คอสเมด อินโนเวชั่น รุกคืบตลาดเครื่องสำอาง เร่งเครื่องดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง ปั๊มรายได้ปี 2568 โตทะยาน 30%

บริษัท คอสเมด อินโนเวชั่น ปิดจ๊อบปี 2567 ด้วยอัตราเติบโต 30% พร้อมเผยแผนธุรกิจปี 2568 เดินหน้ารุกตลาดเต็มกำลังครั้งแรกผ่านกลยุทธ์ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ พร้อมอวดศักยภาพงานวิจัยในงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ตั้งเป้าดันรายได้สิ้นปีโตอีก 30% ทะลุ 2,000 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานปี 2567 และแผนปี 2568

เภสัชกร วาที รัตนวิสาลนนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอสเมด อินโนเวชั่น จำกัด ผู้รับผลิตเครื่องสำอาง เวชสำอาง สกินแคร์ และอาหารเสริมแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทมีอัตราการเติบโตสูงถึง 30% โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการจัดกิจกรรม Open House เปิดบ้านต้อนรับลูกค้าที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจความงาม เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นศักยภาพของบริษัท ผ่านการนำเสนอ “Real Mockup”  นวัตกรรมนำเสนอสินค้าจริง ด้วยเครื่อง Crystal Screen และ เครื่องพิมพ์บรรจุภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น ทำให้ลูกค้าเห็นภาพผลิตภัณฑ์เป็นรูปธรรมและสัมผัสเนื้อครีมชนิดต่าง ๆ ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจ เนื่องจากลูกค้าสามารถวางแผนและสร้างไอเดียแบรนด์ของตนเองได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง

รุกการตลาดออนไลน์-ดิจิทัลเต็มรูปแบบในปี 2568

สำหรับปี 2568 บริษัทวางแผนเดินหน้าการตลาดเชิงรุกเป็นครั้งแรก โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ไม่เน้นการใช้ งบประมาณการตลาด ในการสื่อสารกับลูกค้า ทำให้กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่รู้จักบริษัทผ่านผลิตภัณฑ์ตามช่องทางจัดจำหน่ายเท่านั้น แต่ในปีนี้ บริษัทฯ จะมุ่งให้ความสำคัญกับ การตลาดออนไลน์ (Digital Marketing) โดยเฉพาะ

   •   จัดตั้ง ทีมการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing Team) เพื่อเจาะกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างแบรนด์ของตนเอง

   •   เน้นการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Facebook, Instagram ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังในการเข้าถึงกลุ่ม คนรุ่นใหม่ และ เจ้าของแบรนด์หน้าใหม่

   •   ขยายฐานลูกค้า จากเดิมที่เป็นเจ้าของแบรนด์เดิมหรือกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป ไปสู่กลุ่มที่ต้องการสร้างแบรนด์ใหม่และอายุหลากหลายมากขึ้น

แสดงศักยภาพงานวิจัยในงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025

เภสัชกร วาที เผยว่าอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในปี 2568 คือการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายน 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ นับเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ เข้าร่วมงานระดับนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการพบปะลูกค้าจากทั้ง ไทยและต่างประเทศ

“การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ เราไม่ได้ต้องการแค่บุกตลาด แต่ยังต้องการโชว์ศักยภาพด้าน งานวิจัยและนวัตกรรม ของเรา ที่เราใช้งบประมาณกว่า 10% ของยอดขายสนับสนุนการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อว่าการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีงานวิจัยรองรับ จะทำให้ลูกค้าของเราประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์และเติบโตอย่างยั่งยืน” — เภสัชกร วาที กล่าว

เทรนด์ความงามที่มาแรงในปี 2568

   •   เวชสำอาง (Cosmeceutical) มาแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิวหลังการทำเลเซอร์และทรีตเมนต์ เนื่องจากผู้บริโภคมีความรู้เรื่องสกินแคร์มากขึ้น และให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลผิวและการเติมความชุ่มชื้น

