สคส. ผนึก สธ. ขับเคลื่อน PDPA ยกระดับความปลอดภัยข้อมูลสุขภาพคนไทยสู่ระบบสาธารณสุขดิจิทัล

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) จับมือกระทรวงสาธารณสุข ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้านสาธารณสุข เพื่อส่งเสริมกลไกและมาตรการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของประชาชนให้ปลอดภัย และเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ สคส. กล่าวว่า ข้อมูลด้านสุขภาพถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว การจัดเก็บ การใช้ หรือการเปิดเผยโดยปราศจากมาตรการป้องกันที่รัดกุม อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิของเจ้าของข้อมูลได้ ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวสำคัญ

ในการขับเคลื่อนมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลในระบบสาธารณสุขไทย โดย สคส. จะทำหน้าที่สนับสนุน ให้คำแนะนำ และกำกับดูแลให้การดำเนินการของหน่วยงานด้านสาธารณสุขเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ ทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้แก่บุคลากรในทุกระดับ

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีภารกิจหลักในการดูแลสุขภาพประชาชนทั้งประเทศ จึงมีการเก็บข้อมูลสุขภาพจำนวนมาก ซึ่งจำเป็นต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน ความร่วมมือกับ สคส. ในครั้งนี้จะช่วยให้บุคลากรในสังกัดมีความรู้ความเข้าใจในหลักการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมากยิ่งขึ้น พร้อมพัฒนากลไกและมาตรการด้านความปลอดภัยในข้อมูลสุขภาพให้มีความรัดกุม สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน โดยเฉพาะในระบบบริการ “30 บาทรักษาทุกที่” ซึ่งประชาชนสามารถใช้บริการด้วยบัตรประชาชนเพียงใบเดียวได้อย่างปลอดภัย

นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนา Digital Health โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data ในระบบสาธารณสุขเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลประชาชน เช่น โครงการ Big Data ด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ช่วยคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและลดภาระค่าใช้จ่ายของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การประชุมในครั้งนี้นับเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนแนวคิด นวัตกรรม และความร่วมมือ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นภายใต้กรอบของกฎหมายที่คุ้มครองประชาชนอย่างรอบด้าน
หากประชาชนพบเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล สามารถติดต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) โทร. 02-111-8800 หรืออีเมล: saraban@pdpc.or.th

JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) เตรียมส่งมอบล็อตแรกในไทย พ.ค. 68 มั่นใจทุกการขับขี่ด้วยบริการหลังการขายและอะไหล่ที่ครบครัน

OMODA & JAECOO (โอโมด้า แอนด์ เจคู่) แบรนด์ยานยนต์ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก เตรียมส่งมอบ JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) สู่ท้องถนนในประเทศไทย ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป พร้อมตอกย้ำความมั่นใจด้านบริการหลังการขาย ด้วยคลังอะไหล่ที่ครบครัน JAECOO 7 SHS รถ SUV พลังงานทางเลือก ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามตั้งแต่เปิดตัวในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ล่าสุด รถล็อตแรกได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากลและถูกนำเข้าสู่ประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย โดยพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าทั่วประเทศภายในเดือนพฤษภาคม 2568 นี้

JAECOO 7 SHS หลังจากสร้างกระแสแรงตอบรับอย่างดี ตั้งแต่เปิดตัว ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ผ่านมา ล่าสุด JAECOO 7 SHS ล็อตแรกได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากล  โดยพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าทั่วประเทศภายในเดือนพฤษภาคม 2568 

คุณบิล จาง ผู้อำนวยการ แบรนด์ โอโมด้า แอนด์ เจคู่ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “วันนี้เราสามารถยืนยันได้อย่างเต็มที่ว่า JAECOO 7 SHS พร้อมแล้วสำหรับเมืองไทย รถล็อตแรกได้มาถึงไทยและผ่านขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวดทุกคัน เตรียมส่งมอบให้ลูกค้าทั่วประเทศในเดือนพฤษภาคมนี้ตามแผนที่วางไว้”

เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และยกระดับมาตรฐานด้านบริการหลังการขาย OMODA & JAECOO เน้นย้ำความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน ได้เตรียมความพร้อมในทุกด้าน ทั้งการวางแผนผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย และการจัดการด้านบริการหลังการขาย ด้วยการสำรองอะไหล่อย่างครอบคลุม ตั้งแต่การซ่อมบำรุงเบื้องต้น ไปจนถึงการดูแลรักษารถในระยะยาว สะท้อนความตั้งใจในการมอบประสบการณ์ที่มั่นใจ และไร้กังวลให้กับลูกค้าชาวไทยทุกคนโดยระบบกระจายอะไหล่ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ มีความพร้อมในการจัดส่งอะไหล่ถึงศูนย์บริการตามเคสความเสียหาย โดยปกติใช้เวลาเพียง 1-2 วันทำการในกรุงเทพฯ และ 3-5 วันในต่างจังหวัด ซึ่งถือว่าอยู่ในมาตรฐานระดับสากล

