด (LOAN DD) เปิดเผยว่า “ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย หนี้ครัวเรือนของไทยแตะระดับ 90% ของ GDP ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเผชิญกับข้อจำกัดด้านการเงิน ธุรกิจ SME จำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคาร เนื่องจากขาดหลักประกันที่ตรงตามเงื่อนไขหรือมีข้อจำกัดด้านเครดิตสกอร์ ทำให้หลายธุรกิจต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และบางส่วนกำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่สามารถช่วยให้พวกเขาเข้าถึงเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

    LOAN DD ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับขายฝากและจำนองอสังหาริมทรัพย์ให้กับผู้ประกอบการ SME เป็นมูลค่ารวมกว่า 170 ล้านบาทแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเงินทุนที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและสภาพคล่องของหลายธุรกิจจะยังตึงตัว การเข้าถึงแหล่งเงินทุนแบบดั้งเดิมผ่านสถาบันการเงินยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ LOAN DD จึงเข้ามาเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการปลดล็อกสภาพคล่องและช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถใช้ทรัพย์สินของตนเองเป็นแหล่งเงินทุนเพื่อให้กิจการเดินหน้าต่อไปได้

    นายวรวุฒิ กล่าวต่อว่า “LOAN DD เข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้ โดยให้บริการเป็นตัวกลางในการขายฝากและจำนองอสังหาริมทรัพย์ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำที่ดิน บ้าน หรือคอนโดมาเปลี่ยนเป็นเงินทุนได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมาย โดยปัจจุบัน LOAN DD ยังมีวงเงินรับขายฝากและจำนองที่สามารถช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับ SME ได้อย่างมีนัยสำคัญ”ในช่วงครึ่งแรกของเดือนมีนาคมที่ผ่านมา วงเงินที่เราอนุมัติไปแล้ว เกิน 100 ล้านบาท และหากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป เรามั่นใจว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ LOAN DD จะสามารถปล่อยกู้ได้ตามเป้าหมาย 200 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ SME ไทยจำนวนมากได้รับการสนับสนุนที่พวกเขาต้องการเพื่อเดินหน้าธุรกิจต่อไป”ปัจจุบัน หลายภาคส่วนกำลังจับตาสถานการณ์เศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด การชะลอตัวของการลงทุน การบริโภคที่ลดลง และหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจ SME เผชิญกับความท้าทายในการขยายกิจการและรักษาสภาพคล่อง LOAN DD จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถเข้ามาช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเข้าถึงเงินทุนได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ยุ่งยากเหมือนการขอสินเชื่อจากธนาคาร

    โดยธุรกิจ “SME ไทยยังมีศักยภาพในการเติบโต แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้องและทันเวลา เราไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงแค่การปล่อยสินเชื่อ แต่ยังมุ่งเน้นการช่วยให้ธุรกิจบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว” นายวรวุฒิ กล่าวปิดท้าย

    สำหรับผู้ที่ต้องการคำปรึกษาด้านการเงิน ต้องการขายฝาก จำนองที่ดิน บ้าน คอนโด หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ สามารถติดต่อ LOAN DD ได้ที่ โทร. 081-638-6966 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.loandd.co.th และ Line ID: @loan_dd

    COSMAX Invests 1.5 Billion Baht in a New FactoryTripling Production Capacity to Elevate Thailand’s Cosmetics Industry to a Global Level

    The cosmetics market is heating up as COSMAX (Thailand) Co., Ltd., a global leader in beauty product manufacturing with over 600 brands from South Korea, invests more than 1.5 billion baht in a world-class OEM/ODM cosmetics production facility in Thailand. Spanning 35,995 square meters, the new factory will triple its production capacity, incorporating advance cosmetic manufacturing technologies to enhance efficiency and support the growing demand in both domestic and international markets.

    Mr. Mingoo Kang, Chief Executive Officer (CEO) of COSMAX (Thailand), emphasized that the beauty industry is experiencing rapid growth in Thailand and worldwide, driven by consumers’ increasing focus on personal care and the influence of social media, which encourages people to pay greater attention to beauty and personal appearance. According to Euromonitor, Thailand’s Beauty and Personal Care market is projected to reach 3.03 billion baht by 2025. The construction of COSMAX’s new factory marks a significant milestone in enhancing manufacturing capabilities to meet the demands of the fast-growing cosmetics market. It also strengthens Thailand’s position as ASEAN’s leading OEM/ODM beauty product manufacturing hub.

