OMODA & JAECOO พร้อมแล้ว ที่จะพา Mr.J ตัวแทนคนแรกของแบรนด์ JAECOO ประเทศไทย มาพลิกโฉมตลาดรถด้วยบุคลิกที่สมาร์ท มีสไตล์ แต่ยังพร้อมลุย…กับรถสไตล์ British Gentleman ที่จะมาเขย่าวงการรถยนต์

เปิดเกมใหม่วงการรถ! JAECOO เตรียมเผยโฉม “MrJ” ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ชอบผจญภัย British Gentleman ร่วมลุ้นพร้อมกันกรกฎาคมนี้

เตรียมพบกับอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เชื่อมโลกของยานยนต์เข้ากับโลกบันเทิงได้อย่างมีสไตล์ เมื่อ JAECOO เตรียมเปิดตัว “Mr.J” ตัวแทนแห่งยุคใหม่ ที่จะมาเปลี่ยนนิยามของการขับขี่ด้วยดีไซน์ และเทคโนโลยีที่แตกต่าง ถึง Mr.J ยังไม่ถูกเปิดเผยว่าเป็นใคร แต่เริ่มกลายเป็นกระแสพูดถึงในแวดวงบันเทิงและโซเชียลอย่างต่อเนื่อง และจะถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมนี้

การเปิดตัว Mr.J ในครั้งนี้จะมาเป็นภาพแทนของคนรุ่นใหม่ที่มีสไตล์ มีพลังขับเคลื่อน บาลานซ์ให้ชีวิตมีความสนุกทุกจังหวะของการขับเคลื่อน และไม่ยอมติดอยู่ในกรอบเดิม ๆ  เช่นเดียวกับรถยนต์แบรนด์ JAECOO ที่จะมาเป็นคู่หูที่สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ของเขา — นั่นคือ JAECOO คือแบรนด์ที่รวมความล้ำของเทคโนโลยีเข้ากับดีไซน์ที่เนี้ยบแต่เท่อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมสร้างนิยามใหม่ของ “รถยนต์ที่เป็นได้มากกว่าพาหนะ” แต่เป็นรถยนต์ที่บอกถึงตัวตนของคุณ

ใครกันที่จะมาเป็น “Mr.J”? ตัวแทนของความสมาร์ท  มีคลาส ไม่เหมือนใคร ด้วยพลังแห่งการขับขี่อัจฉริยะจาก JAECOO เตรียมพบกัน…กรกฎาคมนี้

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ WWW.OMODAJAECOO.CO.TH และ Facebook : https://www.facebook.com/OmodaandJaecooTH

หรือสอบถามรายละเอียดได้ โทร. 02-020-8888 หรือที่ผู้จำหน่ายทั่วประเทศ

#JAECOOTHAILAND #JAECOO #OMODAANDJAECOOTHAILAND
#OMODAJAECOOTH #OMODA 

ไดกิ้นเดินหน้ายกระดับคุณภาพอากาศในสถานศึกษา ส่งมอบ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ต้นแบบศูนย์การเรียนรู้คุณภาพอากาศภายในอาคารระดับภาคเหนือ

ไดกิ้น ผู้นำระดับโลกด้านระบบปรับอากาศ เดินหน้าผลักดันนวัตกรรมเพื่อคุณภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อม เปิดตัว “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ยกระดับคุณภาพอากาศภายในอาคารระดับภาคเหนือ โดยมีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภาคเหนือเข้าร่วมงานมอบใบประกาศเกียรติคุณและร่วมกิจกรรมอบรม ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการคุณภาพอากาศอย่างยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบจากฝุ่นละออง PM2.5 และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กเล็กและบุคลากรในสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง

โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ กรมอนามัย กรมการปกครอง สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ภายใต้เป้าหมายในการสร้างศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมด้านคุณภาพอากาศให้มีความปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัยอย่างยั่งยืน

ในพิธีเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานกล่าวเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง โดยในช่วงการอบรมได้มีการจัดบรรยายในหัวข้อ “ปัญหาคุณภาพอากาศภายในอาคารและการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารสาธารณะและอาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นภายในอาคาร โดยเฉพาะในพื้นที่ปิดซึ่งมีเด็กปฐมวัยอยู่รวมกันเป็นเวลานาน ทั้งยังเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ และภาวะพัฒนาการถดถอย ตลอดจนแนวทางและมาตรการที่สามารถนำมาใช้ควบคุมคุณภาพอากาศ เช่น การออกแบบอาคารให้มีระบบระบายอากาศที่เหมาะสม การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ปลอดสารระเหย และการติดตั้งเครื่องกรองอากาศหรือระบบปรับอากาศที่มีการควบคุมฝุ่นและเชื้อโรคในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในโอกาสเดียวกันนี้ กรมอนามัย ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณแก่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ รับรองให้เป็น “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ตามเกณฑ์มาตรฐานด้านสุขภาพอนามัย แห่งแรกในระดับภาคเหนือ พร้อมจัดอบรมให้แก่ครูและเจ้าหน้าที่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการบริหารจัดการระบบคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้าน นายคาสุฮิสะ ฮินาสึ กรรมการบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึง วิสัยทัศน์ขององค์กร ว่า ไดกิ้นมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในเรื่อง “คุณภาพอากาศที่ดีภายในอาคาร” ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสติปัญญาของเด็กปฐมวัย พร้อมทั้งระบุว่า “เราเชื่อมั่นว่านวัตกรรมควบคุมอากาศของไดกิ้นจะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่เสี่ยง และสามารถขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ”

