นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดอ่างทอง

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จังหวัดอ่างทอง โดยมีนายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง รายงานสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดอ่างทอง พร้อมด้วย นายองอาจ แสนอุบล ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 10 นายสงกรานต์ ชะลอศรีทอง ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12นายพิษณุ ช่วยเวช ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 12 คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับและมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยจำนวน 1,500 ชุด ณ โรงเรียนปาโมกข์วิทยาภูมิ ตำบลป่าโมก อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยบทวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับพลวัตของแพลตฟอร์มดิจิทัลในประเทศไทย

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยบทวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับพลวัตของแพลตฟอร์มดิจิทัลในประเทศไทย จากรายงานปกขาว “เศรษฐกิจแพลตฟอร์มไทยในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคต: เส้นทางสู่ความยั่งยืนของผู้ประกอบการและระบบนิเวศดิจิทัลไทย” โดยเชื่อมโยงสถานการณ์ปัจจุบันเข้ากับ 2 กรอบคิดที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2025 ซึ่งระบุปัจจัยสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยมีอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อความยั่งยืนและคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมให้ข้อมูล

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 ราชวิทยาลัยสวีเดนได้ประกาศมอบรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ให้แก่ ฟิลิป อาจิออง (Philippe Aghion) จาก Collège de France และปีเตอร์ ฮาวิตต์ (Peter Howitt) จากมหาวิทยาลัยบราวน์ ซึ่งสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์อธิบายกระบวนการ “การทำลายเชิงสร้างสรรค์” (Creative Destruction) เมื่อเทคโนโลยีใหม่และโครงสร้างธุรกิจใหม่เข้ามาแทนที่รูปแบบเก่า บริษัทที่ยึดติดกับเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจล้าสมัยจะไม่สามารถแข่งขันได้ นวัตกรรมจึงสร้างสรรค์สิ่งใหม่และทำลายโครงสร้างเดิมไปพร้อมกัน

ดร.กิตติพงษ์ สาครเสถียร ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า “แพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เข้ามาท้าทายห่วงโซ่อุปทานแบบเก่าและเปลี่ยนวิธีการเข้าถึงลูกค้าไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทำได้ด้วยการมีคุณสมบัติ 3 มิติที่แพลตฟอร์มต่าง ๆ สร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 1.) ระบบบริหารจัดการการไหลเวียนของสินค้าและการทำธุรกรรมซื้อขาย 2.) ระบบข้อมูลที่สร้างความได้เปรียบให้ผู้ขาย ผ่านการนำเสนอสินค้าอย่างรู้ใจผู้ซื้อในแบบที่ร้านค้าทั่วไปทำเองไม่ได้ รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลหลังบ้านของร้านค้าให้กับตัวผู้ขายเอง 3.) การกลายเป็นหนึ่งช่องทางการขายพื้นฐานของผู้ประกอบการเพราะมีข้อได้เปรียบ ได้แก่ ความครบครันของข้อมูลจากการให้บริการที่สะสมมาเป็นเวลานานและการเข้ามาของยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI)”

ดร.ธีรข์กรณ์ อุดมรัตนะมณี รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า “ปัจจุบันมีการพูดคุยถึงการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมหรือค่าจีพีของแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น อีคอมเมิร์ซ บริการเรียกรถ และบริการส่งอาหาร กันมากขึ้น หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น บางคนหวังว่ารัฐจะเข้ามาช่วย บางคนเลือกที่จะใช้ช่องทางอื่น หากมองในมุมของการดำเนินธุรกิจ อาจกล่าวได้ว่าการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมเป็นไปตามกลไกการสร้างรายได้ของภาคธุรกิจตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปและเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มการลงทุนเพื่อพัฒนาการให้บริการจากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว และหากมองสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านกรอบของทฤษฎีที่ได้รับรางวัลโนเบล เราจะพบว่าเป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านตามธรรมชาติที่เรียกว่าการทำลายเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งควรถูกคาดการณ์ไว้แต่แรก เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้ผ่านพ้น “ระยะสร้างตลาด” ที่เน้นการลงทุนมหาศาลเพื่อดึงดูดผู้ใช้ และกำลังก้าวเข้าสู่ “ระยะสร้างมูลค่า” ที่ต้องมุ่งเน้นการสร้างรายได้อย่างจริงจังเพื่อความยั่งยืนทางธุรกิจ ซึ่งเป็นวิถีการดำเนินธุรกิจที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายกับบริการดิจิทัลหลากหลายประเภททั่วโลก ดังนั้น หากผู้ประกอบการต้องการดำเนินอย่างยั่งยืนบนโลกออนไลน์ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจระยะในยาว เช่น การเลือกกลุ่มเป้าหมาย การพัฒนาและแตกไลน์สินค้า การตั้งราคา ตลอดจน การบริหารต้นทุนในภาพรวม โดยกำหนดกลยุทธ์อย่างคำนึงถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของแพลตฟอร์มและความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วยเช่นกัน ในด้านแพลตฟอร์มเองก็ต้องมีการแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจนและมีเวลาให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนปรับตัวได้เช่นกัน”

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตถึง 91.2% ของประชากร โดยคาดว่ามูลค่าการซื้อขายออนไลน์ในปี 2568 ทะลุ 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 6.5% ของ GDP และเติบโตกว่า 61% ภายใน 3 ปี บ่งชี้ว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียง “ช่องทางการขายอีกทางหนึ่ง” แต่ได้กลายเป็น “โครงสร้างเศรษฐกิจหลัก” ที่ผู้ประกอบการไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้และควรใช้ประโยชน์ให้เต็มประสิทธิภาพ

ดร.ศุภสัณห์ ปรีดาวิภาต คณบดี คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ข้อมูลว่า “แนวโน้มระดับภูมิภาคเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยรายงาน E-Commerce at the Crossroads ปี 2025 โดย Blackbox Research ชี้ว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเปลี่ยนผ่านจากการเติบโตเชิงปริมาณสู่คุณภาพ โดยผู้เชี่ยวชาญกว่า 85% ระบุว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซกลายเป็นผู้สร้างระบบนิเวศและขยายเครื่องมือดิจิทัลสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมถึงขนาดจิ๋ว แต่ละประเทศจึงต้องเร่งพัฒนาทักษะดิจิทัลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะด้านสินค้าคงคลังและการจัดการ ดังนั้น คำถามไม่ใช่ว่าเราจะลงแข่งในสนามนี้หรือไม่ แต่คือเราจะสร้างทักษะและกลยุทธ์อย่างไรให้เติบโตได้ในสนามนี้แม้กติกาจะเปลี่ยนไป นี่คือความจริงที่ผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมตั้งรับ โดยสร้าง ‘PACE’ หรือ สมรรถนะเชิงเทคนิค 4 ด้าน”