    In 2024, COSMAX achieved a 65.4% growth rate, with an average five-year growth rate of 16.1%. Key factors behind this success include the increasing demand for cosmetics and the rise of new market players, such as influencers launching their own beauty brands and emerging cosmetics startups. Despite intensifying competition, COSMAX maintains its industry leadership through high-quality, standardized manufacturing processes and advance technology, ensuring product innovation that meets consumer needs.

    COSMAX Thailand’s new 1.5 billion baht investment covers 35,995 square meters, including a 5,560-square-meter warehouse and a 30,435-square-meter production area. This expansion will triple the current production capacity, with construction expected to be completed by 2026. The new factory will play a crucial role in addressing the increasing demand in both domestic and international markets.

    Mr. Mingoo Kang further highlighted that this expansion enables COSMAX Thailand to broaden its product offerings across all segments, including makeup, skincare, fragrances, and body care, catering to the continuously growing consumer demand. The factory will incorporate advanced smart technologies, such as Real-Time Management, SAP systems, robotics, and Automated Guided Vehicles (AGVs), to enhance production efficiency and minimize human errors.

    Additionally, the factory will adhere to global quality control standards, including ISO 22716, ISO 9001, and ISO 14001, and receive certifications from certifications from the FDA, Halal, and Vegan organizations, ensuring that every product meets the highest safety and quality standards.

    Sustainability is a core focus of COSMAX Thailand. The new facility will feature localized ventilation systems with carbon filters to reduce VOCs emissions, smart wastewater treatment systems for water recycling, and renewable energy solutions, such as solar panels and energy-efficient LED lighting with intelligent sensors. The company is also committed to Zero Water Waste, reusing wastewater from production processes and promoting waste recycling to minimize environmental impact. Furthermore, COSMAX is dedicated to Environmental, Social, and Governance (ESG) policies to ensure long-term business sustainability.

    Beyond environmental efforts, COSMAX is committed to giving back to society by supporting community development initiatives, including skills training and job creation for local workers near the factory to enhance their quality of life. The company also prioritizes employee health, safety, and welfare to ensure a positive and secure working environment.

    The opening of COSMAX Thailand’s new cosmetics manufacturing facility will also boost the economy and employment, creating over 400 new jobs and supporting local businesses through the procurement of raw materials from domestic suppliers, thereby stimulating the local economy. This production expansion is not only designed to accommodate the fast-growing beauty market but also to provide a solid foundation for brands looking to develop their own cosmetics sustainably, positioning COSMAX Thailand at the forefront of 2025 beauty trends.

    For more information, explore:
    📌 Facebook: Cosmax Thailand
    📌 TikTok: cosmax_th
    📌 Website: https://www.cosmax.co.th

    COSMAX ทุ่มงบ 1,500 ล้านบาท สร้างโรงงานใหม่ ขยายกำลังการผลิต 3 เท่า ยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยสู่ระดับโลก

    ตลาดเครื่องสำอางเดือด COSMAX หรือ บริษัท ซีโอเอสเอ็มเอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำด้านการผลิตสินค้าความงามระดับโลกมากกว่า 600 แบรนด์ จากประเทศเกาหลี ทุ่มงบประมาณกว่า 1,500 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเครื่องสำอาง OEM/ODM ระดับโลกในประเทศไทย ด้วยพื้นที่กว่า 35,995 ตารางเมตร สามารถเพิ่มกำลังการผลิตถึง 3 เท่า มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีการผลิตเครื่องสำอางที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางทั้งในประเทศและทั่วโลก

    นายมินกู คัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอเอสเอ็มเอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ COSMAX ผู้นำด้านการผลิตสินค้าความงามระดับโลกมากกว่า 600 แบรนด์ จากประเทศเกาหลี เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมความงามทั้งในไทยและทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้ผู้บริโภคยังได้รับอิทธิพลของ Social Media ที่กระตุ้นให้ผู้คนใส่ใจในเรื่องความสวยความงามและบุคลิกภาพมากขึ้น โดยข้อมูลจาก Euromonitor คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตลาด Beauty and Personal Care ในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 3.03 แสนล้านบาท ดังนั้นการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ของ COSMAX จึงเป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับศักยภาพการผลิต เพื่อรองรับตลาดเครื่องสำอางที่เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมความงามของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในเวทีสากล และส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตสินค้าความงาม OEM/ODM ของอาเซียน