   •   จากเดิมที่ตลาดเน้นกลุ่ม Whitening เป็นหลัก ปัจจุบันกลุ่ม เวชสำอาง กำลังเติบโตสูง เนื่องจากสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับ การดูแลสุขภาพผิวแบบองค์รวม มากขึ้น

พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามเศรษฐกิจ

   •   ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ขนาดเล็กลง (Mini-size) เช่น ครีมซอง (Sachet Cream) ซึ่งยังคงเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจาก ราคาย่อมเยาและเข้าถึงง่าย

   •   บริษัทฯ เป็นผู้บุกเบิกการผลิต ครีมซอง ให้กับหลายแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด
และครีมซองกลายเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของ เครื่องสำอางไทย ที่ต่างชาติให้ความสนใจ

มุมมองต่ออนาคตตลาดเครื่องสำอางไทย

เภสัชกร วาที กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน โซเชียลมีเดีย (Social Media) ช่วยให้แบรนด์ไทยสามารถแข่งขันกับ อินเตอร์แบรนด์ (International Brands) ได้มากขึ้น แตกต่างจากอดีตที่การลงโฆษณาต้องพึ่งพาสื่อแบบดั้งเดิมที่มีค่าใช้จ่ายสูง ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ช่องทางออนไลน์ที่หลากหลาย โปรโมตแบรนด์ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าแต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้แบรนด์ไทยมีโอกาสเติบโตและสร้างชื่อเสียงในระดับสากลได้มากขึ้น

ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 โตทะลุ 2,000 ล้านบาท

หลังจากการตลาดเชิงรุกตลอดปี 2568 บริษัทฯ คาดการณ์รายได้จะเติบโต 30% หรือมีรายได้รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท จากการขยายฐานลูกค้าในตลาดใหม่ ๆ และสนับสนุนผู้ที่ต้องการสร้างแบรนด์ของตนเอง

ผู้ที่สนใจเริ่มต้นธุรกิจ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

🔗 www.cmicosmetic.com

โฮมโปร ชวน “รักษ์โลก แลกแต้ม เปลี่ยนแสงแดดเป็นคะแนน Home Card” ด้วยการติด Home Solar “ประหยัดไฟ-ประหยัดเงิน-รับแต้มลดโลกร้อน”

โฮมโปร เดินหน้าภารกิจ Net Zero Emissions ร่วมกับภาครัฐ-เอกชน มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เซ็น MOU โครงการ “วิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ” ผลักดันให้ผู้บริโภคใช้พลังงานสะอาด ผ่านการติดตั้งโซลาร์เซลล์ พร้อมเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตเป็นคะแนนโฮมการ์ด แลกรับสินค้า, บริการ และสิทธิประโยชน์มากมายที่โฮมโปร ตั้งเป้ามีผู้เข้าร่วมโครงการฯ กว่า 300 ครัวเรือน แจกคะแนนโฮมการ์ดกว่า 3 ล้านแต้ม และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 1 ตันคาร์บอน

นายนิทัศน์ อรุณทิพย์ไพฑูรย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มทรัพยากรบุคคล และธุรกิจพลังงาน
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จากัด (มหาชน)
หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยว่า ปัจจุบันความต้องการคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก สะท้อนถึงกระแสตื่นตัวของประชาชนและภาคธุรกิจ ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change หลายองค์กรมีเป้าหมายสำคัญร่วมกัน เพื่อมุ่งสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตามแนวทางภารกิจ Net Zero Emissions ให้สำเร็จในอนาคต

“โฮมโปร ไม่เพียงเป็นผู้ให้บริการติดตั้งโซลาร์เซลล์ แต่ยังเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด การชดเชยคาร์บอน รวมถึงระบบนิเวศธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โฮมโปรดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ต้นทางการผลิตไปจนถึงปลายทางของการจัดการอย่างถูกวิธี เป้าหมายของเราจึงไม่ได้มีแค่การปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดภายในองค์กร แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมให้ผู้บริโภคทั่วประเทศได้มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน”