  • P – Platform Literacy & Digital Operations (สมรรถนะด้านการใช้และจัดการแพลตฟอร์มดิจิทัล)
    ความเข้าใจระบบแพลตฟอร์ม การใช้เครื่องมือดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เช่น ร้านกาแฟใช้ระบบวิเคราะห์ลูกค้าและปรับโฆษณาตามช่วงเวลาสั่งซื้อหลัก ทำให้ยอดขายเพิ่มและค่าใช้จ่ายลดลง
  • A – Added-Value Innovation & Service Excellence (สมรรถนะในการสร้างคุณค่าผ่านนวัตกรรมและความเป็นเลิศด้านบริการ)
    ความสามารถในการสร้างความแตกต่างผ่านนวัตกรรมที่เพิ่มคุณค่าแก่ผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ของลูกค้า เพื่อครอง “ส่วนแบ่งความสนใจ” เช่น แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าเน้นบริการติดตั้งฟรีและการรับประกันสินค้า ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและยอดขายเติบโตต่อเนื่อง
  • C – Collaborative Brand Trust with Smart Data Use (สมรรถนะในการสร้างความไว้วางใจร่วมผ่านแบรนด์ และการใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด)
    ความสามารถในการสร้างคุณค่าให้ตราสินค้าและฐานข้อมูลลูกค้าของตนเอง ด้วยการใช้ข้อมูลอย่างเข้าใจ โปร่งใส และสร้างสมดุลระหว่างการพึ่งพาแพลตฟอร์มกับการรักษาฐานลูกค้าของตน เช่น แบรนด์เสื้อผ้าวินเทจใช้ QR Code เชื่อมลูกค้าเข้าสู่ระบบสมาชิกกว่า 3,000 รายโดยไม่ต้องพึ่งการโฆษณา
  • E – Expansion Readiness & Regional Integration (สมรรถนะในการขยายและบูรณาการระดับภูมิภาค)
    ความสามารถในการเชื่อมโยงตลาดภูมิภาคและข้ามพรมแดนภายใต้กรอบข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) โดยใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป็นเครื่องมือ แต่ผู้ประกอบการควรเลือกตลาดเป้าหมายอย่างมีกลยุทธ์ และสร้าง “คู่มือเข้าสู่ตลาดรายประเทศ” (Country Playbook) ที่กำหนดราคา บรรจุภัณฑ์ ช่องทางสื่อ และกฎภาษีให้เหมาะสม และสอดคล้องกับสินค้า คุณค่า และ ความโดดเด่นของตัวผู้ประกอบการเอง

กรอบทฤษฎีอีกหนึ่งชิ้นที่ได้รับการยกย่องด้วยรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2025 คือผลงานของ Joel Mokyr จาก มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น ผลงานของเขาชี้ให้เห็นจากหลักฐานประวัติศาสตร์ว่า เทคโนโลยีจะสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนได้จริงก็ต่อเมื่อสังคมนั้นมีพื้นฐานสามประการ ได้แก่ หนึ่ง องค์ความรู้และวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า สอง ความชำนาญเชิงเทคนิคของแรงงานและภาคธุรกิจ และสาม สถาบันและกติกาที่เอื้อให้นวัตกรรมเกิดขึ้นและแพร่กระจายไปได้อย่างกว้างขวาง

ดังนั้น นอกจากกรอบคิด PACE ที่มุ่งยกระดับสมรรถนะของผู้ประกอบการแล้ว ภาครัฐย่อมมีบทบาทสำคัญในการสร้าง “โครงสร้างเศรษฐกิจรูปแบบใหม่” นั่นหมายถึง การที่รัฐต้อง ก้าวจาก “ผู้กำกับดูแล” ไปสู่ “ผู้ออกแบบระบบนิเวศร่วม” ที่สร้างการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เสริมขีดความสามารถของ SME และคุ้มครองผู้ประกอบการและผู้บริโภคอย่างสมดุล รัฐควรรักษาความสมดุลระหว่าง การกำกับดูแล (Regulation) และ การส่งเสริมอิสรภาพในการพัฒนาแพลตฟอร์ม (Enablement) เพื่อให้ผู้ให้บริการสามารถสร้างนวัตกรรมและพัฒนาบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในระบบนิเวศแพลตฟอร์ม บทบาทการกำกับดูแลของภาครัฐควรประกอบด้วย 4 มิติหลักที่เรียกว่า LEAD ซึ่งสอดคล้องกับกรอบ PACE ของผู้ประกอบการ” ดร.ศุภสัณห์ กล่าวเสริม

“เพื่อผลกระทบเชิงบวกที่มีความยั่งยืนในระยะยาวต่อผู้ที่อยู่ในระบบนิเวศน์ทั้งหมดของแพลตฟอร์ม บทบาทการกำกับดูแลของภาครัฐควรมี 4 มิติที่เรียกว่า ‘LEAD’ ซึ่งสอดคล้องกับ ‘PACE’ ของผู้ประกอบการ” ดร.ศุภสัณห์ กล่าวเสริม

L – Linkage Creation (การเชื่อมโยงเพื่อความร่วมมือ)
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาครัฐ ธุรกิจ และแพลตฟอร์ม ซึ่งประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นแล้ว เช่น การมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แต่ยังสามารถต่อยอดได้ เช่น การกำหนดให้แพลตฟอร์ม แจ้งผู้ขายล่วงหน้าเมื่อเปลี่ยนนโยบายที่ส่งผลต่อร้านค้า เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเป็นธรรมในระบบนิเวศแพลตฟอร์ม

E – Empowerment through Competence (การเสริมพลังให้ผู้ประกอบการ)
การพัฒนาองค์ความรู้และทักษะของผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการการอบรม เครื่องมือ และแรงจูงใจทางภาษีให้เป็นระบบเดียวกัน เพื่อเสริมสมรรถนะด้านดิจิทัลและการใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด ให้ SME สามารถตัดสินใจและสร้างนวัตกรรมได้ด้วยตนเอง

A – Adaptive Governance (การกำกับดูแลที่ยืดหยุ่นและตอบสนองการเปลี่ยนแปลง)
การสร้างกติกาที่ยืดหยุ่นและเปิดรับการเปลี่ยนแปลง ยกระดับจากการ “เปิดทางให้ขายได้” เป็น “ช่วยให้ผู้ประกอบการยืนได้ในฐานะแบรนด์ของภูมิภาค” ผ่านการยกระดับมาตรฐานสินค้า บรรจุภัณฑ์ และสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงข้อตกลงการค้าและสร้างภาพลักษณ์ “Thailand Trusted Source” เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นในแบรนด์ไทย