สำหรับ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ต้นแบบแห่งนี้ ได้ติดตั้ง  ระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูง ที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับ ระบบกรองอากาศ HRV (Heat Reclaim Ventilation) ซึ่งสามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และมลพิษจากภายนอกอาคาร ก่อนจะนำอากาศเข้าสู่ภายในห้องเรียน พร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้ดูแลสามารถเฝ้าระวังและบริหารจัดการคุณภาพอากาศได้อย่างต่อเนื่องโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ต้นแบบในครั้งนี้ จึงนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการสร้าง โซลูชันต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับการนำไปปรับใช้ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยมุ่งหวังให้ประเทศไทยมีมาตรฐานคุณภาพอากาศในอาคารที่ปลอดภัยและยั่งยืนในระยะยาว

ไดกิ้น ยืนยันเจตนารมณ์ในการเดินหน้าโครงการอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่า “สุขภาพที่ดีของเด็กวันนี้ คือรากฐานของสังคมในวันหน้า” การลงทุนในคุณภาพอากาศจึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของชาติ

โฮมโปร ติด Top 5% จากการประเมินของ S&P Global สะท้อนความสำเร็จระดับโลกตามแนวทาง ESG

โฮมโปร ได้รับรางวัลความยั่งยืนติดอันดับ Top 5% ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก จาก S&P Global และได้รับเลือกเข้าเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ในงาน S&P Global Sustainability Yearbook Distinction Ceremony 2025 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ จากการประเมินความยั่งยืนขององค์กรกว่า 7,690 บริษัท ใน 62 อุตสาหกรรมทั่วโลกที่เข้าร่วมประเมินความยั่งยืนองค์กร ตอกย้ำความสำเร็จในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการเรื่องบ้าน ที่มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุมตามหลัก ESG ที่ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี และสร้างคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกคน ตามเป้าหมาย We Make a Better Living อย่างเป็นรูปธรรม

นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์และความยั่งยืนองค์กร บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” กล่าวว่า รางวัลแห่งความยั่งยืนจาก S&P Global คือ หลักฐานที่ชัดเจนว่าโฮมโปรได้ผนวกเอาแนวคิดและกระบวนการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนเข้าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญขององค์กร เพื่อขับเคลื่อนองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คนตามเป้าหมาย We Make a Better Living’ อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้การดำเนินงานที่ครอบคลุมตามหลัก ESG ที่ประกอบไปด้วย

ด้านการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม (Environmental) โฮมโปรได้ให้ความสำคัญกับการจัดการพลังงานและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยมุ่งพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น สินค้า ECO Product, ECO Choice และกลุ่มสินค้ารักษ์โลกจากวัสดุหมุนเวียน หรือ Circular Products ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ร่วมกับปลุกจิตสำนึกด้านการจัดการของเก่าอย่างถูกวิธี ผ่านโครงการแลกเก่าเพื่อโลกใหม่ ซึ่งโฮมโปรจะช่วยนำของเก่าที่ไม่ใช้แล้วไปจัดการให้อย่างถูกวิธี ด้วยการแปรสภาพซากเครื่องใช้ไฟฟ้าไปรีไซเคิลผลิตเป็นสินค้าใหม่อีกครั้ง เช่น เครื่องทำน้ำอุ่น, ตู้เย็น, พัดลม ฯลฯ เพื่อลดปริมาณขยะและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรที่ยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอย่างจริงจังของเป้าหมาย Net Zero ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2593 อีกด้วย

ด้านการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชุมชนและสังคม (Social) โฮมโปรมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในทุกมิติ ทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย พร้อมส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียม ให้พนักงานทุกคนมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับองค์กรอย่างมั่นคง นอกจากนี้ ยังมุ่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรผ่านโครงการฝึกอบรมต่างๆ ที่ช่วยสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ โฮมโปรมุ่งยังพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ผ่านสินค้าและบริการเรื่องบ้านที่ครบวงจร  เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกมิติ

ด้านการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล (Governance) โฮมโปรได้ดำเนินธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี เน้นบริหารจัดการที่โปร่งใส เป็นธรรม และมีความรับผิดชอบ เพื่อลดความเสี่ยงจากการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยในด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน โฮมโปรได้ร่วมมือคู่ค้าที่มีจริยธรรม เพื่อให้การจัดหาสินค้ามีมาตรฐานและไม่สร้างผลกระทบต่อสังคม รวมถึงยังมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการทำงาน เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสใหม่ๆ ในตลาด อีกทั้งบริษัทยังให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

“ความสำเร็จจากการได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) และอยู่ใน Sustainability Yearbook อย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่สะท้อนความตั้งใจและความมุ่งมั่นของโฮมโปร ในการยกระดับองค์กรให้เติบโตไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล โฮมโปรจะมุ่งขับเคลื่อนแนวทาง ESG ที่ดีขึ้น ด้วยความตั้งใจจริงในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในทุกระดับขององค์กร ตามเป้าหมายสร้างสิ่งแวดล้อมดี (Better Environment), สังคมดี (Better Society) และธุรกิจดี (Better Business) เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนทุกคนให้เป็นจริงในทุกมิติของการดำเนินงาน” นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา กล่าวปิดท้าย

#DJSI #ESG #Sustainable #SustainableLiving #โฮมโปร #HomePro #HomeProESG #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #Homepropr

“สตาร์มาร์ค” ร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน Green Partners ใส่ใจคุณภาพชีวิตสร้างบ้านที่ตอบสนองอนาคตอย่างแท้จริงเพื่อโลกที่ดีกว่าเดิมกับ “แสนสิริ” บ้านที่ให้คำตอบของความยั่งยืน “Sansiri Sustainable Home Prototype 1” โครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์-สาย1

นายอรรถพล รัตนชินกร (ที่ 1 ซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง เข้าร่วมเปิดตัวบ้านต้นแบบที่มีนวัตกรรมยั่งยืนเพื่ออนาคต เลือกสรรวัสดุเพื่อสุขภาพที่ดีกว่ากับโครงการของแสนสิริ  “Sansiri Sustainable Home Prototype 1” ณ โครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์-สาย 1 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

บ้านต้นแบบนี้โดดเด่นด้วยนวัตกรรม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การออกแบบเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Health and Well-being) ช่วยให้บ้านปลอดฝุ่นและสารพิษ, การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Resource Efficiency) ด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์และระบบบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะ, นวัตกรรมบ้านเย็น (Cooliving Design) ออกแบบตามหลักธรรมชาติ และการใช้วัสดุรักษ์โลก (Green Materials) กว่า 70%

นวัตกรรมทั้งหมดนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 35% เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 14,300 ต้นต่อบ้าน 1 หลัง พร้อมช่วยผู้อยู่อาศัยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 83% สะท้อนความมุ่งมั่นของแสนสิริในฐานะบริษัทอสังหาฯ รายแรกของไทยที่ประกาศเป้าหมาย Net-Zero

สตาร์มาร์คจับมือร่วมกับแสนสิริใส่ใจคุณภาพชีวิต ยกระดับเฟอร์นิเจอร์ชุดครัว เลือกใช้วัสดุ Zero VOC ที่ไม่ปล่อยสารระเหยอันตราย ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจ ปลอดภัยต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เฟอร์นิเจอร์ชุดครัวที่มีโครงสร้างและหน้าบานไม้ E1  คือไม้ที่มีสารฟอร์มัลดีไฮต์เจือปนไม่เกิน 0.1 ppm ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นไม้ที่กลุ่มสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น กำหนดให้ใช้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ ปิดผิวหน้าบานด้วยวัสดุชนิดฟู้ดเกรด อย่าง PET – Eco Surfaces วัสดุปิดผิวที่ไร้สารโลหะหนัก รวมถึงสารก่อภูมิแพ้ แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณลักษณะที่สำคัญของวัสดุตกแต่งที่ดีนั่นคือความทนทาน ทำความสะอาดง่าย แอนตี้แบคทีเรียและรอยนิ้วมือ ทำให้บ้านจะไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นบ้านที่จัดเต็มในแนวคิดเรื่องความยั่งยืน

ท่านสามารถติดตามข่าวสารต่าง ๆ ของสตาร์มาร์ค คิทเช่น ได้ที่ www.starmark.co.th / Facebook: Starmarkkitchen/ Instagram :Starmarkkitchen หรือ Line@: @starmarkkitchen

ถิรไทย เดินเกมรับมือความท้าทาย Q1/2568 ด้วยแผนปรับพอร์ตลูกค้า บริหารต้นทุนต่อเนื่อง มั่นใจพื้นฐานแกร่ง-สภาพคล่องแข็งแรง

บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม) ด้วยรายได้จากการขายรวม 579.19 ล้านบาท โดยแม้จะเผชิญกับภาวะตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าที่มีความผันผวน รวมถึงการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้นในธุรกิจบริการ แต่บริษัทฯ ยังคงรักษากำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 46.57 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าปรับกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2568 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งยังคงเป็นสัดส่วนรายได้หลักกว่า 98% อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไว้ได้ในระดับ 23.50% ซึ่งถือว่าสะท้อนการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในสภาพตลาดที่มีการแข่งขันสูง

ขณะที่รายได้จากการบริการอยู่ที่ 31.79 ล้านบาท ลดลง 32.25% โดยเป็นผลจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรม แต่บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์เจาะตลาดลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดี และมีแนวโน้มปรับอัตรากำไรขั้นต้นจากงานบริการให้เพิ่มขึ้นในระยะถัดไป

อีกหนึ่งปัจจัยที่กระทบต่อผลประกอบการในไตรมาสนี้ มาจากรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่างานในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) ของ บมจ.ไทยออยล์ จำนวน 24.21 ล้านบาท หลังจากคู่สัญญาโครงการต่างประเทศของไทยออยล์ยกเลิกสัญญาเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ ยืนยันว่ากำลังอยู่ระหว่างดำเนินการติดตามข้อเรียกร้องตามสัญญาอย่างถึงที่สุด

ในด้านต้นทุนทางการเงิน บริษัทสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลงกว่า 41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เหลือเพียง 13.49 ล้านบาท สะท้อนความสามารถในการบริหารกระแสเงินสดและสภาพคล่องได้อย่างแข็งแกร่ง

“เรายังเชื่อมั่นในศักยภาพของธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าและบริการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในยุคที่ภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานกลับมาคึกคัก อีกทั้งเรายังมีแผนรุกตลาดใหม่ๆ และเพิ่มสัดส่วนงานที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางรายได้และสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับผู้ถือหุ้น” นายสัมพันธ์ กล่าว

บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าภาครัฐและเอกชนในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มบทบาทในโครงการพลังงานทางเลือกในภูมิภาคอาเซียน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และเสริมโครงสร้างรายได้ให้หลากหลายยิ่งขึ้นในอนาคต

JGAB 2025 ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่! ผู้ชมทะลุหมื่นจาก 84 ประเทศ ยกระดับเวทีอัญมณีอาเซียนสู่สายตาโลก

งาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2025 (JGAB 2025) เพิ่งปิดฉากลงไปอย่างสมบูรณ์แบบ โดยในปีนี้สามารถดึงดูดผู้ร่วมงานจากทั่วโลกกว่า 10,663 คน จาก 84 ประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการไทยถึง 52% พร้อมกับผู้จัดแสดงสินค้าชั้นนำกว่า 350 ราย จาก 15 ประเทศทั่วโลก นับเป็นความสำเร็จที่ต่อยอดจากปีก่อนหน้า ตอกย้ำบทบาทของงานในฐานะแพลตฟอร์มสำคัญระดับภูมิภาคสำหรับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้ JGAB ได้สร้างสีสันและความน่าสนใจให้กับวงการอัญมณีอาเซียน ด้วยกิจกรรมและโซนจัดแสดงสุดพิเศษ โดยหนึ่งในจุดเด่นของงานคือ “The ASEAN’s Masterpieces Gallery” ที่รวบรวมผลงานเครื่องประดับอันทรงคุณค่าจากประเทศสมาชิกอาเซียน สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น

ขณะเดียวกัน “The Gallery of Thai Silver” ได้โชว์เทรนด์เครื่องประดับเงินไทยแห่งอนาคต ผ่าน 5 คอนเซ็ปต์เด่น ได้แก่ Futuristic, Preservation, Dystopian Beauty, Toys Story และ H-Generation ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญคือการประกวด “The Next Gem Contest 2025” ที่เปิดเวทีให้นักออกแบบรุ่นใหม่จากไทยได้โชว์ศักยภาพภายใต้ธีม “Boundless Creativity” โดยผลงานที่เข้าประกวดสะท้อนถึงจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด และการผสมผสานเอกลักษณ์ไทยเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัยได้อย่างลงตัว

ด้านกิจกรรมสัมมนาและเวิร์กชอปภายในงานได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการประชุมระดับภูมิภาค “ASEAN Jewellery and Gem Summit 2025” ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายธุรกิจข้ามพรมแดน และเปิดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจากหลากหลายประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเสริมองค์ความรู้ในหลากหลายหัวข้อ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ตลาดโลก กลยุทธ์การขยายธุรกิจ และเทคนิคการตรวจสอบคุณภาพอัญมณี ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ นักออกแบบ และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ

และงาน JGAB 2025 ปีนี้สามารถดึงดูดผู้ร่วมงานรวม 10,663 คน จาก 15 ประเทศทั่วโลก พร้อมผู้จัดแสดงสินค้าชั้นนำ 350 ราย จาก 15 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการไทยถึง 52% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องประดับอาเซียน และจากการวิเคราะห์ผู้เข้าร่วมงาน พบว่ากว่า 52%  เป็นผู้บริหารระดับสูงและเจ้าของกิจการ ขณะที่อีก 35% เป็นผู้จัดจำหน่าย นักออกแบบเครื่องประดับและ นักอัญมณี โดยผู้ซื้อจากต่างประเทศที่เดินทางมาร่วมงานมากที่สุด ได้แก่ จีน อินเดีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้เล่นในอุตสาหกรรมจากทั่วโลกต่อศักยภาพของภูมิภาคอาเซียน

นายสรรชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความสำเร็จของ JGAB 2025 สะท้อนถึงบทบาทที่แข็งแกร่งของงานในฐานะแพลตฟอร์มการค้าและเครือข่ายระดับภูมิภาค ที่เชื่อมโยงผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย และผู้ผลิตจากทั่วโลกเข้าด้วยกัน ปีนี้ งานไม่ได้เป็นเพียงแค่งานแสดงสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็น ‘มหกรรมแห่งโอกาส’ ที่เปิดเวทีให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การเจรจาธุรกิจ และความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างคึกคัก”

“การตอบรับจากผู้เข้าร่วมงานทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนผู้มีบทบาทในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิภาคอาเซียนในฐานะศูนย์กลางตลาดเครื่องประดับระดับโลกที่น่าจับตามอง”

ความสำเร็จในปีนี้ยังเน้นย้ำถึง ศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางธุรกิจเครื่องประดับ ที่สามารถผสมผสานเอกลักษณ์ท้องถิ่นเข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งผ่านผลงานใน The Gallery of Thai Silver และความสร้างสรรค์ของนักออกแบบรุ่นใหม่ใน The Next Gem Contest 2025 ที่สำคัญ คลังความรู้จากเวิร์ก  ชอปและสัมมนาต่างๆ ได้ปูทางให้ผู้ประกอบการเห็น เทรนด์อนาคตและช่องทางขยายธุรกิจ โดยเฉพาะโอกาสจากตลาดจีนและเมืองรอง ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในปีต่อๆ ไป

ด้วยความสำเร็จนี้ JGAB 2026 จึงน่าจับตามองยิ่งขึ้น เพราะไม่เพียงต่อยอดจากปีก่อน แต่ยังอาจเป็นเวทีที่เปิดศักราชใหม่ให้วงการอัญมณีอาเซียนก้าวขึ้นสู่การเป็น “ตลาดระดับท็อปของโลก” อย่างเต็มตัว

สำหรับผู้ที่พลาดงานปีนี้ สามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้เลย เพราะ Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2026 จะกลับมาอีกครั้งในวันที่ 22-25 เมษายน 2569 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพฯ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  www.jewellerygemaseanbkk.com

“เส้นหมี่ไวไว” ร่วมบ่มเพาะต้นกล้าธรรมะ สนับสนุนโครงการ “สามเณรปลูกปัญญาธรรม ปีที่ 11” ภายใต้แนวคิด “กตัญญูคู่ความดี”

บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “เส้นหมี่อบแห้งไวไว” เหนียวนุ่มไม่ขาดตอน นำโดย คุณณิชรัตน์ ชำนาญกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด พร้อมคณะผู้บริหารและทีมงาน ร่วมสนับสนุน “โครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรม ปีที่ 11” อย่างต่อเนื่อง ด้วยความศรัทธาในพลังของธรรมะที่สามารถหล่อหลอมจิตใจเยาวชนไทยให้เติบโตอย่างงดงามจากภายใน คุณณิชรัตน์ ชำนาญกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด เผยว่า เส้นหมี่ไวไวรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีส่วนร่วมกับโครงการแห่งคุณค่านี้ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยปีนี้ภายใต้แนวคิด “กตัญญูคู่ความดี” ซึ่งมุ่งเน้นปลูกฝังความสำนึกในพระคุณ และการดำรงตนอยู่บนเส้นทางแห่งความดีงาม เป็นการปูพื้นฐานที่มั่นคงให้กับเยาวชนทั้ง 12 รูป ที่เข้าร่วมพิธีบรรพชาเมื่อวันที่ 20 เมษายน ณ สถานปฏิบัติธรรมธวีธรรม ไร่แสงงาม จ.นครราชสีมา โดยมี ศาสตราจารย์ ดร. พระพรหมบัณฑิต เมตตาเป็นพระอุปัชฌาย์