ในเดือนมีนาคม 2568 นี้ “โฮมโปร” ได้ประกาศความร่วมมือกับ “มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน”
“สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่”
ภายใต้งบประมาณสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุน

ด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการวิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคธุรกิจ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานสะอาด โดยใช้แพลตฟอร์มตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ เพื่อติดตามข้อมูลการผลิตพลังงานจากโซลาร์เซลล์ พร้อมวัดผลปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของแต่ละครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม

ซึ่งโครงการฯ นี้ ช่วยให้โฮมโปรเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของภาคธุรกิจ ส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยลดค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพได้ในระยะยาว โดยครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถนำ Carbon Credit 1 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับการใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์ 2,059 หน่วย (Khw) มาแลกเป็นคะแนนโฮมการ์ด 1,900 คะแนน เพื่อใช้คะแนนเป็นส่วนลดสำหรับสินค้าและบริการ รวมถึงแลกสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่โฮมโปร และเมกาโฮม ทั่วประเทศ

“โครงการนี้ ไม่ได้เป็นเพียงก้าวสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการลดโลกร้อน ผ่านการใช้พลังงานสะอาดและการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ยังช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” นายนิทัศน์ฯ กล่าว

ด้าน ดร.สุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการ มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน เสริมว่า การจัดทำโครงการ “วิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ” จะใช้แพลตฟอร์มกลางในการติดตามว่าครัวเรือนที่มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ มีการผลิตพลังงานสะอาด หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณเท่าไร โดยแพลตฟอร์มนี้จะยังช่วยคำนวณการแลกเปลี่ยนปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้เป็นคะแนน เพื่อนำไปแลกกับสินค้าหรือบริการของภาคธุรกิจอย่าง “โฮมโปร” ซึ่งเราคาดว่าโครงการฯ จะสามารถสร้างประโยชน์ครอบคลุมถึง 3 ด้าน คือ การสร้างรายได้ให้ภาคครัวเรือน, การทำธุรกิจตามแนวเศรษฐกิจหมุนเวียนของภาคธุรกิจ และสามารถสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย 

ด้าน รศ.วงกต วงศ์อภัย ผู้แทนสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดทำโครงการฯ ในครั้งนี้ สิ่งสำคัญของกระบวนการทั้งหมด ไม่ใช่เพียงการได้คาร์บอนเครดิตกลับมา แต่ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบของภาคส่วนต่าง ๆ ที่มาเข้าร่วมกับโครงการฯ เพื่อช่วยกันลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นประเด็นสำคัญในระดับโลก อีกทั้งการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตกับคะแนนที่ใช้แลกสินค้าหรือบริการจาก “โฮมโปร” ยังสามารถช่วยจูงใจให้ประชาชนหันมาให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดมากขึ้น ช่วยสร้างประโยชน์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน พร้อมเป็นส่วนสำคัญที่นำไปสู่เป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

ในปีที่ผ่านมา โฮมโปร เป็นหนึ่งในองค์กรธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการเดินหน้าแผนงานลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคครัวเรือน โดยในปี 2023-2024 มีผู้บริโภคใช้บริการติดตั้ง Home Solar by HomePro รวมทั้งหมด 324 ครัวเรือน เทียบเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1,200 ตันต่อปี ในระยะเวลา 2 ปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงกว่า 2,400 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับปลูกต้นไม้ 240,000 ต้นสำหรับในปี 2025 นี้ โฮมโปรคาดหวังว่า ว่าการร่วมมือกับโครงการวิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ จะมีการแจกคะแนนโฮมการ์ดรวมกว่า 3 ล้านคะแนน และมีเป้าหมายครัวเรือนร่วมโครงการไม่ต่ำกว่า 300 ครัวเรือน สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงไม่ต่ำกว่า 1,200 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 120,000 ต้น  #Homesolar #โฮมโซลาร์ # เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ #โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน #สถาบันวิจัยพหุศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

“ไตเสื่อม” ไม่แสดงอาการ… แต่ผลลัพธ์ร้ายแรงแพทย์เตือน!!! คนไทยควรดูแล “ไต” ให้แข็งแรง ก่อนสายเกินไป