D – Distributed Trust (ความไว้วางใจแบบกระจาย)
การสร้างความเชื่อมั่นด้วยกลไกที่กระจายศูนย์ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ครอบคลุมข้อมูล สินค้า และสิ่งแวดล้อม โดยร่วมมือกับแพลตฟอร์มเพื่อตรวจจับสินค้าปลอมและละเมิดลิขสิทธิ์แบบเรียลไทม์ ส่งเสริมแรงจูงใจด้านสิ่งแวดล้อมผ่าน Eco-label Incentive และพัฒนา E-Trust Framework เพื่อรับรองแพลตฟอร์มที่โปร่งใสและปลอดภัย

บทเรียนจากทั้งภาคทฤษฎีและภาคสนามสะท้อนว่า ผู้ที่ยึดติดอดีตย่อมถูกแทนที่ด้วยผู้พร้อมเรียนรู้และปรับตัวเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักสำคัญสามข้อที่ผู้ประกอบการไทยต้องระวังซึ่งได้แก่ ยอดขายพุ่งแต่กำไรหาย ทำทุกช่องทางจนไร้โฟกัส และลงทุนเทคโนโลยีแต่กลับไม่มีคนใช้จริง ต้องสร้างสมรรถนะ 4 ด้าน ทั้งการใช้ข้อมูลอย่างรู้เท่าทัน การสร้างคุณค่าที่แตกต่าง การสร้างคุณค่าของแบรนด์และฐานข้อมูลลูกค้า รวมถึงการขยายสู่ภูมิภาคอย่างมีกลยุทธ์ ทั้งหมดจะเกิดผลได้จริงก็ต่อเมื่อภาครัฐต่อยอดจากการกำกับดูแลที่มีอยู่เดิม เพื่อเชื่อมโยงและสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจในยุคดิจิทัลที่แข็งแรงและยืดหยุ่นได้อย่างยั่งยืน และแนวทางดังกล่าวยังช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้โดยตรง

ITEL ชี้อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทยโตต่อเนื่อง รับดีมานด์ Data Center-Cloud พุ่ง เดินหน้าสู่การเป็น Regional Connectivity & Data Center Provider เต็มรูปแบบ

บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL ผู้นำด้านการให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกและดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) ของไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์และระบบคลาวด์ที่มีความต้องการสูงขึ้น ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ให้บริการระดับโลก (Hyperscaler) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

ดร.ณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างแท้จริง ITEL อยู่ในตำแหน่งที่มีศักยภาพที่จะรองรับทั้งในด้านโครงข่าย ดาต้าเซ็นเตอร์ และโครงการระดับประเทศที่ช่วยยกระดับคุณภาพการเชื่อมต่อของประเทศ”

ผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2568

กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,181.51 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 9.24 ล้านบาท โดยหากไม่รวมรายการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ (ECL) ซึ่งเกิดจากการรอเก็บเงินจากลูกค้าบางรายรวม บริษัทฯ จะมีกำไรจากการดำเนินงานกว่า 40 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแรงของธุรกิจหลัก และแนวโน้มการเติบโตที่มั่นคง ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อจัดเก็บเงินดังกล่าวกลับมาให้เร็วที่สุด

ผลประกอบการไตรมาส 3/2568

กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 712.12 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 40.35 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการตั้งสำรอง ECL จำนวน 36.57 ล้านบาท เพื่อบริหารความเสี่ยงทางบัญชีตามมาตรฐานการเงิน ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการดังกล่าว ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับทรงตัว และพร้อมกลับมาเติบโตได้ตามปกติในไตรมาสที่ 4 บริษัทฯ มีความคาดหวังต่อการดำเนินโครงการสำคัญระดับประเทศ เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตชายขอบระยะที่ 3 (USO Phase 3) ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ พร้อมทั้งต่อยอดรายได้จากโครงข่ายและดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เตรียมรุกอาเซียนเต็มรูปแบบ

ITEL ยังเดินหน้าขยายศักยภาพเชิงกลยุทธ์ผ่านการดึงพันธมิตรจากสิงคโปร์ Super Sea Cable Networks Pte. Ltd. (SEAX Asia) เข้ามาร่วมถือหุ้น เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน “ITEL Global” ที่จะเป็นหัวหอกในการขยายธุรกิจด้าน Regional Connectivity และ Data Center ไปยังตลาดอาเซียน โดยวาระดังกล่าวจะถูกเสนอเข้าสู่การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568

“การร่วมมือกับ SEAX จะช่วยต่อยอดจุดแข็งของ ITEL ในการเชื่อมโยงโครงข่ายระดับภูมิภาค และสร้างโอกาสใหม่ในการให้บริการกับลูกค้าองค์กรและผู้ให้บริการระดับโลก” ดร.ณัฐนัย กล่าวสรุป

ธนชาตประกันภัย ตอกย้ำความสำเร็จ มุ่งพัฒนา “บุคลากร” หัวใจหลักสู่การเติบโตที่ยั่งยืนคว้ารางวัลคุณภาพระดับโลก Brandon Hall Group Excellence Awards 2025

บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัล Silver Awards สาขา Best Leadership Development Program จากเวทีระดับสากล Brandon Hall Group Human Capital Management Excellence Awards 2025 ซึ่งเป็นหนึ่งในรางวัลระดับโลกด้านการบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “Academy Awards แห่งวงการบริหารทรัพยากรบุคคล”

รางวัลนี้มอบให้แก่องค์กรที่มีความเป็นเลิศด้านการพัฒนาและบริหารศักยภาพบุคลากร โดยพิจารณาจากโครงการที่สร้างผลลัพธ์ชัดเจนในการพัฒนาผู้นำ เสริมความผูกพันของพนักงาน และเตรียมผู้นำรุ่นใหม่เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ โครงการพัฒนาผู้นำระดับบริหารของธนชาตประกันภัยได้รับการออกแบบและดำเนินการร่วมกับ บีทีเอส ไทยแลนด์ (BTS Thailand) ในฐานะพันธมิตรด้านการเรียนรู้และพัฒนา มุ่งสร้าง “ผู้นำที่ขับเคลื่อนด้วยศักยภาพ” ผ่านกระบวนการเรียนรู้เข้มข้นและวัดผลได้จริง สะท้อนความมุ่งมั่นขององค์กรไทยในการลงทุนพัฒนา “บุคลากร” อย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมประกันภัยในอนาคต

การลงทุนใน “บุคลากร” คุ้มค่า พร้อมรุกสร้างผู้นำรุ่นต่อไปอย่างเป็นระบบ

นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
ทุกบริษัทในกลุ่มธนชาตให้ความสำคัญสูงสุดกับการพัฒนา “บุคลากร” มาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่าบุคลากรทุกระดับ ทั้งผู้นำและพนักงานที่มีคุณภาพคือ กำลังสำคัญที่จะพาองค์กรสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย

ทุนธนชาตมีวิสัยทัศน์ในการวางรากฐานและเตรียมความพร้อมให้กับ ผู้นำรุ่นต่อไปอย่างเป็นระบบ (Succession Planning) เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะมีผู้นำที่มีคุณภาพเพียงพอในการนำพาองค์กรสู่อนาคต โครงการพัฒนาศักยภาพของผู้นำระดับบริหารจึงถูกออกแบบมาเพื่อพัฒนาผู้บริหารที่มีศักยภาพสูง ให้ก้าวสู่บทบาทใหม่ได้อย่างมั่นใจและสร้างผลลัพธ์เชิงกลยุทธ์ให้กับองค์กร

“การพัฒนาบุคลากรเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และต้องทำอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่อาจเห็นผลทันที แต่จะสร้างผลตอบแทนเป็นเท่าทวีคูณในระยะยาว และเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน ธนชาตประกันภัยได้วางแผน  Succession Planning มาหลายปี โดยการจำแนกคุณลักษณะและองค์ความรู้ของผู้นำแต่ละระดับ จัดทำการประเมินเพื่อสร้างแผนพัฒนารายบุคคล ติดตามประเมินผล รวมถึงให้ข้อแนะนำอย่างใกล้ชิด เพราะเราเชื่อมั่นในศักยภาพของคนในองค์กร การเติบโตจากภายในคือจุดแข็งที่แท้จริง การได้รับรางวัลระดับโลกด้านการพัฒนาบุคลากรในครั้งนี้ ไม่เพียงสร้างความภาคภูมิใจให้กับทุกคน แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าทิศทางเชิงกลยุทธ์ของเรามาถูกทาง เพราะในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ผู้นำที่เรียนรู้ไวและปรับใช้ได้จริงเท่านั้น ที่จะนำพาองค์กรให้ผ่านความท้าทายและสร้างโอกาสใหม่ได้เสมอ” นายพีระพัฒน์ กล่าว

ติดอาวุธ “บุคลากร” ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายผู้นำประกันภัย

ด้านนางวิชินี โอรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรื่องบุคลากร” เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของทุกองค์กร โดยเฉพาะในธุรกิจประกันภัยที่ทุกบริษัทต่างเผชิญความท้าทายเดียวกันคือ “การสร้างคนให้ทันต่อการเติบโต”

การสานต่อแนวทางการพัฒนาคนที่คุณพีระพัฒน์ได้วางรากฐานไว้ และการสร้างทีมบริหารที่แข็งแกร่ง ถือเป็นภารกิจหลักขององค์กรในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อสร้าง “วัฒนธรรมองค์กร” ที่ผสมผสานระหว่างรากเดิมที่มั่นคงกับการปรับตัวให้ทันยุคปัจจุบัน โดยเปิดรับความคิดเห็นจากพนักงานทุกระดับ ว่าอยากเห็นภาพของธนชาตประกันภัยในอนาคตเป็นอย่างไร และร่วมกันสร้าง “องค์กรที่เติบโตด้วยวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้”

“เป้าหมายสูงสุดของเราคือการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจประกันภัย และพลังสำคัญที่จะพาเราไปถึงจุดนั้นได้คือ ‘บุคลากรของเรา’ ปีนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอย่างเข้มข้น ทั้งในด้านการเสริมศักยภาพทีมงานและการปรับรูปแบบการทำงาน (Way of Working) เพื่อให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกัน เข้าใจตรงกัน พูดภาษาเดียวกัน และขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกันอย่างมั่นคง”

รางวัล Silver Awards ตอกย้ำวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการเรียนรู้

นางวิชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า กระบวนการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรของธนชาตประกันภัยมาโดยตลอด ภายใต้หลักการบริหารที่มุ่งพัฒนาทีมงานอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการพัฒนาศักยภาพของผู้นำระดับผู้บริหารไม่เพียงทำให้ผู้บริหารหลายคนเติบโตสู่ตำแหน่งสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ทีมทั้งหมดได้ทำงานร่วมกันอย่างมีพลัง และเกิดผลลัพธ์ที่วัดได้จริง

“รางวัล Silver Award จาก Brandon Hall Group เป็นเครื่องยืนยันว่าแนวทางการพัฒนาบุคลากรของเราสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง ทั้งในแง่ของการยกระดับศักยภาพผู้นำ และการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการเรียนรู้และการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราจะยังคงเดินหน้าลงทุนในบุคลากร เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางวิชินี กล่าวทิ้งท้าย

สู้ไปด้วยกัน! เบเยอร์ จัดกิจกรรมต่อเนื่อง เปิดตัว “Beger AI Cashback” เสริมกำลังร้านค้า สร้างประสบการณ์ซื้อขายยุคใหม่ พร้อมผลักดันร้านค้าไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

หลังซุ่มพัฒนาระบบโครงข่ายข้อมูลสินค้าหน้าร้านมากว่า 5 ปี เบเยอร์มั่นใจในความพร้อม เปิดตัว Beger AI Cashback ระบบมอบเงินคืนที่ออกแบบเพื่อให้ผู้ซื้อจริงได้รับประโยชน์สูงสุด ตอบโจทย์ทั้งความสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส ระบบใหม่นี้ช่วยให้ร้านค้าที่มีข้อจำกัดด้านนวัตกรรมและระบบ เข้าถึงเครื่องมือสนับสนุนการขายแบบครบวงจร พร้อมสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อว่า ทุกการซื้อจะได้รับผลประโยชน์จริงตามที่ควรได้รับ

คุณพวงเพ็ญ แสงเพชร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ เดินสายจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง กล่าวว่า “Beger AI Cashback เป็นการต่อยอดนวัตกรรมที่เบเยอร์พัฒนามาตลอด 5 ปี เพื่อให้ร้านค้าและผู้ซื้อได้รับประโยชน์สูงสุด เราออกแบบระบบให้ใช้งานง่าย รวดเร็ว และโปร่งใส ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้ซื้อและคู่ค้าในยุคดิจิทัล พร้อมช่วยลดความล่าช้าและขั้นตอนเอกสารที่อาจกระทบสภาพคล่องของร้านค้า นอกจากนี้ ระบบนี้ยังสะท้อน ความกล้าที่จะเปลี่ยน กล้าที่ริเริ่มของเบเยอร์ เพราะเราไม่ได้เพียงขายสินค้า แต่เราต้องการสร้างความแข็งแรงและความเติบโตให้ทั้งอุตสาหกรรม พร้อมตอบแทนสังคมและสนับสนุนร้านค้าไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน”

ด้านช่างผู้ใช้งานจริงเห็นตรงกันว่า ระบบนี้ทำให้ได้รับผลประโยชน์แท้จริง ง่าย รวดเร็ว สะดวก และโปร่งใส ทำให้การซื้อขายทุกขั้นตอนมั่นใจได้ว่าผลประโยชน์จะถึงมือผู้ซื้อจริง