ปัจจุบัน บริษัทฯ ยืนยันว่ามีสต็อกอะไหล่ครบครัน ที่จำเป็นสำหรับการให้บริการ ทั้งในกลุ่มอะไหล่ซ่อมแซมทั่วไปและอะไหล่สำหรับการบำรุงรักษาในระยะยาว เพื่อรองรับการเติบโตของยอดส่งมอบและจำนวนผู้ใช้ JAECOO 7 SHS ที่จะเพิ่มมากขึ้น

JAECOO 7 SHS รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด SUV ที่มาพร้อมเทคโนโลยี SHS (Super Hybrid System) สุดล้ำและดีไซน์สุดคลาสสิค สามารถขับขี่รวมได้ไกลถึง 1,300 กิโลเมตร* (ตามมาตรฐาน NEDC) ทั้งนี้ในประเทศไทย JAECOO 7 SHS สามารถทำสถิติ ขับได้ไกล 1,433 กม. ต่อน้ำมัน 1 ถัง และการชาร์จ 1 ครั้ง ครองตำแหน่ง Longest Driving Range และติด Top 5 ของโลก ใช้น้ำมันเพียง 3.1 ลิตร/ 100 กม. (32.3 กม./ลิตร)*

สำหรับผู้ที่สนใจทดลองขับ JAECOO 7 SHS สามารถลงทะเบียนทดลองขับกับทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพ กับงาน OJ DRIVING EXPERIENCE วันที่ 24-25 พฤษภาคม 2568 ที่ สนามดริฟท์ Wonder World ได้ที่ https://bit.ly/TestDriveJ7  หรือนัดทดลองขับที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ มากไปกว่านั้น JAECOO 7 SHS มากับข้อเสนอพิเศษ ECO BONUS รับส่วนลด On Top 10,000 บาท เพียงคุณเป็นเจ้าของรถ เครื่องยนต์สันดาป (ICE) หรือ ไฮบริด (Hybrid), ฟรี! ค่าบำรุงรักษาเป็นระยะเวลา 2 ปี, ฟรี! Home Charger พร้อมติดตั้ง, ฟรี! สายชาร์จ V-2-L, สายชาร์จเคลื่อนที่ และข้อเสนออื่นๆอีกมากมาย เมื่อจองและออกรถตั้งแต่ 15 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น

#JAECOO7SHS  #SuperHybridSystem #OMODAANDJAECOOTHAILAND #OMODAJAECOOTH

#OMODA #JAECOO #JAECOOTHAILAND 

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ WWW.OMODAJAECOO.CO.TH 

หรือสอบถามรายละเอียดได้ โทร. 02-020-8888 หรือที่ผู้จำหน่ายทั่วประเทศ

ไวไว ร่วมสืบสานพลังศรัทธาแห่งอีสานสนับสนุน “ประเพณีบุญบั้งไฟตะไลล้านกุดหว้า” จังหวัดกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568

ยังคงเดินหน้าสนับสนุนกิจกรรมท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง สำหรับ บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “ไวไว” ที่ปีนี้ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานมรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชาวอีสาน ร่วมสนับสนุนงาน “ประเพณีวัฒนธรรมผู้ไทบุญบั้งไฟตะไลล้าน” ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17–18 พฤษภาคม 2568 ณ เทศบาลตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ งานใหญ่แห่งปีที่ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างตั้งตารอคอย

งานนี้ไม่ได้มีดีแค่ความอลังการของขบวนแห่วัฒนธรรมผู้ไทเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยสีสันจากไฮไลต์สุดตื่นตาอย่าง “บั้งไฟตะไลล้าน” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นของกุดหว้า บั้งไฟทรงกลมคล้ายล้อเกวียน อัดแน่นด้วยดินปืน ยิงพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าอย่างสง่างาม พร้อมเสียงระเบิดดังกึกก้องสะท้านเมือง จุดประกายศรัทธาและพลังแห่งภูมิปัญญาชาวบ้านที่หาชมไม่ได้จากที่ใดในโลก!