“ไต” อวัยวะเล็กๆ ที่มักถูกมองข้าม แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งในร่างกาย ทำหน้าที่ขจัดของเสีย ควบคุมสมดุลน้ำ เกลือแร่ และความดันโลหิต หากปล่อยให้ “ไตเสื่อม” โดยไม่รู้ตัว ผลลัพธ์อาจร้ายแรงจนส่งผลต่อชีวิตในระยะยาว ข้อมูลทางการแพทย์เผยว่า คนไทยกว่า 17.6% กำลังเผชิญกับโรคไตเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว และในแต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคไตยังเป็นสาเหตุอันดับ 6 ของการเสียชีวิตทั่วโลกและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี

พญ.ชโลธร แต้ศิลปสาธิต อายุรแพทย์โรคไตจากโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า “ไตเสื่อม” เป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนไม่รู้มาก่อน เนื่องจากในระยะแรกอาจไม่มีอาการใดๆ แต่อาจกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตในอนาคต ไตมีหน้าที่สำคัญในการกรองของเสียและควบคุมสมดุลต่างๆ เช่น ความดันโลหิตและระดับน้ำในร่างกาย หากไตเสื่อมโดยไม่รู้ตัว อาจนำไปสู่ “โรคไตวายเรื้อรัง” ซึ่งต้องการการฟอกเลือดหรือปลูกถ่ายไตสถานการณ์ “โรคไต” ในประเทศไทยน่าเป็นห่วง ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกที่มีอัตราผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังสูงที่สุด ขณะนี้มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังขึ้นทะเบียนถึง 11.6 ล้านคน และเกือบ 90,000 คนต้องฟอกเลือดทุกปี                                                 

โดยสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรังในไทย ได้แก่

  1. โรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุม
  2. โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการดูแล
  3. การใช้ยาไม่เหมาะสม เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, ยาสมุนไพรไทยและจีน, ยาชุด ยาลูกกลอน, ยาปฏิชีวนะที่ใช้ผิดวิธี
  4. โรคทางเดินปัสสาวะอุดตัน เช่น นิ่ว เนื้องอก ต่อมลูกหมากโต
  5. โรคไตอักเสบจากโรคภูมิคุ้มกัน เช่น SLE
  6. ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น โรคซีสต์ที่ไต

พญ.ชโลธร กล่าวเพิ่มเติมว่า สัญญาณของโรคไตเรื้อรังแบ่งเป็น 5 ระยะตามค่า eGFR โดยในระยะ 1-3 มักไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคไต อาการจะเริ่มชัดเจนในระยะที่ 4-5 เช่น ปัสสาวะออกน้อย ขาบวม หนังตาบวม เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน โลหิตจาง เมื่ออายุเกิน 30 ปี อัตราการทำงานของไตจะค่อยๆลดลงทุกปีเป็นปกติ แต่ถ้ามีโรคประจำตัวบางอย่างที่ส่งผลต่อไต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อาจทำให้การทำงานของไตลดลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงแนะนำให้ตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ โดยอาจเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป

สำหรับวิธีการรักษาโรคไตในปัจจุบันมี 3 วิธีหลักคือ1.      การฟอกเลือด (Hemodialysis) ทำที่โรงพยาบาลหรือศูนย์ฟอกไต 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละ 4 ชั่วโมง2.      การฟอกไตทางหน้าท้อง (Peritoneal Dialysis) ทำที่บ้านได้ แต่ต้องดูแลความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ3.      การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant) โดยการบริจาคจากญาติหรือผ่านศูนย์บริจาคอวัยวะ มีคุณภาพชีวิตดีกว่าการฟอกไตและอัตราการรอดชีวิตสูงกว่าวิธีอื่นพญ.ชโลธร กล่าวสรุปว่า “การป้องกันโรคไตเริ่มต้นจากการดูแลตัวเองง่ายๆ ดังนี้1.      หลีกเลี่ยงการกินอาหารเค็ม (โซเดียมเกิน 2 กรัมต่อวัน หรือเท่ากับเกลือแกงเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน)2.      หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดประเภท NSAIDs, ยาสมุนไพรไทยและจีน, ยาชุดที่มีผลต่อไต3.      หยุดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ การสูบบุหรี่ การดื่มน้ำน้อย และการกินอาหารแปรรูป สำหรับผู้ป่วยโรคไตอยู่แล้ว ควรควบคุมโรคต้นเหตุ เช่น เบาหวาน ความดันสูง กินยาตามแพทย์สั่งและจำกัดอาหารที่มีโซเดียม และฟอสฟอรัส การดูแลไตไม่ใช่เรื่องที่สามารถมองข้ามได้ ควรเริ่มต้นดูแลตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป     เพื่อรักษาสุขภาพไตในระยะยาว”