เบเยอร์มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อให้ทั้งผู้ซื้อและคู่ค้าได้รับประโยชน์สูงสุด ลดปัญหาเอกสารและความล่าช้าของระบบ พร้อมสร้างโอกาสและเครื่องมือให้ร้านค้าไทยสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างมั่นคงในยุคดิจิทัลติดตามข้อมูลเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สีเขียวและโครงการความร่วมมือต่างๆสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:https://landing.beger.co.th/beger-ai-v2-cashback/

COCOCO เผยงวด 9 เดือนปีนี้ กำไรสุทธิ 211.68 ลบ. เดินหน้าบริหารต้นทุน-ยกระดับเทคโนโลยีการผลิต รับมือความผันผวน สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

บมจ. ไทย โคโคนัท (Thai Coconut PCL หรือ COCOCO) เผยงงวด 9 เดือนปี 2568 รักษากำไรไว้ที่ 211.68 ล้านบาท ภายใต้ภาวะต้นทุนที่ผันผวน ตั้งเป้ามุ่งเน้นการบริหารต้นทุน พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้มีประสิทธิผลสูงสุด มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของรายได้และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว พร้อมคาดโรงงานแห่งใหม่ในประเทศฟิลิปปินส์ “ภายใต้ NOVOCOCONUT INC.” จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและลดความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Risk) คาดเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569

ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO ผู้ผลิตจำหน่าย และส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ รายงานผลประกอบการของบริษัทและบริษัทย่อยในงวด 9 เดือนแรกปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,117.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.73% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 211.68 ล้านบาท  โดยการเติบโตของรายได้มาจากแรงหนุนจากการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิ ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกระแสรักสุขภาพและความนิยมของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์ทางเลือกจากกะทิและอาหารเพื่อสุขภาพ อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากความชัดเจนของกฎระเบียบที่ส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์กะทิมีสถานะที่ได้เปรียบเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์นมแบบดั้งเดิม

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้จากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ดร.วรวัฒน์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการขยายตลาดต่างประเทศในภูมิภาคหลัก ได้แก่ เอเชีย ยุโรป และอเมริกา พร้อมทั้งเดินหน้าโครงการลงทุนผ่านบริษัทย่อยในประเทศฟิลิปปินส์ ภายใต้ชื่อ NOVOCOCONUT INC. เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและลดความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569 ทั้งนี้ แม้เผชิญภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับกระจายตลาดและฐานลูกค้า เพื่อรักษาการเติบโต

งวด 9 เดือนแรกปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 211.68 ล้านบาท เป็นผลมาจากต้นทุนขายที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบมะพร้าวที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราวตามที่ได้ชี้แจงไว้ในหัวข้อ “ต้นทุนขายและบริการ” อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรในระดับที่มั่นคงภายใต้ภาวะต้นทุนที่ผันผวน โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้มีประสิทธิผลสูงสุด และการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของรายได้และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว

สำหรับ งวดไตรมาสที่ 3 ปี 2568 มีรายได้รวม 1,770.96 ล้านบาท โดยเป็นไปตามรายได้จากการขายและบริการในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 เท่ากับ 69.45 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวและการทดลองเดินเครื่องจักรใหม่ก่อนเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายบุคลากรและการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพภายในองค์กร เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

ไตรมาสที่ 3 ปี 2568 บริษัทฯ มีต้นทุนขายและบริการลดลงมาอยู่ที่ 1,424.46 ล้านบาท โดยการปรับลดลงของต้นทุนขายและบริหารในไตรมาสนี้เป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบมะพร้าวที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงและบริษัทฯ ควบคุมประสิทธิภาพการผลิตของกลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิได้ดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ มีปริมาณการผลิตของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิด Economy of Scale ช่วยให้ลดต้นทุนต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและอยู่ระหว่างบริหารความเสี่ยงต้นทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งลดผลกระทบในระยะยาวผ่านการลงทุนใน โรงงานแห่งใหม่ในประเทศฟิลิปปินส์

“KNOT” ปล่อย Official Pilot ตัวเต็ม — จุดไฟโซเชียลลุก! เคมีโบ๊ทโอ๊ตแรงทะลุจอ

ไม่ต้องรอถึงวันออนจริงก็เดือดแล้ว! “KNOT” ซีรีส์ใหม่ที่ทุกคนรอคอย ปล่อย Official Pilot ตัวเต็ม สะกดทุกสายตาในโลกโซเชียล เคมีระหว่าง “โบ๊ท ยงค์ยุทธ” และ “โอ๊ต ภาสกร” ร้อนแรงทะลุจอจนแฮชแท็กพุ่งติดเทรนด์ สื่อบันเทิงจับตา—นี่อาจเป็น “คู่จิ้นแห่งปี” คนต่อไป!

โลกโซเชียลลุกเป็นไฟอีกครั้ง! เมื่อ “KNOT” โปรเจกต์ซีรีส์แนวดราม่า–โรแมนติก ที่แฟน ๆ ตั้งตารอมานาน ปล่อย Official Pilot ตัวเต็ม ออกมาให้ชมแบบจัดเต็ม งานนี้ไม่ต้องรอถึงวันออนจริง กระแสก็แรงจนทะลุทุกแพลตฟอร์ม แฟนคลับพร้อมใจจุดเทรนด์ทันที แฮชแท็ก #KNOTTheSeries #โบ๊ทโอ๊ตทะลุจอ พุ่งติดอันดับทวิตเตอร์ภายในไม่กี่ชั่วโมง

ในพาร์ตการแสดง “โบ๊ท ยงค์ยุทธ” และ “โอ๊ต ภาสกร” ที่กลับมาประกบคู่กันอีกครั้ง สร้างเคมีที่ทั้งลึก ทั้งแรง และเต็มไปด้วยพลังดิบแบบที่หลายคนไม่เคยเห็นมาก่อน จนผู้ชมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “แรงกว่าที่คิดไว้!” และ “นี่คือคู่จิ้นเคมีแรงที่สุดของปี!”