เบื้องหลังของบั้งไฟตะไลคือผลงานการคิดค้นของ นายพิศดา จำพล ปราชญ์ชาวบ้านผู้เปลี่ยน “บั้งไฟหาง” ที่มีความเสี่ยง เป็น “บั้งไฟตะไล” ที่สามารถควบคุมทิศทางการตกได้อย่างแม่นยำ โดยได้พัฒนาให้ติดร่มเพื่อลดอันตรายต่อผู้ชม ถือเป็นตัวอย่างชั้นเยี่ยมของการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ จนกลายเป็นวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก

สำหรับบรรยากาศภายในงาน “ไวไว” ก็ไม่พลาดที่จะร่วมเติมเต็มความสนุกให้คึกคักยิ่งขึ้น ด้วยการ ยกทัพทีมไวไวสุดแซ่บมาออกบูธในงาน เสิร์ฟเมนูไวไวรสเป็ดพะโล้ร้อน ๆ หอมกรุ่นให้ชาวกุดหว้าและนักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองกันถึงที่! พร้อมกิจกรรมแจกของรางวัลแบบจัดเต็ม สร้างสีสันและรอยยิ้มให้กับผู้ร่วมงานตลอดสองวันเต็ม

การมีส่วนร่วมในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของ “ไวไว” ที่มุ่งมั่นในการ สืบสาน สนับสนุน และส่งเสริมกิจกรรมอันดีงามของชุมชน อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ในปีนี้ แต่ในทุกๆ ปี “ไวไว” ขอยืนยันบทบาทของแบรนด์ที่อยู่เคียงข้างสังคมไทย พร้อมอนุรักษ์และส่งต่อคุณค่าของประเพณีไทยให้คงอยู่อย่างสง่างาม ไปพร้อมกับรสชาติที่คนไทยรักไม่เปลี่ยน

OMODA & JAECOO พร้อมแล้ว ที่จะพา Mr.J ตัวแทนคนแรกของแบรนด์ JAECOO ประเทศไทย มาพลิกโฉมตลาดรถด้วยบุคลิกที่สมาร์ท มีสไตล์ แต่ยังพร้อมลุย…กับรถสไตล์ British Gentleman ที่จะมาเขย่าวงการรถยนต์

เปิดเกมใหม่วงการรถ! JAECOO เตรียมเผยโฉม “MrJ” ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ชอบผจญภัย British Gentleman ร่วมลุ้นพร้อมกันกรกฎาคมนี้

เตรียมพบกับอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เชื่อมโลกของยานยนต์เข้ากับโลกบันเทิงได้อย่างมีสไตล์ เมื่อ JAECOO เตรียมเปิดตัว “Mr.J” ตัวแทนแห่งยุคใหม่ ที่จะมาเปลี่ยนนิยามของการขับขี่ด้วยดีไซน์ และเทคโนโลยีที่แตกต่าง ถึง Mr.J ยังไม่ถูกเปิดเผยว่าเป็นใคร แต่เริ่มกลายเป็นกระแสพูดถึงในแวดวงบันเทิงและโซเชียลอย่างต่อเนื่อง และจะถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมนี้

การเปิดตัว Mr.J ในครั้งนี้จะมาเป็นภาพแทนของคนรุ่นใหม่ที่มีสไตล์ มีพลังขับเคลื่อน บาลานซ์ให้ชีวิตมีความสนุกทุกจังหวะของการขับเคลื่อน และไม่ยอมติดอยู่ในกรอบเดิม ๆ  เช่นเดียวกับรถยนต์แบรนด์ JAECOO ที่จะมาเป็นคู่หูที่สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ของเขา — นั่นคือ JAECOO คือแบรนด์ที่รวมความล้ำของเทคโนโลยีเข้ากับดีไซน์ที่เนี้ยบแต่เท่อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมสร้างนิยามใหม่ของ “รถยนต์ที่เป็นได้มากกว่าพาหนะ” แต่เป็นรถยนต์ที่บอกถึงตัวตนของคุณ

ใครกันที่จะมาเป็น “Mr.J”? ตัวแทนของความสมาร์ท  มีคลาส ไม่เหมือนใคร ด้วยพลังแห่งการขับขี่อัจฉริยะจาก JAECOO เตรียมพบกัน…กรกฎาคมนี้

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ WWW.OMODAJAECOO.CO.TH และ Facebook : https://www.facebook.com/OmodaandJaecooTH

หรือสอบถามรายละเอียดได้ โทร. 02-020-8888 หรือที่ผู้จำหน่ายทั่วประเทศ

#JAECOOTHAILAND #JAECOO #OMODAANDJAECOOTHAILAND
#OMODAJAECOOTH #OMODA 

ไดกิ้นเดินหน้ายกระดับคุณภาพอากาศในสถานศึกษา ส่งมอบ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ต้นแบบศูนย์การเรียนรู้คุณภาพอากาศภายในอาคารระดับภาคเหนือ