    ในปีที่ผ่านมา COSMAX มีอัตราการเติบโต 65.4% และเติบโตเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี 16.1% ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ COSMAX ประสบความสำเร็จ และเติบโตอย่างต่อเนื่องคือ ความนิยมในการใช้เครื่องสำอางที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ตลาดเครื่องสำอางขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาด ไม่ว่าจะเป็น Influencers ที่สร้างแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง หรือแม้กระทั่งแบรนด์เครื่องสำอางน้องใหม่ ที่ก้าวเข้าลงทุนและแข่งขันในตลาดนี้ แม้จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นแต่ COSMAX ยังสามารถเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นคง ด้วยกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ โดยมีการใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการผลิต ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

    สำหรับก่อสร้างโรงงานใหม่ COSMAX Thailand ได้ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท บนพื้นที่รวมกว่า 35,995 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นพื้นที่คลังสินค้า 5,560 ตารางเมตร และพื้นที่ฝ่ายการผลิต 30,435 ตารางเมตร ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากเดิม คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในปี 2569 และการก่อสร้างโรงงานครั้งนี้มีบทบาทสำคัญในการรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตลาดในประเทศ และต่างประเทศที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว

    นายมินกู คัง กล่าวต่อไปว่า นับเป็นก้าวสำคัญของ COSMAX Thailand เพื่อขยายกำลังการผลิตครอบคลุมในทุกเซกเม้นต์ เครื่องสำอาง Makeup ประเภทต่างๆ สกินแคร์ น้ำหอม และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโรงงานแห่งใหม่นี้จะนำเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ทันสมัยมาใช้ภายในโรงงาน เช่น ระบบ Real Time Management และ SAP รวมถึงหุ่นยนต์และ AGV (Automated Guided Vehicle) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานของมนุษย์

    นอกจากนี้ยังมีมาตรการควบคุมคุณภาพระดับสากล เช่น ISO 22716, ISO 9001, ISO 14001 และการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ เช่น FDA, Halal และ Vegan certification เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่ออกจากโรงงานมีคุณภาพสูงและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค

    COSMAX Thailand ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยโรงงานแห่งใหม่ติดตั้งระบบระบายอากาศเฉพาะจุดที่มีตัวกรองคาร์บอนเพื่อลดสาร VOCs รวมถึงมีระบบบำบัดน้ำเสียอัจฉริยะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้บริษัทยังใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น แผงโซลาร์เซลล์ และระบบไฟ LED พร้อมเซ็นเซอร์อัจฉริยะเพื่อลดการใช้พลังงาน รวมถึงการให้ความสำคัญกับแนวทาง Zero Water Waste โดยนำน้ำเสียจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ และส่งเสริมการรีไซเคิลขยะเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งดำเนินนโยบายด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) อย่างเข้มข้นเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจอีกด้วย

    นายมินกู คัง กล่าวอีกว่า นอกจากการใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนแล้ว เรามุ่งมั่นการตอบแทนให้แก่สังคม ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาในชุมชน เช่น การพัฒนาทักษะและการสร้างงาน ส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงานในชุมชนรอบๆ พื้นที่โรงงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น การดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน รวมถึงสวัสดิการและความปลอดภัยในการทำงาน

    การเปิดโรงงานผลิตเครื่องสำอางแห่งใหม่ของ COSMAX Thailand ยังส่งผลสำคัญด้าน เศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยเพิ่มตำแหน่งงานกว่า 400 ตำแหน่ง พร้อมส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นผ่านการซื้อวัตถุดิบจาก ผู้ผลิตในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น การขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วย รองรับตลาดความงามที่เติบโต แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้กับผู้ที่ต้องการผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ตัวเองอย่างยั่งยืน พร้อมตอบโจทย์ เทรนด์เครื่องสำอาง 2025 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สอบถามข้อมูล และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