โดย “เส้นหมี่ไวไว” ร่วมกิจกรรมอย่างอบอุ่นตลอดช่วงเวลา 4 สัปดาห์ของโครงการ ด้วยการตั้งบูธกิจกรรมและจัดเมนู “เส้นหมี่อบแห้งไฟเบอร์คลุกไก่ฉีก” พร้อมแจกกิ๊ฟเซ็ตเส้นหมี่ไฟเบอร์สูงในงานแถลงข่าวเปิดตัวสามเณรทั้ง 12 รูป รวมถึงร่วมกิจกรรมตักบาตรด้วยการมอบชุดใส่บาตร และในวันลาสิกขา 18 พฤษภาคม ณ ศาลาธรรม จังหวัดนครราชสีมา นอกจากนี้เส้นหมี่ไวไวยังคงเคียงข้างโครงการด้วยการตั้งบูธแจกเส้นหมี่ไวไวคัพรสปรุงสำเร็จ ให้กับผู้ร่วมงานเป็นของที่ระลึกส่งท้าย

สำหรับในพิธีลาสิกขาได้รับเกียรติจากพระอาจารย์ใหญ่ พระพรหมบัณฑิต ศ.ดร. พร้อมแขกผู้มีเกียรติระดับประเทศ อาทิ คุณธนินท์ เจียรวนนท์, คุณศุภชัย เจียรวนนท์ และ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ร่วมแสดงความชื่นชมเยาวชนผู้ผ่านการเรียนรู้และฝึกฝนธรรมะตลอดหนึ่งเดือนอย่างเต็มภาคภูมิ

คุณณิชรัตน์ กล่าวปิดท้ายว่า เส้นหมี่ไวไวเชื่อว่า ธรรมะไม่เพียงเป็นที่พึ่งทางใจ หากยังเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนา “คน” ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีเมตตา มีสติ และมีจิตสาธารณะ พร้อมขับเคลื่อนสังคมไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน “เราเชื่อในพลังของการให้…และศรัทธาในคุณค่าของธรรมะ เส้นหมี่ไวไวขอยืนยันเจตนารมณ์ที่จะเคียงข้างกิจกรรมดีๆ เพื่อจุดประกายแสงแห่งปัญญาให้สังคมไทยต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง”

โครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรมถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อเยาวชนและพุทธศาสนิกชนไทย เส้นหมี่ไวไวในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมส่งเสริมการเรียนรู้ธรรมะผ่านกิจกรรมดี ๆ เพื่อสร้างรากฐานจิตใจที่มั่นคงให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต พร้อมยืนยันเจตนารมณ์ที่จะเดินหน้าเคียงข้างโครงการดีๆ ของสังคมไทย อย่างต่อเนื่อง เพื่อจุดประกายแสงแห่งปัญญาและคุณค่าทางใจให้คงอยู่ต่อไป

“Burapa Prosper” พลิกเกมแป้งไทยสู่เวทีโลก สร้างจุดขายใหม่ ‘Next-Level Texture’ ปูพรมบุกอินเดีย-ตะวันออกกลาง พร้อมปั้นแบรนด์ “หมีคู่ดาว-หมีกินเล่น” ครองใจทุกเจเนอเรชันในไทย

“Burapa Prosper” พลิกเกมแป้งไทยสู่เวทีโลก สร้างจุดขายใหม่ ‘Next-Level Texture’

ปูพรมบุกอินเดีย-ตะวันออกกลาง  พร้อมปั้นแบรนด์ “หมีคู่ดาว-หมีกินเล่น” ครองใจทุกเจเนอเรชันในไทย

ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ทั่วโลก ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการที่สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ออนไลน์เกี่ยวกับอาหารได้จากทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งมีประสบการณ์ตรงในการลิ้มรสอาหารและขนมที่หลากหลายจากการเดินทางไปต่างประเทศ จึงมองหาความแปลกใหม่ในการบริโภคอาหารมากเป็นพิเศษ บริษัท บูรพา พรอสเพอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแป้งข้าวภายใต้แบรนด์ “Burapa Prosper” (บูรพา พรอสเพอร์) และ “หมีคู่ดาว” พลิกเกมแป้งไทยสู่เวทีโลก ด้วยยุทธศาสตร์ใหม่ ‘Next-Level Texture’ เป็นผู้นำด้านการส่งมอบ “เนื้อสัมผัส” ที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์  พร้อมปั้นแบรนด์ “หมีคู่ดาว”แป้งผสมสำเร็จรูป และ “หมีกินเล่น” อาหารทานเล่นแช่แข็งที่มีเอกลักษณ์ด้านเนื้อสัมผัส เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่ ที่ไม่เพียงแค่อร่อยแต่ยังสัมผัสสนุกให้ครองใจทุกเจเนอเรชัน ตั้งเป้ารายได้แตะ 900 ล้านบาทในปี 2568 เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่ โดยมีเป้าหมายหลักในการต่อยอดจากแป้งพื้นฐาน สู่แป้งผสมสำเร็จรูป พร้อมยกระดับความยั่งยืนในทุกมิติของธุรกิจภายใน 3-5 ปี