ไดกิ้น ผู้นำระดับโลกด้านระบบปรับอากาศ เดินหน้าผลักดันนวัตกรรมเพื่อคุณภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อม เปิดตัว “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ยกระดับคุณภาพอากาศภายในอาคารระดับภาคเหนือ โดยมีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภาคเหนือเข้าร่วมงานมอบใบประกาศเกียรติคุณและร่วมกิจกรรมอบรม ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการคุณภาพอากาศอย่างยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบจากฝุ่นละออง PM2.5 และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กเล็กและบุคลากรในสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง

โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ กรมอนามัย กรมการปกครอง สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ภายใต้เป้าหมายในการสร้างศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมด้านคุณภาพอากาศให้มีความปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัยอย่างยั่งยืน

ในพิธีเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานกล่าวเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง โดยในช่วงการอบรมได้มีการจัดบรรยายในหัวข้อ “ปัญหาคุณภาพอากาศภายในอาคารและการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารสาธารณะและอาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นภายในอาคาร โดยเฉพาะในพื้นที่ปิดซึ่งมีเด็กปฐมวัยอยู่รวมกันเป็นเวลานาน ทั้งยังเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ และภาวะพัฒนาการถดถอย ตลอดจนแนวทางและมาตรการที่สามารถนำมาใช้ควบคุมคุณภาพอากาศ เช่น การออกแบบอาคารให้มีระบบระบายอากาศที่เหมาะสม การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ปลอดสารระเหย และการติดตั้งเครื่องกรองอากาศหรือระบบปรับอากาศที่มีการควบคุมฝุ่นและเชื้อโรคในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในโอกาสเดียวกันนี้ กรมอนามัย ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณแก่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ รับรองให้เป็น “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ตามเกณฑ์มาตรฐานด้านสุขภาพอนามัย แห่งแรกในระดับภาคเหนือ พร้อมจัดอบรมให้แก่ครูและเจ้าหน้าที่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการบริหารจัดการระบบคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้าน นายคาสุฮิสะ ฮินาสึ กรรมการบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึง วิสัยทัศน์ขององค์กร ว่า ไดกิ้นมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในเรื่อง “คุณภาพอากาศที่ดีภายในอาคาร” ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสติปัญญาของเด็กปฐมวัย พร้อมทั้งระบุว่า “เราเชื่อมั่นว่านวัตกรรมควบคุมอากาศของไดกิ้นจะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่เสี่ยง และสามารถขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ”

สำหรับ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ต้นแบบแห่งนี้ ได้ติดตั้ง  ระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูง ที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับ ระบบกรองอากาศ HRV (Heat Reclaim Ventilation) ซึ่งสามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และมลพิษจากภายนอกอาคาร ก่อนจะนำอากาศเข้าสู่ภายในห้องเรียน พร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้ดูแลสามารถเฝ้าระวังและบริหารจัดการคุณภาพอากาศได้อย่างต่อเนื่องโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ต้นแบบในครั้งนี้ จึงนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการสร้าง โซลูชันต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับการนำไปปรับใช้ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยมุ่งหวังให้ประเทศไทยมีมาตรฐานคุณภาพอากาศในอาคารที่ปลอดภัยและยั่งยืนในระยะยาว

ไดกิ้น ยืนยันเจตนารมณ์ในการเดินหน้าโครงการอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่า “สุขภาพที่ดีของเด็กวันนี้ คือรากฐานของสังคมในวันหน้า” การลงทุนในคุณภาพอากาศจึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของชาติ

โฮมโปร ติด Top 5% จากการประเมินของ S&P Global สะท้อนความสำเร็จระดับโลกตามแนวทาง ESG

โฮมโปร ได้รับรางวัลความยั่งยืนติดอันดับ Top 5% ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก จาก S&P Global และได้รับเลือกเข้าเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ในงาน S&P Global Sustainability Yearbook Distinction Ceremony 2025 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ จากการประเมินความยั่งยืนขององค์กรกว่า 7,690 บริษัท ใน 62 อุตสาหกรรมทั่วโลกที่เข้าร่วมประเมินความยั่งยืนองค์กร ตอกย้ำความสำเร็จในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการเรื่องบ้าน ที่มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุมตามหลัก ESG ที่ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี และสร้างคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกคน ตามเป้าหมาย We Make a Better Living อย่างเป็นรูปธรรม

นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์และความยั่งยืนองค์กร บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” กล่าวว่า รางวัลแห่งความยั่งยืนจาก S&P Global คือ หลักฐานที่ชัดเจนว่าโฮมโปรได้ผนวกเอาแนวคิดและกระบวนการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนเข้าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญขององค์กร เพื่อขับเคลื่อนองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คนตามเป้าหมาย We Make a Better Living’ อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้การดำเนินงานที่ครอบคลุมตามหลัก ESG ที่ประกอบไปด้วย