    Facebook: Cosmax Thailand, TikTok: cosmax_th และ Website: https://www.cosmax.co.th

    ค้าปลีกเรื่องบ้านที่ผู้บริโภคเชื่อมั่น! “โฮมโปร” คว้ารางวัล “2025 Thailand’s Most Admired Brand” แบรนด์ที่น่าเชื่อถือและได้รับความไว้วางใจสูงสุดในกลุ่ม Modern Trade วัสดุก่อสร้าง

    ผู้นำค้าปลีกเรื่องบ้าน-โฮมโปร หรือ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัล “2025 Thailand’s Most Admired Brand” แบรนด์ที่ได้รับความน่าเชื่อถือและไว้วางใจจากผู้บริโภคสูงสุด ประจำปี 2568 ในกลุ่ม Modern Trade วัสดุก่อสร้าง ที่จัดโดยนิตยสาร BrandAge และ BrandAge Online จากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคทั่วประเทศ รางวัลนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วประเทศว่า โฮมโปรยังคงเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในตลาดสินค้าบ้านและที่อยู่อาศัยของไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสินค้าและบริการเรื่องบ้านครบวงจรอย่างแท้จริง

    อินไซต์ผู้บริโภค ในปัจจุบัน ผู้บริโภคไม่เพียงแค่เลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังคาดหวังประสบการณ์การซื้อที่สะดวกสบายและไร้รอยต่อ รวมถึงการบริการที่มีความครบครันและคุ้มค่าตลอดทุกช่วงเวลาของการใช้งานสินค้านั้นๆ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การติดตั้ง ไปจนถึงบริการหลังการขายที่มีคุณภาพ การที่โฮมโปรได้รับรางวัลนี้เป็นการยืนยันว่าแบรนด์ได้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างครบถ้วน โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่เข้าถึงได้ทั้งช่องทางหน้าร้านและแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งตอบโจทย์ความสะดวกสบายและความมั่นใจในการเลือกซื้อสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน

    รางวัลนี้สะท้อนถึงความสำเร็จและความมุ่งมั่นของโฮมโปรในการสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า และเรายังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโซลูชันที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดของเสีย และนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมและยินดีสนับสนุนแบรนด์ที่มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม

    รางวัล “2025 Thailand’s Most Admired Brand” ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จ แต่เป็นแรงผลักดันให้โฮมโปรเดินหน้าพัฒนาและยกระดับการให้บริการต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดสินค้าบ้านและที่อยู่อาศัย พร้อมสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

    #2025ThailandsMostAdmiredBrand #BrandAge #HomePro #โฮมโปร #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #Homepropr

    ถิรไทย เดินแผนธุรกิจปี 68 กับ 4 คุณค่าองค์กร รักษารายได้ 3,000 ล้าน ก่อนสู่ Zero Carbon Footprint เต็มสูบ

    บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ ก้าวสู่ปีที่ 40 เดินหน้า Green Business เล็งออกสินค้า Green Product ปูทางสู่ Zero Carbon Footprint ภายในปี 2065 ขณะที่แผนธุรกิจปี 68 ขอรักษารายได้ 3,000 ล้าน เติบโตน้อยกว่า 5% เหตุสถานการณ์โลกผันผวน-ตัวแปรกระทบมาก และอาจเกิดสงครามการค้าโลก จากปี 67 ที่ทำรายได้สูงสุดในรอบ 4 ปี ด้วยจำนวน 2,844.19 ล้าน พร้อมทำกำไรสุทธิ 222.65 ล้าน

    นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ว่า เป็นปีที่กลุ่มบริษัทได้ดำเนินธุรกิจเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 ซึ่งยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจภายใต้ค่านิยม 4 ประการ ประกอบด้วย 1.การทำงานแบบทีมเวิร์ค (Team work) 2.การทำงานอย่างมีคุณภาพ (Quality) 3.การทำงานอย่างมีคุณธรรม (Integrity) และ 4.การทำงานโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customers Focus)