นางสาวสถาพร ไพศาลบูรพา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูรพา พรอสเพอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัท บูรพา พรอสเพอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแป้งข้าวชั้นนำของประเทศไทย ผู้สร้างสรรค์ แบรนด์ Burapa Prosper” (บูรพา พรอสเพอร์) และ หมีคู่ดาว” ที่อยู่คู่ครัวไทยมากกว่า 49 ปี และส่งออกสู่ตลาดโลกกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยปัจจุบันบริษัทมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทพัฒนาเอง เช่น แป้งข้าวคุณภาพสูง แป้งชุบทอด เกล็ดขนมปังสูตรพิเศษ แป้งผสมสตรีทฟู้ด แป้งโมจิ และเม็ดสาคูเกรดส่งออก และ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาตามสูตรเฉพาะของลูกค้า เช่น แป้งฟิชแอนด์ชิป แป้งลอดช่อง แป้งทองม้วน และแป้งเบเกอรี่กลูเตนฟรี ซึ่งสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งตลาด B2B และ B2C อย่างครอบคลุม

โดยแบรนด์ Burapa Prosper” ถูกวางตำแหน่งเป็นทั้ง Corporate และ Product Brand ที่เน้นคุณภาพและนวัตกรรม เจาะตลาด B2B เป็นหลัก ขณะที่แบรนด์ “หมีคู่ดาว” พัฒนาเพื่อกลุ่ม B2C ที่เน้นความคุ้มค่าและรสสัมผัสที่โดนใจผู้บริโภค โดยทั้งสองแบรนด์ทำงานประสานกัน ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

จุดแข็งของ Burapa Prosper คือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านข้าวและแป้งมายาวนานกว่า 49 ปี ผนวกกับระบบการผลิตและควบคุมคุณภาพระดับสากล และทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปิดกว้างต่อเทรนด์อาหารจากทั่วโลก เช่น แป้งชุบทอดที่มีทั้งสูตรกรอบเบา กรอบฟู กรอบนาน หรือแป้งโมจิที่มีหลากหลายสัมผัส ทั้งนุ่มหนึบ นุ่มนิ่ม         ไปจนถึงนุ่มยืด สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเบเกอรี่ ไอศกรีม หรือของว่างได้อย่างลงตัว

นางสาวสถาพร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจุดเด่นด้านเนื้อสัมผัสแล้ว Burapa Prosper ยังจับเทรนด์ Urbanization ที่ส่งผลให้ตลาดอาหารพร้อมปรุงเติบโตต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “หมีกินเล่น” ที่มีคอนเซ็ปต์ “ทำกินเองง่าย ทำขายกำไรดี” เพื่อเจาะตลาดผู้บริโภคครัวเรือนและกลุ่ม Horeca อีกทั้งยังลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์จากน้ำซาวข้าว เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสร้างมูลค่าเพิ่มจากวิตามินบีธรรมชาติ ภายใต้ธีม Next-Level Texture” ซึ่งถูกนำเสนอในงาน THAIFEX – Anuga Asia ปีนี้

บริษัทได้โชว์นวัตกรรมอย่าง Mochi Pillow Nugget หรือไก่ทอดทรงหมอนที่ด้านนอกกรอบพองเบา ภายในมีไส้โมจิรสชีสยืดหนึบ เป็นการรวมสัมผัสกรอบและหนึบไว้ในคำเดียว สะท้อนการยกระดับประสบการณ์การบริโภคได้อย่างลงตัว กลุ่มผลิตภัณฑ์เด่นอื่น ๆ ได้แก่

  • “Mochi Solution” ที่ออกแบบสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการสร้างความพรีเมียม เช่น โมจิไอศกรีมหรือทาร์ตมัทฉะใส่โมจิ
  • “Fried Food Coating” ที่ให้ความกรอบยาวนาน เหมาะกับผู้ประกอบการ QSR และฟู้ด         เดลิเวอรี่รวมถึงแป้งสูตรไมโครเวฟที่ยังคงความกรอบแม้ผ่านการอุ่น

ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ปัจจุบัน Burapa Prosper ครอบคลุมทั้งค้าส่ง โมเดิร์นเทรด Horeca และออนไลน์ โดยช่องทาง Horeca เติบโตเร็วที่สุดจากการมีทีมขายเฉพาะ ในปีนี้บริษัทจะเร่งเพิ่มยอดขายผ่าน     อีคอมเมิร์ซ ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านดิจิทัลคอนเทนต์และอินฟลูเอนเซอร์ โดยเฉพาะวิดีโอรีวิวการใช้งานจริงซึ่งให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