เนื้อหาของ “KNOT” ถ่ายทอดความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วย พันธะ ความผูกพัน และความลับที่ยิ่งพยายามคลายกลับยิ่งผูกแน่น ผ่านโทนภาพและดนตรีที่เข้มข้น ชวนให้จับตามองว่าซีรีส์เรื่องนี้อาจกลายเป็น “ผลงานแจ้งเกิดระดับรางวัล” ของทั้งสองนักแสดงก็เป็นได้

หลังจากปล่อยตัว Pilot ไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ยอดวิวใน YouTube ก็พุ่งแตะหลักแสนอย่างรวดเร็ว ขณะที่คอมเมนต์จากแฟน ๆ ทั่วโซเชียลเต็มไปด้วยคำชื่นชม เช่น “ภาพสวย เคมีโบ๊ทโอ๊ตคือไฟลุก” และ “รอดูตัวเต็มไม่ไหวแล้ว!” ซึ่งสะท้อนว่าซีรีส์นี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าหล่อของนักแสดง แต่ยังมาพร้อมการเล่าเรื่องที่เข้มข้นและโปรดักชันคุณภาพระดับสากล

สื่อบันเทิงต่างประเทศเองก็เริ่มให้ความสนใจ และมีการตั้งคำถามว่า “KNOT” จะก้าวขึ้นมาเป็นซีรีส์เอเชียที่ทำให้ชื่อของ “โบ๊ท–โอ๊ต” กลายเป็น คู่ขวัญระดับอินเตอร์ ได้หรือไม่ — งานนี้ต้องบอกเลยว่า “ยิ่งคลายยิ่งผูกแน่น ยิ่งดูยิ่งติด” สมชื่อ KNOT อย่างแท้จริง!

📍ชม “KNOT – Official Pilot” ได้แล้วทาง YouTube: MFlow Entertainment
https://www.youtube.com/watch?v=eT3qGC7SbPk

#KNOT #KNOTPilot #KNOTtheseries #BoatOat #Boatyongyutt #oatpasakorn #MFlowEntertainment

นับถือใจ “ครูก้อย” ภรรยา “เจมส์ เรืองศักดิ์” ตัดสินใจเย็บปากมดลูกขณะตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน จากภาวะปากมดลูกสั้น ป้องกันคลอดก่อนกำหนด

เรียกได้ว่าเป็นคุณแม่หัวใจนักวิทยาศาสตร์ที่ทั้งเก่งและแกร่ง สำหรับ “ครูก้อย–นัชชา ลอยชูศักดิ์” ภรรยาของนักร้องดัง “เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์” ที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคท้องยากหลายอย่างกว่าจะมีเบบี๋คนที่ 2 ในวัย 42 ปี โดยครูก้อยได้โพสต์อัปเดทการพักฟื้นหลังจากการเข้ารับการเย็บปากมดลูก ผ่านเฟซบุ๊ก “นัชชา ลอยชูศักดิ์” ขณะตั้งครรภ์ได้เพียง 3 เดือน เนื่องจากมีภาวะปากมดลูกสั้น ซึ่งการรักษาผ่านไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ ครูก้อยเคยมีประสบการณ์เข้ารับการเย็บปากมดลูกมาแล้วเมื่อตอนตั้งครรภ์ลูกสาวคนแรก “น้องเมดา อันโดรเมดา” จึงทำให้ครูก้อยไม่ลังเลในการเข้ารับการเย็บปากมดลูกในครั้งนี้ โดยครูก้อยไม่รอให้มีอาการก่อนค่อยรักษา แต่ตัดสินใจเย็บปากมดลูกเลย เพื่อป้องกันทุกความเสี่ยงอย่างรอบคอบที่สุด

นอกจากนี้ ครูก้อยยังได้เปิดเผยถึงอุปสรรคที่ได้ฝ่าฟันมาจนกว่าจะตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 ว่า ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 12 สัปดาห์แล้ว โครโมโซมปกติทุกคู่ น้องเป็นผู้หญิง ชื่อ ด.ญ.มีเมตตา ลอยชูศักดิ์ (น้องเมตตา) เป็นการใส่ตัวอ่อนครั้งที่ 2 ในวัย 42 ปี โดยครั้งแรกใส่ตัวอ่อนไปเมื่อ 6 เดือนก่อน แต่น้องอยู่กับครูก้อยได้ไม่นาน ก็หลุดไป ครูก้อยไม่มีเวลาเสียใจแม้แต่วันเดียว เพราะภารกิจที่ยิ่งใหญ่มีมากกว่านั้น ครูก้อยมีแม่ๆ ผู้มีบุตรยากอีกหลายหมื่นคนที่ยังร่วมเดินทางบนเส้นทางเดียวกันที่ต้องดูแล เดินหน้าดูแลสุขภาพและบำรุงร่างกายต่อก่อนย้ายตัวอ่อนครั้งที่ 2 ในวัย 42 จนประสบความสำเร็จ และเชื่อมั่นว่า “น้องเมตตา” จะเติบโตเป็นนักสู้ตัวน้อยที่เข้มแข็งไม่แพ้คุณแม่อย่างแน่นอน

ในโอกาสนี้ ครูก้อยยังกล่าวขอบคุณทีมแพทย์จาก GFC Genesis Fertility Clinic นำโดย อาจารย์พิทักษ์ พงษ์กาญจนา รวมถึงทีมแพทย์และพยาบาลทุกคนที่ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดการรักษา พร้อมเผยว่า GFC เปรียบเสมือน “บ้านที่ไว้วางใจได้” ซึ่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนไข้เสมอ รวมถึงขอบคุณ ครอบครัว ที่ไม่เคยกดดันและให้ความเชื่อมั่นในทุกการตัดสินใจ เพียงเฝ้ารอฟังข่าวดีในเวลาที่เหมาะสม และขอบคุณ สามีสุดที่รัก เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ที่เป็นทั้งกำลังใจและความมั่นคงทางจิตใจ เชื่อมั่นในตัวเธอเสมอว่าจะทำสำเร็จ ขณะเดียวกันยังได้ขอบคุณ แม่ ๆ ในเพจ BabyandMom.co.th ที่ส่งแรงใจมาอย่างอบอุ่น พร้อมเผยว่ากำลังใจจากกัลยาณมิตรเหล่านี้มีค่ามากในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต ท้ายที่สุด ครูก้อยกล่าวขอบคุณ ตัวเอง ที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น และมีวินัยตลอดระยะเวลา 7 ปี โดยยืนยันว่า “ไม่มีอุปสรรคใดทำลายความตั้งใจได้ ทุกความล้มเหลวล้วนมีคำอธิบายและนำไปสู่การแก้ไขในครั้งต่อไป เราจะไม่มีวันล้มเหลว หากไม่ล้มเลิกไปเสียก่อน”

เรื่องราวของ “ครูก้อย–นัชชา ลอยชูศักดิ์” ที่ไม่ยอมแพ้ ใช้ความรู้และประสบการณ์พร้อมหัวใจที่เข้มแข็ง ปรับโภชนาการและดูสุขภาพเตรียมความพร้อมก่อนย้ายตัวอ่อนจนประสบความสำเร็จ พร้อมแชร์ประสบการณ์ให้กับผู้มีบุตรยากทั่วประเทศที่ยังคงมุ่งมั่นและไม่ละทิ้งความฝันในการเป็นแม่ ผ่านเพจ BabyAndMom.co.th เพื่อเป็นวิทยาทานและแรงบันดาลใจให้กับผู้มีบุตรยากคนอื่น ๆ อีกด้วย