COSMAX เดินหน้าก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ เปิดตัว Q2 ปี 69 มุ่งเป้ายกระดับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย แข่งขันบนตลาดโลก

ประเทศไทย…เตรียมก้าวสู่อีกขั้นของการแข่งขันบนตลาดเครื่องสำอางโลก หลังการประกาศการมาของโรงงานผลิตสินค้าความงามมาตรฐานสากลแห่งใหม่ ภายใต้การนำของ ‘COSMAX’ บริษัท ซีโอเอสเอ็มเอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำด้านการผลิตสินค้าความงามระดับโลก มากกว่า 600 แบรนด์ จากเกาหลี ที่เตรียมขยายขีดความสามารถและสร้างความแตกต่างให้เครื่องสำอางไทย ด้วยกระบวนการผลิตจากเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ให้ทั้งความแม่นยำและคุณภาพตอบโจทย์ความต้องการครอบคลุมทั้งลูกค้าไทยและต่างประเทศ ปริมาณกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า บนพื้นที่รวม 35,995 ตร.ม. โดยมีพื้นที่ผลิตที่มีระบบอัตโนมัติ การจัดการที่ทันสมัย ช่วยลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และพื้นที่คลังสินค้าที่ตอบสนองทุกออเดอร์อย่างรวดเร็ว-ตรงเวลา

โรงงานผลิตเครื่องสำอางและสกินแคร์แห่งใหม่ของ COSMAX ตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ และเตรียมจัดพิธีเปิดหน้าดินในวันที่ 27 มีนาคม 2568 นี้ โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย, เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI), รองผู้ว่าราชการ                               จ.สมุทรปราการ รวมถึงบุคคลสำคัญในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง มาร่วมแสดงความยินดีกับก้าวสำคัญของวงการเครื่องสำอางไทย ที่คาดก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วง Q2/2569 ปีหน้า

สคส. จับมือ สนง.สถิติ เก็บข้อมูลประชากรครั้งใหญ่รอบ 10 ปี ย้ำชัด มั่นใจ-ปลอดภัย-พร้อมพัฒนาประเทศ

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จับมือ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมเปิดตัวโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 เก็บรวบรวมข้อมูลประชากรไทยครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี พร้อมมุ่งทำหน้าที่ดูแลข้อมูลคนไทยเต็มความสามารถ สร้างความปลอดภัย ให้ข้อมูลใช้งานถูกวัตถุประสงค์ และไม่เกิดอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยยุคดิจิทัลอย่างรอบด้าน

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC กล่าวในงานเปิดตัว โครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 ว่าข้อมูลสำมะโนประชากรมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากต่อการผลักดันให้เกิดการพัฒนาด้านการค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร รวมถึงใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น สาธารณสุข, การคมนาคม, การศึกษา ฯลฯ

โดยการสำรวจข้อมูลสำมะโนประชากรฯ จะถูกเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยภายใต้มาตรการที่มีความปลอดภัยสูง ด้วยกลไกของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย PDPA ที่กำหนดให้ผู้ดูแลรับผิดชอบข้อมูลอย่าง ‘สำนักงานสถิติแห่งชาติ’ ต้องรักษาความปลอดภัยของข้อมูลทั้งด้านมาตรการเชิงองค์กร เชิงเทคนิค หรือเชิงกายภาพ และการเปิดเผยข้อมูลต้องเป็นการเปิดเผยในเชิงสถิติที่ไม่สามารถระบุยืนยันตัวบุคคลผู้ให้ข้อมูลได้