ด้านการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม (Environmental) โฮมโปรได้ให้ความสำคัญกับการจัดการพลังงานและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยมุ่งพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น สินค้า ECO Product, ECO Choice และกลุ่มสินค้ารักษ์โลกจากวัสดุหมุนเวียน หรือ Circular Products ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ร่วมกับปลุกจิตสำนึกด้านการจัดการของเก่าอย่างถูกวิธี ผ่านโครงการแลกเก่าเพื่อโลกใหม่ ซึ่งโฮมโปรจะช่วยนำของเก่าที่ไม่ใช้แล้วไปจัดการให้อย่างถูกวิธี ด้วยการแปรสภาพซากเครื่องใช้ไฟฟ้าไปรีไซเคิลผลิตเป็นสินค้าใหม่อีกครั้ง เช่น เครื่องทำน้ำอุ่น, ตู้เย็น, พัดลม ฯลฯ เพื่อลดปริมาณขยะและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรที่ยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอย่างจริงจังของเป้าหมาย Net Zero ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2593 อีกด้วย

ด้านการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชุมชนและสังคม (Social) โฮมโปรมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในทุกมิติ ทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย พร้อมส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียม ให้พนักงานทุกคนมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับองค์กรอย่างมั่นคง นอกจากนี้ ยังมุ่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรผ่านโครงการฝึกอบรมต่างๆ ที่ช่วยสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ โฮมโปรมุ่งยังพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ผ่านสินค้าและบริการเรื่องบ้านที่ครบวงจร  เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกมิติ

ด้านการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล (Governance) โฮมโปรได้ดำเนินธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี เน้นบริหารจัดการที่โปร่งใส เป็นธรรม และมีความรับผิดชอบ เพื่อลดความเสี่ยงจากการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยในด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน โฮมโปรได้ร่วมมือคู่ค้าที่มีจริยธรรม เพื่อให้การจัดหาสินค้ามีมาตรฐานและไม่สร้างผลกระทบต่อสังคม รวมถึงยังมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการทำงาน เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสใหม่ๆ ในตลาด อีกทั้งบริษัทยังให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

“ความสำเร็จจากการได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) และอยู่ใน Sustainability Yearbook อย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่สะท้อนความตั้งใจและความมุ่งมั่นของโฮมโปร ในการยกระดับองค์กรให้เติบโตไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล โฮมโปรจะมุ่งขับเคลื่อนแนวทาง ESG ที่ดีขึ้น ด้วยความตั้งใจจริงในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในทุกระดับขององค์กร ตามเป้าหมายสร้างสิ่งแวดล้อมดี (Better Environment), สังคมดี (Better Society) และธุรกิจดี (Better Business) เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนทุกคนให้เป็นจริงในทุกมิติของการดำเนินงาน” นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา กล่าวปิดท้าย

#DJSI #ESG #Sustainable #SustainableLiving #โฮมโปร #HomePro #HomeProESG #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #Homepropr

“สตาร์มาร์ค” ร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน Green Partners ใส่ใจคุณภาพชีวิตสร้างบ้านที่ตอบสนองอนาคตอย่างแท้จริงเพื่อโลกที่ดีกว่าเดิมกับ “แสนสิริ” บ้านที่ให้คำตอบของความยั่งยืน “Sansiri Sustainable Home Prototype 1” โครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์-สาย1

นายอรรถพล รัตนชินกร (ที่ 1 ซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง เข้าร่วมเปิดตัวบ้านต้นแบบที่มีนวัตกรรมยั่งยืนเพื่ออนาคต เลือกสรรวัสดุเพื่อสุขภาพที่ดีกว่ากับโครงการของแสนสิริ  “Sansiri Sustainable Home Prototype 1” ณ โครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์-สาย 1 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

บ้านต้นแบบนี้โดดเด่นด้วยนวัตกรรม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การออกแบบเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Health and Well-being) ช่วยให้บ้านปลอดฝุ่นและสารพิษ, การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Resource Efficiency) ด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์และระบบบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะ, นวัตกรรมบ้านเย็น (Cooliving Design) ออกแบบตามหลักธรรมชาติ และการใช้วัสดุรักษ์โลก (Green Materials) กว่า 70%

นวัตกรรมทั้งหมดนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 35% เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 14,300 ต้นต่อบ้าน 1 หลัง พร้อมช่วยผู้อยู่อาศัยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 83% สะท้อนความมุ่งมั่นของแสนสิริในฐานะบริษัทอสังหาฯ รายแรกของไทยที่ประกาศเป้าหมาย Net-Zero

สตาร์มาร์คจับมือร่วมกับแสนสิริใส่ใจคุณภาพชีวิต ยกระดับเฟอร์นิเจอร์ชุดครัว เลือกใช้วัสดุ Zero VOC ที่ไม่ปล่อยสารระเหยอันตราย ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจ ปลอดภัยต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เฟอร์นิเจอร์ชุดครัวที่มีโครงสร้างและหน้าบานไม้ E1  คือไม้ที่มีสารฟอร์มัลดีไฮต์เจือปนไม่เกิน 0.1 ppm ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นไม้ที่กลุ่มสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น กำหนดให้ใช้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ ปิดผิวหน้าบานด้วยวัสดุชนิดฟู้ดเกรด อย่าง PET – Eco Surfaces วัสดุปิดผิวที่ไร้สารโลหะหนัก รวมถึงสารก่อภูมิแพ้ แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณลักษณะที่สำคัญของวัสดุตกแต่งที่ดีนั่นคือความทนทาน ทำความสะอาดง่าย แอนตี้แบคทีเรียและรอยนิ้วมือ ทำให้บ้านจะไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นบ้านที่จัดเต็มในแนวคิดเรื่องความยั่งยืน

ท่านสามารถติดตามข่าวสารต่าง ๆ ของสตาร์มาร์ค คิทเช่น ได้ที่ www.starmark.co.th / Facebook: Starmarkkitchen/ Instagram :Starmarkkitchen หรือ Line@: @starmarkkitchen

ถิรไทย เดินเกมรับมือความท้าทาย Q1/2568 ด้วยแผนปรับพอร์ตลูกค้า บริหารต้นทุนต่อเนื่อง มั่นใจพื้นฐานแกร่ง-สภาพคล่องแข็งแรง

บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม) ด้วยรายได้จากการขายรวม 579.19 ล้านบาท โดยแม้จะเผชิญกับภาวะตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าที่มีความผันผวน รวมถึงการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้นในธุรกิจบริการ แต่บริษัทฯ ยังคงรักษากำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 46.57 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าปรับกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2568 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งยังคงเป็นสัดส่วนรายได้หลักกว่า 98% อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไว้ได้ในระดับ 23.50% ซึ่งถือว่าสะท้อนการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในสภาพตลาดที่มีการแข่งขันสูง

ขณะที่รายได้จากการบริการอยู่ที่ 31.79 ล้านบาท ลดลง 32.25% โดยเป็นผลจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรม แต่บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์เจาะตลาดลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดี และมีแนวโน้มปรับอัตรากำไรขั้นต้นจากงานบริการให้เพิ่มขึ้นในระยะถัดไป

อีกหนึ่งปัจจัยที่กระทบต่อผลประกอบการในไตรมาสนี้ มาจากรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่างานในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) ของ บมจ.ไทยออยล์ จำนวน 24.21 ล้านบาท หลังจากคู่สัญญาโครงการต่างประเทศของไทยออยล์ยกเลิกสัญญาเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ ยืนยันว่ากำลังอยู่ระหว่างดำเนินการติดตามข้อเรียกร้องตามสัญญาอย่างถึงที่สุด

ในด้านต้นทุนทางการเงิน บริษัทสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลงกว่า 41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เหลือเพียง 13.49 ล้านบาท สะท้อนความสามารถในการบริหารกระแสเงินสดและสภาพคล่องได้อย่างแข็งแกร่ง

“เรายังเชื่อมั่นในศักยภาพของธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าและบริการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในยุคที่ภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานกลับมาคึกคัก อีกทั้งเรายังมีแผนรุกตลาดใหม่ๆ และเพิ่มสัดส่วนงานที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางรายได้และสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับผู้ถือหุ้น” นายสัมพันธ์ กล่าว

บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าภาครัฐและเอกชนในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มบทบาทในโครงการพลังงานทางเลือกในภูมิภาคอาเซียน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และเสริมโครงสร้างรายได้ให้หลากหลายยิ่งขึ้นในอนาคต

JGAB 2025 ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่! ผู้ชมทะลุหมื่นจาก 84 ประเทศ ยกระดับเวทีอัญมณีอาเซียนสู่สายตาโลก

งาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2025 (JGAB 2025) เพิ่งปิดฉากลงไปอย่างสมบูรณ์แบบ โดยในปีนี้สามารถดึงดูดผู้ร่วมงานจากทั่วโลกกว่า 10,663 คน จาก 84 ประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการไทยถึง 52% พร้อมกับผู้จัดแสดงสินค้าชั้นนำกว่า 350 ราย จาก 15 ประเทศทั่วโลก นับเป็นความสำเร็จที่ต่อยอดจากปีก่อนหน้า ตอกย้ำบทบาทของงานในฐานะแพลตฟอร์มสำคัญระดับภูมิภาคสำหรับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้ JGAB ได้สร้างสีสันและความน่าสนใจให้กับวงการอัญมณีอาเซียน ด้วยกิจกรรมและโซนจัดแสดงสุดพิเศษ โดยหนึ่งในจุดเด่นของงานคือ “The ASEAN’s Masterpieces Gallery” ที่รวบรวมผลงานเครื่องประดับอันทรงคุณค่าจากประเทศสมาชิกอาเซียน สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น

ขณะเดียวกัน “The Gallery of Thai Silver” ได้โชว์เทรนด์เครื่องประดับเงินไทยแห่งอนาคต ผ่าน 5 คอนเซ็ปต์เด่น ได้แก่ Futuristic, Preservation, Dystopian Beauty, Toys Story และ H-Generation ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญคือการประกวด “The Next Gem Contest 2025” ที่เปิดเวทีให้นักออกแบบรุ่นใหม่จากไทยได้โชว์ศักยภาพภายใต้ธีม “Boundless Creativity” โดยผลงานที่เข้าประกวดสะท้อนถึงจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด และการผสมผสานเอกลักษณ์ไทยเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัยได้อย่างลงตัว

ด้านกิจกรรมสัมมนาและเวิร์กชอปภายในงานได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการประชุมระดับภูมิภาค “ASEAN Jewellery and Gem Summit 2025” ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายธุรกิจข้ามพรมแดน และเปิดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจากหลากหลายประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเสริมองค์ความรู้ในหลากหลายหัวข้อ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ตลาดโลก กลยุทธ์การขยายธุรกิจ และเทคนิคการตรวจสอบคุณภาพอัญมณี ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ นักออกแบบ และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ

และงาน JGAB 2025 ปีนี้สามารถดึงดูดผู้ร่วมงานรวม 10,663 คน จาก 15 ประเทศทั่วโลก พร้อมผู้จัดแสดงสินค้าชั้นนำ 350 ราย จาก 15 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการไทยถึง 52% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องประดับอาเซียน และจากการวิเคราะห์ผู้เข้าร่วมงาน พบว่ากว่า 52%  เป็นผู้บริหารระดับสูงและเจ้าของกิจการ ขณะที่อีก 35% เป็นผู้จัดจำหน่าย นักออกแบบเครื่องประดับและ นักอัญมณี โดยผู้ซื้อจากต่างประเทศที่เดินทางมาร่วมงานมากที่สุด ได้แก่ จีน อินเดีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้เล่นในอุตสาหกรรมจากทั่วโลกต่อศักยภาพของภูมิภาคอาเซียน

นายสรรชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความสำเร็จของ JGAB 2025 สะท้อนถึงบทบาทที่แข็งแกร่งของงานในฐานะแพลตฟอร์มการค้าและเครือข่ายระดับภูมิภาค ที่เชื่อมโยงผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย และผู้ผลิตจากทั่วโลกเข้าด้วยกัน ปีนี้ งานไม่ได้เป็นเพียงแค่งานแสดงสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็น ‘มหกรรมแห่งโอกาส’ ที่เปิดเวทีให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การเจรจาธุรกิจ และความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างคึกคัก”

“การตอบรับจากผู้เข้าร่วมงานทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนผู้มีบทบาทในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิภาคอาเซียนในฐานะศูนย์กลางตลาดเครื่องประดับระดับโลกที่น่าจับตามอง”

ความสำเร็จในปีนี้ยังเน้นย้ำถึง ศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางธุรกิจเครื่องประดับ ที่สามารถผสมผสานเอกลักษณ์ท้องถิ่นเข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งผ่านผลงานใน The Gallery of Thai Silver และความสร้างสรรค์ของนักออกแบบรุ่นใหม่ใน The Next Gem Contest 2025 ที่สำคัญ คลังความรู้จากเวิร์ก  ชอปและสัมมนาต่างๆ ได้ปูทางให้ผู้ประกอบการเห็น เทรนด์อนาคตและช่องทางขยายธุรกิจ โดยเฉพาะโอกาสจากตลาดจีนและเมืองรอง ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในปีต่อๆ ไป

ด้วยความสำเร็จนี้ JGAB 2026 จึงน่าจับตามองยิ่งขึ้น เพราะไม่เพียงต่อยอดจากปีก่อน แต่ยังอาจเป็นเวทีที่เปิดศักราชใหม่ให้วงการอัญมณีอาเซียนก้าวขึ้นสู่การเป็น “ตลาดระดับท็อปของโลก” อย่างเต็มตัว