    “กลุ่มบริษัทถิรไทย เราบริหารธุรกิจมาร่วม 40 ปี ภายใต้ 4 ค่านิยมหลักมาโดยตลอด  จากค่านิยมองค์กรดังกล่าว  การดำเนินงานจึงออกมาเพื่อสนับสนุนความต้องการของลูกค้าทุกอย่าง (Engineering-to-Order) บนสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ และเราเป็น 1 ใน 2 ผู้ผลิตหม้อแปลงรายใหญ่ในประเทศไทย และระดับภูมิภาค ที่สามารถผลิตหม้อแปลงขนาดใหญ่ระดับ 525 MVA ได้” นายสัมพันธ์ กล่าวและว่า

    ส่วนทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทจะเดินหน้าตามนโยบายภาครัฐ กับแผนการก้าวสู่เป้าหมาย Zero Carbon Footprint ให้ได้ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065) ซึ่งช่วงปลายทศวรรษที่ 4 ได้เริ่มวางนโยบายและดำเนินธุรกิจแบบ Green Business และ Green Product ด้านการประหยัดพลังงานและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม จนทำให้ช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับรางวัล “อุตสาหกรรมดีเด่น ประจำปี 2567” หรือ THE PRIME MINISTER’S INDUSTRY AWARD 2024 ประเภทอุตสาหกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม การพัฒนาที่ยั่งยืน และบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อนำออกมาทำตลาดในอนาคตด้วย

    ายสัมพันธ์ กล่าวอีกว่า ด้านผลการดำเนินงานในปี 2568 กลุ่มบริษัทได้ตั้งเป้าหมายทำรายได้รวม 3,000 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 2567 มีรายได้รวม 2,881.98 ล้านบาท และ บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Back log) จำนวน 1,394 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นยอดขายจากกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า จำนวน 1,254 ล้านบาท ส่วนยอดขายจำนวน 141 ล้านบาทเป็นกลุ่มที่ไม่ใช่ธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า สำหรับยอดขายรอรับรู้รายได้ดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายรับรู้รายได้ปี 2568 จำนวน​ 1,295 ล้านบาท และรับรู้รายได้ปี 2569 จำนวน​ 100 ล้านบาท

    “เป้าหมายในปี 2568 กลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าวางเป้าหมายเติบโต 4% โดยคาดว่าจะมีกำไรขั้นต้น 18-20% ตามนโยบายที่ดำเนินมาโดยตลอด ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลงไฟฟ้าน่าจะเติบโต 9% มีกำไรขั้นต้น 18-20% เช่นเดียวกัน  ปัจจุบันงานที่เรากำลังดำเนินการเสนอราคา เพื่อเปลี่ยนเป็นคำสั่งซื้อมีมูลค่ารวม 13,878 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มหม้อแปลงไฟฟ้าจำนวน 11,655 ล้านบาท และไม่ใช่หม้อแปลงไฟฟ้าจำนวน 2,223 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสที่จะได้ใบคำเสนอราคากลับมาเป็นคำสั่งซื้อประมาณ 20%” นายสัมพันธ์ กล่าวและว่า

    อย่างไรก็ตาม สำหรับเป้าหมายรายได้ในปีนี้ บริษัทได้กำหนดนโยบายรักษาการเติบโตให้เท่ากับปีที่ผ่านมา เพื่อรอดูจังหวะของตลาดและสร้างโอกาสที่ดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป แต่ยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจด้านความยั่งยืนและธุรกิจสีเขียว ซึ่งต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในโลกค่อนข้างมีตัวแปรเยอะมาก มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเยอะมาก ทำให้การมองเหตุการณ์หรือประเมินสถานการณ์ในอนาคตได้ยาก

    ด้านนายกานต์ วงษ์ปาน เลขานุการบริษัท และผู้จัดการฝ่ายการเงินบัญชีและเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวถึงผลการดำเนินงานในรอบปี 2567 ที่ผ่านมาว่า​ กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 2,881.98 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 4 ปี แบ่งเป็นรายได้จากการขายและบริการ 2,844.19 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้น (Gross Profit) 639.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 100 ล้านบาท เป็นอัตรากำไรขั้นต้น 22.5% แม้ว่าจะต่ำกว่าปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 25.29% แต่เป็นไปตามนโยบายของบริษัทที่ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20% มี EBITDA จำนวน 443.35 ล้านบาท และ EBIT จำนวน 374.42 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 222.65 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.73% สูงสุดในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา

    สำหรับรายได้รวมในปี 2567 จำนวน 2,881.98 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานภาครัฐ เช่น การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) บริษัทเอกชนทั่วไป และตลาดส่งออก จำนวน 2,617 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายกลุ่มลูกค้าภาครัฐและเอกชนในประเทศ จำนวน 2,204 ล้านบาท การส่งออก จำนวน 290 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจบริการ จำนวน 119 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง (Non-Transformer) เช่น แบตเตอรี่ลิเธียม, รถกระเช้า, รถเครน, และตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้า มีรายได้รวม 265 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนหน้า 120 ล้านบาท

    ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า มีอัตรา 20% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 24% ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง มีอัตรากำไรขั้นต้น 46% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 44%

    “PDPC ลุยเต็มสูบหนุนผู้นำชุมชน สร้างความตื่นรู้เรื่องข้อมูลส่วนบุคคล นำร่องอยุธยาที่แรก”

    สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เดินหน้าเชิงรุกสร้างความรู้สู่ชุมชน ให้เกิดความเข้าใจและเห็นความสำคัญของข้อมูลของตนเอง เพราะการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลกำลังเป็นประด็นใหญ่ ที่ปลุกกระแสตื่นตัวของคนในสังคมปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ สคส.จึงเชิญผู้นำในจังหวัดอยุธยา เป็นตัวแทนสร้างความตระหนักรู้สู่ประชาชนในพื้นที่ ถึงสิทธิความเป็นส่วนตัวและการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง เป็นการจุดประกายครั้งสำคัญที่ทำให้ทุกคนเห็นคุณค่าของข้อมูลตนเอง ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด โดยเริ่มต้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นจังหวัดแรก และจะขยายไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศในอนาคต

    พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการ สคส. กล่าวว่าปัจจุบันประชาชนจำนวนมากยังไม่เห็นถึงความสำคัญกับข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ กระทบต่อผู้คนในวงกว้าง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การหลอกรักออนไลน์ ( Romance Scam) การหลอกลวงทางออนไลน์ (Phishing) การฉ้อโกงทางธุรกรรม (Transaction fraud) หรือการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในวัตถุประสงค์ที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบโดยตรง การเดินหน้าจุดประกายจาก สคส. ในครั้งนี้ จะช่วยให้ประชาชนตื่นรู้ถึงการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง ลดความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล

    ดังนั้นทาง สคส. จึงเดินหน้าจัดประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มประชาชนให้มากที่สุด พร้อมดึงเอาผู้นำชุมชน ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดในพื้นที่ ที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้  ในการจัดกิจกรรม“PDPC สร้างความรู้สู่ชุมชน เพื่อมุ่งหวังให้ประชาชนตระหนักรู้และร่วมกันลดความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลและช่วยให้ประชาชนสามารถปกป้องข้อมูลได้ด้วยตนเอง ถือเป็นส่วนสำคัญในการทำให้ข้อมูลรั่วไหลเป็น “0”

    พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การดึงเอาผู้นำชุมชน หรือ อินฟลูเอนเซอร์จังหวัด มาในกิจกรรมนี้ จะเป็นการส่งต่อชุดข้อมูลความรู้ ในการสร้างความเข้าใจ ว่าข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่มีมูลค่า ซึ่งคนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยผลักดันให้เห็นถึงความสำคัญของข้อมูลส่วนบุคคล”

    ภายในงานมีการให้คำปรึกษาและตอบข้อซักถามเกี่ยวกับสาเหตุการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล โดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจาก สคส. และมีผู้นำชุมชนจากหน่วยงานต่าง ๆ เป็นตัวแทนส่งต่อความรู้ให้กับประชาชนในชุมชน  นอกจากนี้ยังมีสื่อรณรงค์ในรูปแบบต่างๆ ให้ทุกคนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน โดยจัดเป็น กระเป๋าชุดข้อมูลความรู้ PDPC รู้แล้วรอด” เครื่องมือที่ช่วยให้เข้าใจแนวทางการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลอย่างง่าย และใช้ได้จริง  ณ บริเวณหน้าวัดไชยวัฒนาราม ถนนอู่ทอง แหล่งการค้าที่สำคัญของจังหวัด

    สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล www.pdpc.or.th หรือ Facebook Fanpage PDPC Thailand

    ข้อมูลรั่วไหลเป็น “0”