นอกจากนี้ กฎหมาย PDPA ยังได้กำหนดให้ ‘สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ สคส.’ ทำหน้าที่กำกับดูแลให้หน่วยงานได้ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด และช่วยกำหนดทิศทางให้การป้องกันข้อมูลสามารถปฏิบัติได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมมี การดำเนินการเชิงรุก ในการเฝ้าระวังเหตุแอบอ้างหรือมีการเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ, การดำเนินการเชิงรับ ผ่านศูนย์บริการประชาชน ที่ช่วยรับเรื่องและพิจารณาเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ รวมถึงมีการออกคำสั่งทางปกครอง เพื่อเป็นกลไกให้ทุกคนได้เชื่อมั่นว่า ข้อมูลจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และไม่เกิดอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจในยุคดิจิทัลอย่างแน่นอน

ที่สำคัญ สคส. ยังมุ่งสร้างความตระหนักรู้ในภาคประชาชน โดยเฉพาะการตระหนักถึงภัยจากมิจฉาชีพที่มักแอบอ้างเป็นหน่วยงานรัฐ แล้วส่งลิงก์ (Link) หรือแอปพลิเคชัน (Application) ให้ประชาชนดาวน์โหลดโดยตรง ซึ่งหน่วยงานรัฐจะไม่มีนโยบายดังกล่าว อีกทั้ง การให้ข้อมูลแก่หน่วยงานรัฐ เช่น

การให้ข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 นี้ ก็จะเป็นไปตามช่องทางที่สำนักงานสถิติแห่งชาติกำหนดไว้อย่างชัดเจนเท่านั้น

“เราสามารถกล่าวได้ว่า การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลในโครงการสำมะโนประชากรฯ จะเป็นไปด้วยความปลอดภัย ถูกต้อง และเป็นรูปธรรมภายใต้กฎหมาย PDPA ที่จะช่วยสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการพัฒนาประเทศ และช่วยให้ข้อมูลของประชาชนคนไทยทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง” พ.ต.อ.สุรพงศ์ เสริมทิ้งท้าย

ทั้งนี้ หากประชาชนพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย หรือมีเหตุเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล สามารถแจ้งเบาะแส สอบถาม หรือร้องเรียนมายัง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โทร. 02-111-8800 หรืออีเมล saraban@pdpc.or.th

ข้อมูลรั่วไหลเป็น “0”

ปังไม่ไหว !!! ซูเลียน จัดหนัก Grand Opening เอเจนซี่น้องใหม่ที่พิษณุโลก พร้อมฉลองความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

 ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว หจก.ทรัพย์เจริญ เอเจนซี่ (PSD) สาขาพิษณุโลก          ในวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2568 นี้ ฉลองการขยายธุรกิจอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมความพิเศษที่ทุกคนไม่ควรพลาด เพราะซูเลียนมาพร้อมกับความคุ้มค่าที่ใครๆ ก็ต้องตะลึง

งานนี้ ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา CEO ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร มาร่วมแสดงความยินดีกับ   คุณสมชาย แสนปินตา และ คุณจำปี แสนปินตา ผู้บริหารคนเก่งของหจก.ทรัพย์เจริญ เอเจนซี่ (PSD) สาขาพิษณุโลก พร้อมสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมให้ธุรกิจในจังหวัดพิษณุโลกเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยความมุ่งมั่นและพลังบวกที่ไม่หยุดยั้ง งานนี้จึงเป็นการเปิดประตูสู่ความสำเร็จในระดับใหม่ เพื่อเป็นการฉลองเอเจนซี่น้องใหม่ ซูเลียน จัดโปรคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