ตลอดช่วงพักฟื้น มีสามีสุดที่รัก “เจมส์ เรืองศักดิ์” และลูกสาว “น้องเมดา อันโดรเมดา” คอยอยู่เคียงข้าง ดูแลไม่ห่าง โดยมีแฟน ๆ เข้ามาคอมเมนต์ส่งกำลังใจให้ครอบครัวลอยชูศักดิ์อย่างอบอุ่นและล้นหลาม

ครูก้อย #เจมส์เรืองศักดิ์ #เมดา #อันโดรเมดาลอยชูศักดิ์ #มีเมตตาลอยชูศักดิ์ #BabyAndMom #มีบุตรยาก #ท้องยาก #เย็บปากมดลูก #ภาวะปากมดลูกสั้น

’42 ปี จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่’ รวมพลังศิลปิน–นักแสดง ส่งต่อแรงบันดาลใจ มาร่วมเดินทางต่อ… ไปด้วยกัน ด้วย “พลังบวก” ของพวกเรา “GO TOGETHER WITH POSITIVE SYNERGY”

อบอวลไปด้วยพลังแห่งความสุข เมื่อ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 42 ปีแห่งการเดินทาง
ภายใต้แนวคิด มาร่วมเดินทางต่อ… ไปด้วยกัน ด้วย “พลังบวก” ของพวกเรา “GO TOGETHER WITH POSITIVE SYNERGY” ซึ่งอบอุ่นและเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ สะท้อนถึง “พลังบวกของคนแกรมมี่” ที่ไม่เพียงรวมพลังกัน
เพื่อสร้างความสุขผ่านเสียงเพลงและผลงานที่สร้างสรรค์ แต่ยังส่งต่อ “แรงบันดาลใจ” ให้แก่ผู้คนรอบข้างและสังคม
นำโดยคณะผู้บริหาร ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน),
บุษบา ดาวเรือง, กิตติศักดิ์ ช่วงอรุณ, ฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม, ระฟ้า ดำรงชัยธรรม, อิงฟ้า ดำรงชัยธรรม,
ฟ้าฉาย ดำรงชัยธรรม, อรุยา พุทธินันทน์, สิดารัศมิ์ พุทธินันทน์, สุวิมล จึงโชติกะพิศิฐ, สันติสุข จงมั่นคง,
พรพิชิต พัฒนถาบุตร, สมศรี พฤทธิพันธุ์, นรัญจ์ พุ่มศิริ, เดียว วรตั้งตระกูล, สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา
และสถาพร พานิชรักษาพงศ์

พร้อมทั้งศิลปินรุ่นใหญ่และรุ่นใหม่ นำทีมโดยซูเปอร์สตาร์ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์, ครูสลา คุณวุฒิ, ตู่ นันทิดา, นิโคล เทริโอ, นัท มีเรีย, เบล ไชน่าดอลล์, หว่าหวา ไชน่าดอลล์, เพลง ชนม์ทิดา อัศวเหม, พลพล, ทิกเกอร์ อชิระ, SAMUI, Klear, ก้านตอง, เปาวลี พรพิมล, มีนตรา อินทิรา, เอิ้นขวัญ วรัญญา, ลำเพลิน, เต๋า ภูศิลป์, กานต์ ทศน, แป้งร่ำ ศิวนารี, โบนัส ภัทรธิรา, ลำยอง หนองหินห่าว, มิ้วส์เชค อรภัสญาน์, แช่ม แช่มรัมย์, แสน นากา, เจ แจสเปอร์, Par-T, Deephordee, เล็ก รัชเมศฐ์, บักฟ้า ชฎาพร, แพร ชนา, เต๋า ทัศนัย, เอม เอมปวีร์, รามี่, กวาง ดวงฤทัย, Full, Good Mood,
MY EYES,First (Firzter), พอส (Yes Indeed), บีม – จา (De flamingo), กัน Clockwork Motionless, FAVIQ, CHERIS, คริส – อิม ALALA

ไม่เพียงเท่านั้น… ยังมี นักแสดงจากช่อง ONE31 ได้แก่ อ๋อลี่ ตติยา, เตียวหุย เพชรปรัชญา, ปลื้ม ธยศทรณ์,
เจ้าคุณ พันธ์ชนกชนม์, ปริม ปริณดา, โอเบย์ ปัณณวิชญ์, เจมส์ เจตพล, อาร์ติส ธนากรณ์, พรีน รวิสรารัตน์,
หญิงหญิง ศรุชา, จีจี้ ณัฐกุล, พลอย ทิพยร์มิดา The Golden Song SS 4, เบลโลล่า กนิษฐา The Golden Song SS 5,
โก๊ะตุลย์ พันธนนท์ The Golden Song SS 6, บิ๊ก จักริน The Golden Song SS 6 และ ณัฐ – นัท – พลอย – อ๊อฟ – อั่งเปา – แอน จาก The Golden Song SS 7 นักแสดงจาก CHANGE2561 ได้แก่ ลูกหมี, ซอนญ่า นักแสดงจาก GMMTV ได้แก่
ป๋อมแป๋ม นิติ, น้ำตาล ทิพนารี, ฟิล์ม รชานันท์, เลิฟ ภัทรานิษฐ์, จูเนียร์ ปณชัย, มาร์ค จิรันธนิน, ไบร์ท รพีพงศ์,
ปาแปง พรพมพิริยะ, เอิร์น ปรียาภัทย์, กอล์ฟ กิติพันธ์ ดีเจจาก GMM MEDIA ได้แก่ อั๋น ภูวนาท และ เป้ วิศวะ

โดยปีนี้ “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” ตั้งใจถ่ายทอดแนวคิด มาร่วมเดินทางต่อ… ไปด้วยกัน ด้วย “พลังบวก” ของพวกเรา “GO TOGETHER WITH POSITIVE SYNERGY” ผ่านกิจกรรม อาทิ การส่งต่อ “พลังบวก” ให้แก่ทุกคน โดยเขียนข้อความสร้างแรงบันดาลใจลงแผ่นอวยพร พร้อมทั้งคลิปวิดีโอคำอวยพรของผู้บริหารและศิลปิน รวมถึงไฮไลท์ของปีนี้คือ
คำอวยพรพร้อมพลังบวกจาก ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ที่ส่งถึงผู้บริหาร ศิลปิน และพนักงานทุกคน โดยมีข้อความว่า  

รถไฟเหาะ

อาชีพของพวกเราไม่ว่าจะเป็นเพลง เป็นหนัง เป็นละคร ล้วนแล้วแต่มีวิถีชีวิต

ราวกับรถไฟเหาะ Roller Coaster ตามสวนสนุก เต็มไปด้วยการหกคะเมนตีลังกา

น่าตื่นเต้น น่าเสียวไส้ แต่สนุก

เรามีปัญหาอุปสรรค์ท้าทายมากมาย ตั้งแต่ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าผลิตผลงานออกมาโดนไหม