สำหรับผู้ที่พลาดงานปีนี้ สามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้เลย เพราะ Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2026 จะกลับมาอีกครั้งในวันที่ 22-25 เมษายน 2569 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพฯ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  www.jewellerygemaseanbkk.com

“เส้นหมี่ไวไว” ร่วมบ่มเพาะต้นกล้าธรรมะ สนับสนุนโครงการ “สามเณรปลูกปัญญาธรรม ปีที่ 11” ภายใต้แนวคิด “กตัญญูคู่ความดี”

บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “เส้นหมี่อบแห้งไวไว” เหนียวนุ่มไม่ขาดตอน นำโดย คุณณิชรัตน์ ชำนาญกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด พร้อมคณะผู้บริหารและทีมงาน ร่วมสนับสนุน “โครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรม ปีที่ 11” อย่างต่อเนื่อง ด้วยความศรัทธาในพลังของธรรมะที่สามารถหล่อหลอมจิตใจเยาวชนไทยให้เติบโตอย่างงดงามจากภายใน คุณณิชรัตน์ ชำนาญกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด เผยว่า เส้นหมี่ไวไวรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีส่วนร่วมกับโครงการแห่งคุณค่านี้ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยปีนี้ภายใต้แนวคิด “กตัญญูคู่ความดี” ซึ่งมุ่งเน้นปลูกฝังความสำนึกในพระคุณ และการดำรงตนอยู่บนเส้นทางแห่งความดีงาม เป็นการปูพื้นฐานที่มั่นคงให้กับเยาวชนทั้ง 12 รูป ที่เข้าร่วมพิธีบรรพชาเมื่อวันที่ 20 เมษายน ณ สถานปฏิบัติธรรมธวีธรรม ไร่แสงงาม จ.นครราชสีมา โดยมี ศาสตราจารย์ ดร. พระพรหมบัณฑิต เมตตาเป็นพระอุปัชฌาย์

โดย “เส้นหมี่ไวไว” ร่วมกิจกรรมอย่างอบอุ่นตลอดช่วงเวลา 4 สัปดาห์ของโครงการ ด้วยการตั้งบูธกิจกรรมและจัดเมนู “เส้นหมี่อบแห้งไฟเบอร์คลุกไก่ฉีก” พร้อมแจกกิ๊ฟเซ็ตเส้นหมี่ไฟเบอร์สูงในงานแถลงข่าวเปิดตัวสามเณรทั้ง 12 รูป รวมถึงร่วมกิจกรรมตักบาตรด้วยการมอบชุดใส่บาตร และในวันลาสิกขา 18 พฤษภาคม ณ ศาลาธรรม จังหวัดนครราชสีมา นอกจากนี้เส้นหมี่ไวไวยังคงเคียงข้างโครงการด้วยการตั้งบูธแจกเส้นหมี่ไวไวคัพรสปรุงสำเร็จ ให้กับผู้ร่วมงานเป็นของที่ระลึกส่งท้าย

สำหรับในพิธีลาสิกขาได้รับเกียรติจากพระอาจารย์ใหญ่ พระพรหมบัณฑิต ศ.ดร. พร้อมแขกผู้มีเกียรติระดับประเทศ อาทิ คุณธนินท์ เจียรวนนท์, คุณศุภชัย เจียรวนนท์ และ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ร่วมแสดงความชื่นชมเยาวชนผู้ผ่านการเรียนรู้และฝึกฝนธรรมะตลอดหนึ่งเดือนอย่างเต็มภาคภูมิ

คุณณิชรัตน์ กล่าวปิดท้ายว่า เส้นหมี่ไวไวเชื่อว่า ธรรมะไม่เพียงเป็นที่พึ่งทางใจ หากยังเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนา “คน” ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีเมตตา มีสติ และมีจิตสาธารณะ พร้อมขับเคลื่อนสังคมไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน “เราเชื่อในพลังของการให้…และศรัทธาในคุณค่าของธรรมะ เส้นหมี่ไวไวขอยืนยันเจตนารมณ์ที่จะเคียงข้างกิจกรรมดีๆ เพื่อจุดประกายแสงแห่งปัญญาให้สังคมไทยต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง”

โครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรมถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อเยาวชนและพุทธศาสนิกชนไทย เส้นหมี่ไวไวในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมส่งเสริมการเรียนรู้ธรรมะผ่านกิจกรรมดี ๆ เพื่อสร้างรากฐานจิตใจที่มั่นคงให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต พร้อมยืนยันเจตนารมณ์ที่จะเดินหน้าเคียงข้างโครงการดีๆ ของสังคมไทย อย่างต่อเนื่อง เพื่อจุดประกายแสงแห่งปัญญาและคุณค่าทางใจให้คงอยู่ต่อไป