  • คุ้มที่ 1 ลงทะเบียนร่วมงานวันนี้ รับฟรี! ร่มซูเลียน มูลค่า 199 บาท
  • คุ้มที่ 2 ซื้อสินค้าครบ 2,000 บาท หรือ 150 PV รับทันที กระเป๋าผ้า PSD สุดชิค

โอกาสดีๆ หากคุณกำลังมองหาช่องทางธุรกิจใหม่ หรืออยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของซูเลียน อย่ารอช้า สำรองที่นั่งได้ที่ 098-6945628 มาร่วมเปิดประตูสู่อนาคตที่สดใสกับซูเลียน

โรงพยาบาลพระรามเก้ารับมอบเหรียญพระราชทานโครงการผ่าตัดปลูกถ่ายไตถวายเป็นพระราชกุศล ตอกย้ำภารกิจแห่งการให้เพื่อผู้ป่วยโรคไต

โรงพยาบาลพระรามเก้าตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการแพทย์และจิตอาสาเพื่อสังคม ด้วยการได้รับเกียรติอันสูงสุด เข้ารับมอบเหรียญพระราชทานที่ระลึกจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะองค์กรที่ร่วมโครงการผ่าตัดปลูกถ่ายไตถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสครบ 100 ปี วันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

โครงการนี้ถือเป็นความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ระหว่าง มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย และโรงพยาบาลทั่วประเทศ ด้วยภารกิจสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคไตที่ต้องการปลูกถ่ายไตจำนวน 1,000 ราย ซึ่งดำเนินการตั้งแต่ 6 พฤษภาคม 2566 – 16 มิถุนายน 2567 นับเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของการแพทย์ไทยที่ช่วยพลิกชีวิตผู้ป่วยและสร้างแรงบันดาลใจให้กับสังคม

ในพิธีมอบของที่ระลึกซึ่งจัดขึ้น ณ ห้องประชุมสลากกินแบ่งรัฐบาล ชั้น 9 ตึกกัลยาณิวัฒนา โรงพยาบาลสงฆ์ คุณจิตติกร ทิพรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาลโรงพยาบาลพระรามเก้า ได้รับเกียรติเป็นตัวแทนเข้ารับมอบเหรียญพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา

นอกจากพิธีมอบของที่ระลึกแล้ว ยังมีการจัดบรรยายพิเศษเกี่ยวกับ นวัตกรรมการปลูกถ่ายไตและแนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคไต เพื่อส่งเสริมความรู้และสร้างความตระหนักรู้ในสังคมไทยให้มากขึ้น พร้อมผลักดันให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของการช่วยเหลือผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง

โรงพยาบาลพระรามเก้าภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการแห่งความเมตตานี้ พร้อมเดินหน้าสนับสนุนโครงการด้านสาธารณสุขและนวัตกรรมการแพทย์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน 

HomePro มอบประสบการณ์เหนือระดับ! ชวนลูกค้าคนพิเศษร่วมเวิร์คช็อปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Casate Possibilities for Artful Living” กับ Haier

โฮมโปร ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อบ้านครบวงจร จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Casate Possibilities for Artful Living” มอบประสบการณ์เหนือระดับให้กับลูกค้าคนสำคัญของโฮมโปร ที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ Haier ผ่านเวิร์คช็อปศิลปะการตกแต่งจานขนมระดับมืออาชีพ โดย เชฟพลอย-ณัฐณิชา บุญเลิศ (Top Chef Thailand 2023) กับเมนูสุดหรู Chocolate Mousse with Mixed Berry Jelly

ภายในงาน ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับพรีเมียมจาก Haier และ Casarte ที่ช่วยให้การทำอาหารเป็นเรื่องง่ายและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีควบคุมอุณหภูมิ เพิ่มความแม่นยำ ระบบทำความเย็นอัจฉริยะและนวัตกรรมการปรุงอาหารที่ช่วยคงรสชาติและคุณภาพของวัตถุดิบไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งสะท้อนแนวคิด “Artful Living” ของ Casarte ที่ผสานระหว่างศิลปะ เทคโนโลยี และความงาม ได้อย่างลงตัว