นางสาวสถาพร กล่าวปิดท้ายว่า ในปี 2025 บริษัทมีแผนเปิดตัวมาสคอต “จันจัน” และ “นั่วนั่ว” จากแบรนด์หมีคู่ดาว เพื่อสร้างภาพลักษณ์ Modern Thai Identity ให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภครุ่นใหม่ พร้อมขับเคลื่อนแบรนด์ Burapa Prosper ในฐานะผู้นำด้าน “Next-Level Texture” ที่ส่งมอบโซลูชันเนื้อสัมผัสใหม่ ๆ แก่อุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก

สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้ยังคงเป็นแป้งข้าวคุณภาพสูงและเม็ดสาคูเกรดส่งออกที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืน ขณะที่ผลิตภัณฑ์ดาวรุ่งอย่างแป้งชุบทอดหมีคู่ดาว ซึ่งกรอบนานถึง 4 ชั่วโมง และลดการอมน้ำมันได้ถึง 40% ก็ได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยม รายได้ของบริษัทมาจากตลาดในประเทศและต่างประเทศในสัดส่วน 50:50 ซึ่งตั้งใจจะรักษาสมดุลนี้ไว้ พร้อมผลักดันรายได้รวม 900 ล้านบาทภายในปีนี้  โดยส่วนสำคัญหนึ่งจะมาจากยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มแป้งผสมและอาหารแช่แข็งที่เป็นไฮไลต์ของปีนี้ 100 ล้านบาท

Burapa Prosper ปัจจุบันส่งออกไปกว่า 40 ประเทศทั่วโลก พร้อมวางแผนรุกตลาดใหม่ ได้แก่ อินเดียและตะวันออกกลาง โดยมีแผนขยายกำลังการผลิตแป้งผสม จับมือกับพันธมิตรผู้ผลิตอาหารแช่แข็งที่ได้มาตรฐาน และติดตามกฎระเบียบการส่งออกอย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน พร้อมพิสูจน์ว่า “แป้ง” ไม่ใช่แค่ส่วนประกอบอาหารธรรมดา แต่คือศิลปะแห่ง “เนื้อสัมผัส”       ที่สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค และยกระดับแบรนด์อาหารไทยสู่เวทีโลกอย่างมั่นคง

ติดตามรายละเอียดผลิตภัณฑ์ “หมีคู่ดาว” ได้ที่

เว็บไซต์ :  https://burapaprosper.com

Face Book : facebook.com/DoubleBearBrand

Tel : +66-38 391 503

โฮมโปร จับมือ “โตชิบา” เปิดตัวเครื่องซักผ้ารักษ์โลกจากวัสดุหมุนเวียน

นางสาวสมใจ มธุรพร  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดซื้อสินค้า Home Electric บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร พร้อมด้วย มร.อเล็กซ์ มา รองประธาน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด  เปิดตัว “เครื่องซักผ้ารักษ์โลก จากวัสดุหมุนเวียน” ด้วยเครื่องซักผ้าฝาบน รุ่น “AW-DUM1600LT(SG) PCR” ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมการผสานวัสดุรีไซเคิลรักษ์โลกและเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นไว้ในหนึ่งเดียว มอบประสิทธิภาพการทำงานที่สะดวกสบาย ทนทานตามเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่น ประหยัดน้ำและพลังงาน สู่มิติใหม่ “เปลี่ยนทุกการซัก ให้รักษ์โลก” ตอบโจทย์ผู้บริโภค ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมช่วยลดการเกิดขยะอย่างยั่งยืน

REMY เปิดตัว 2 นวัตกรรมใหม่! พร้อมดึง “ณฐ ณฐสิชณ์” นั่งแท่นแอมบาสเดอร์คนแรก เอาใจสายรักสัตว์รุ่นใหม่

นางสาวสุดาทิพ เกียรติศรีชาติ กรรมการ กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด เปิดตัว REMY (เรมี่) แบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมจากความร่วมมือระหว่าง กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด (PFG – Pataya Food Group) และโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ พร้อมเปิดตัวแอมบาสเดอร์คนแรกของแบรนด์ “ณฐ ณฐสิชณ์ เอื้อเอกสิชฌ์” นักแสดงและอินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพ ขวัญใจคนรักสัตว์ และเปิดตัว 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ตอบโจทย์ผู้เลี้ยงสัตว์ยุคใหม่ที่ใส่ใจทั้งสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเพื่อนรักสี่ขา โดยมี น.สพ.กรธัช สมบุญธรรม,จนนี่ ปาหนัน ร่วมงานด้วย ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันก่อน