เป็นที่นิยมไหม ถ้าใช้ได้ ก้าวต่อมา คือแข่งกับคู่แข่งได้ไหม ปรากฏว่าดีเลิศชนะคู่แข่ง

ปัญหาไม่ได้จบเพียงเท่านั้น ยังมีภาวะเศรษฐกิจมาเป็นปัจจัยชี้วัดความสำเร็จอีก

และที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด คือ เทคโนโลยีดิสรัปชั่น

ที่จะกวาดล้างเปลี่ยนแปลงสภาวะธุรกิจอาชีพของเราในชั่วพริบตา

พวกเรายืนหยัดอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มา 42 ปี จากรุ่นสู่รุ่น บากบั่นฟันฝ่ามาตลอดเส้นทาง

เดี๋ยวเหาะขึ้น เดี๋ยวเหาะลง เป็นอย่างนี้เรื่อยมา

ถามว่าลำบากลำเค็ญมากไหม ตอบได้ว่ามาก

ถามต่อว่าแล้วทำไมไม่เลิกเสียละ ตอบว่า ยังสนุกอยู่ อยากมาทำเอง ไม่มีใครบังคับ เพราะชอบงานอาชีพนี้

เพราะฉะนั้น คนอย่างพวกเรา คงต้องมี “พลังบวก” อยู่กับตัวอยู่แล้ว

จงมาร่วมเดินทางต่อ… ไปด้วยกันนะพวกเรา

“GO TOGETHER WITH POSITIVE SYNERGY”

ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม

11/11/2568

ซึ่งตลอด 42 ปีที่ผ่านมา…อาชีพของพวกเราเต็มไปด้วยความท้าทาย เหมือนรถไฟเหาะที่ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก
แต่พวกเรายังยืนหยัดได้ด้วยหัวใจที่รักในสิ่งที่ทำ และสิ่งที่ทำให้เรายังเดินหน้ามาจนถึงวันนี้…คือ พลังบวกที่อยู่ในตัว
ของพวกเราทุกคน

เรื่องราวความผูกพันของครอบครัวจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ตลอดจนการสร้างแรงบันดาลใจที่สะท้อนถึง
“การเดินทางร่วมกัน” ตลอด 42 ปี  ซึ่ง “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” ไม่ได้แค่สร้างเสียงเพลง… แต่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมาย และวันนี้พวกเขาพร้อมเดินทางต่อไปด้วยกัน เพื่อส่งต่อ “พลังบวก” ให้ขยายออกไปไม่สิ้นสุด

ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม เปิดเผยว่าประเทศไทยมีบุคลากรที่มีความสามารถมากมาย ทั้งนักแต่งเพลง
นักเขียนบทละคร และนักแสดง รวมถึงทรัพยากรในอุตสาหกรรมบันเทิงที่พร้อม ดังนั้นเราคือ พาหนะสำคัญในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศให้ออกไปประจักษ์ในต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยอาศัยประสบการณ์กว่า 40 ปี ที่ยังคงยึดมั่นในความรักและความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ เพื่อมอบให้แก่ผู้ชม”

เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ เปิดเผยว่า “ชีวิตของเบิร์ดกับแกรมมี่ มันคือชีวิตเดียวกัน ผูกพันกันมายาวนานมาก เหมือนครอบครัวเดียวกัน เบิร์ดรู้สึกว่า ไม่ว่าแกรมมี่จะมีอะไรให้ทำ เบิร์ดก็พร้อมเต็มที่เสมอ เพราะสิ่งหนึ่งที่อยู่ในแกรมมี่ตลอด คือ พลังบวก ของคนที่นี่ ที่ส่งต่อถึงกันจนกลายเป็นแรงใจให้เบิร์ด และเชื่อว่ามันจะเป็นพลังดีๆ ให้เราจะเดินทางต่อไปด้วยกันครับ”

นัท มีเรีย เปิดเผยว่า “ปีที่ 42 ของแกรมมี่ ถือเป็นการเดินทางอันยาวนานที่อยู่เคียงคู่คนไทยมาตลอด และยังคงสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพให้กับผู้ชมอย่างต่อเนื่อง ขอบคุณทีมงานแกรมมี่ทุกคนที่ร่วมกันผลักดันไม่ว่าจะเป็นละครหรือเพลง ให้เป็นสิ่งที่จรรโลงใจและขับเคลื่อนชีวิตของผู้คนต่อไปได้ อย่างน้อยขอให้เพลงของเราอยู่ในใจทุกคนค่ะ”

นิโคล เทริโอ เปิดเผยว่า “หากไม่มีแกรมมี่ ก็อาจไม่มีนิโคล เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย ตั้งแต่ยุคเทป ยุค MP3 จนถึงยุคสตรีมมิ่ง ผ่านทุกช่วงเวลาของวงการเพลงซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จึงอยากจะเป็นกำลังใจให้กับวงการเพลงและอยากให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนศิลปินไทย”

กรณ์ ณรงค์เดช หลั่งน้ำตาเข้ากอดพ่อ หลังชนะคดี

12 พฤศจิกายน 2568 จากกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ในคดีที่ นายเกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ภรรยา พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อดีตอธิบดีกรมตำรวจ และ นายณพ ณรงค์เดช ลูกชาย ในความผิดฐาน “ร่วมกันใช้เอกสารปลอม” โดยปลอมลายเซ็นของนายเกษม เพื่อโอนหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด (WEH) ซึ่งเป็นหุ้นที่มีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท

ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ จำคุกคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา และนายณพ ณรงค์เดช คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ด้าน นายกรณ์ ณรงค์เดช ลูกชายคนเล็กของนายเกษม ซึ่งอยู่เคียงข้างคุณพ่อมาตลอด ได้โพสต์คลิปกอดคุณพ่อทั้งน้ำตา พร้อมข้อความสุดซึ้งว่า “ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการได้สู้เพื่อพ่อ
ทุกหยดน้ำตาและความเหนื่อยไม่สูญเปล่าเลย ขอบคุณคุณพ่อ…ที่อดทน ยืนหยัด และเป็นแรงใจให้เสมอ รักที่สุดหมดหัวใจและภูมิใจที่สุดที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อ เชื่อว่าคุณแม่ส่งกำลังใจให้ครอบครัวเราอยู่จากบนสวรรค์

แล้ววันนี้ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินแล้วว่าคุณพ่อโดนใช้เอกสารลายเซ็นปลอมในการโอนหุ้นไปยังชื่อคนอื่นจริง ขอบคุณความยุติธรรมที่มีจริง”