โฮมโปร ผู้นำค้าปลีกเรื่องบ้านครบวงจร มุ่งมั่นนำเสนอสินค้า คัดสรรนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อส่งมอบประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าและความพึงพอใจสูงสุด ร่วมกับพันธมิตร Haier ที่ออกแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าสุดหรูอย่าง “Casarte” ออกมา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภคผ่านผลิตภัณฑ์ที่ผสาน นวัตกรรม เทคโนโลยี และศิลปะแห่งการใช้ชีวิต เพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

ลูกค้าโฮมโปร สามารถติดตามกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟและสิทธิประโยชน์ดีๆ แบบนี้ได้ที่ โฮมโปรทุกสาขา หรือช่องทางออนไลน์ เพื่อรับประสบการณ์เหนือระดับที่ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตในแบบของคุณ!

#ExclusiveWorkshopByHomePro #CasatePossibilitiesforArtfulLiving #โฮมโปร #HomePro #BetterLiving #Haier #Casarte #Homepropr

PDPC ร่วมตำรวจ-ธปท. ทลายขบวนการใช้ข้อมูลบัตรเครดิตผิดกฎหมาย ยึดกว่า 3.3 ล้านรายการ

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC โดย พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แถลงผลการปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และชมรมธุรกิจบัตรเครดิต หลังได้รับรายงานจากประชาชนเกี่ยวกับกรณีการใช้ข้อมูลบัตรเครดิตของผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านร้านสะดวกซื้อ

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เปิดเผยว่าจากการสืบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 ราย และอยู่ระหว่างติดตามอีก 1 ราย พร้อมตรวจยึดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก ซึ่งภายในมีข้อมูลบัตรเครดิตอิเล็กทรอนิกส์ มากกว่า 3,300,000 รายการ

PDPC ยังได้บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ 191 ขยายผลตรวจสอบที่มาของข้อมูลบัตรเครดิตที่รั่วไหล พร้อมเดินหน้าร่วมมือกับ ธปท. ในการเสริมมาตรการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลและป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน

ประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมต้องสงสัยหรือมีข้อมูลที่เกี่ยวข้อง สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) โทร. 02-111-8800 หรืออีเมล saraban@pdpc.or.th

โรงพยาบาลพระรามเก้า จัดกิจกรรม World Kidney Day 2025 ภายใต้แคมเปญ “Are you Kidney OK?”

โรงพยาบาลพระรามเก้า ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์เนื่องในวันไตโลก (World Kidney Day 2025) ภายใต้แนวคิด “Are you Kidney OK?” เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของไต และป้องกันโรคไตเรื้อรัง ซึ่งปัจจุบันพบว่าคนไทยกว่า 17.6% ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว และจำนวนผู้ป่วยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยโรคไตยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 6 ของโลก

โดยในปีนี้ นพ.เสถียร ภู่ประเสริฐ กรรมการผู้อำนวยการ นพ.ประเสริฐ ไตรรัตน์วรกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ และ นพ.วิรุฬห์ มาวิจักขณ์ รองกรรมการผู้อำนวยการและผู้อำนวยการสถาบันโรคไตและเปลี่ยนไตพระรามเก้า พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและทีมแพทย์ ได้ร่วมเปิดงาน “World Kidney Day 2025” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไต

ภายในงานมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับไต ครอบคลุมตั้งแต่การทำงานของไต สาเหตุของโรคไต แนวทางการดูแลและรักษาโรคไต นอกจากนี้ ยังมีบูธกิจกรรมให้ความรู้ ในด้านอาหารลดความเสี่ยงโรคไต

สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพผ่านโภชนาการที่เหมาะสม บูธให้คำปรึกษาการใช้ยาอย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงจากการใช้ยาที่อาจส่งผลต่อไต รวมทั้งยังมีบูธให้คำปรึกษาและตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรัง เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถตรวจประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น

โรงพยาบาลพระรามเก้า มุ่งมั่นในการส่งเสริมสุขภาพไตให้แข็งแรง พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองและป้องกันโรคไต เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี