สคส. หารือ กระทรวงมหาดไทย ขับเคลื่อนความร่วมมือระดับชาติยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) นำโดย พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง เข้าพบ นายสันติธร  ยิ้มละมัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ณ ห้องประชุมดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนระบบการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรม ทันสมัย และทัดเทียมมาตรฐานสากล

พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล  (สคส.) เปิดเผยว่า การหารือกับกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ โดย สคส. ได้กำหนดแนวทางดำเนินงานที่ครอบคลุม 4 มิติหลัก ได้แก่

1. การเสริมสร้างความตระหนักรู้และมาตรฐาน
2. การกำกับดูแลและจัดการเหตุการละเมิด
3. การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี
4. การยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก

ในด้านการเสริมสร้างความตระหนักรู้ สคส. เตรียมได้พัฒนาหลักสูตรอบรมเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ให้กับกระทรวงมหาดไทย เพื่อขยายองค์ความรู้สู่ระดับจังหวัด รวมถึงยกระดับแนวปฏิบัติและมาตรฐานต่าง ๆ

ขณะที่ด้านการกำกับดูแลและจัดการเหตุการณ์ละเมิดข้อมูล สคส. ได้วางแนวทางการตรวจสอบที่ครอบคลุม 10 ด้าน ตามกฎหมาย PDPA พร้อมพัฒนาระบบเฝ้าระวังและการจัดการเหตุการณ์ละเมิดอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังเหตุการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง (Eagle Eye) และการขยายเครือข่ายเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) เชื่อมโยงกับระบบ GPPC เพื่อเตรียมความพร้อมขององค์กรอย่างรัดกุม นอกจากนี้ ยังพัฒนาแนวทางการทำ Data Marking เพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น หมายเลขบัตรประชาชน

ด้านการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี สคส. มุ่งส่งเสริมระบบ Smart PDPA และการพัฒนาบัตรประชาชนรุ่นใหม่ที่ไม่แสดงเลขบัตร เพื่อลดความเสี่ยงในการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล และยังเน้นย้ำการยกระดับประเทศในเวทีโลก โดยเฉพาะด้านการจัดอันดับของ IMD (International Institute for Management Development) ซึ่ง สคส. ได้เสนอให้เพิ่มเกณฑ์ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในการประเมิน เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นจากนานาชาติ

พ.ต.อ. สุรพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “การหารือร่วมกันในวันนี้คือก้าวแรกที่สำคัญของการทำงานแบบบูรณาการระหว่าง สคส. และกระทรวงมหาดไทย ที่จะช่วยให้ระบบการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทยมีความชัดเจน เข้มแข็ง และยั่งยืนในระยะยาว”

สำหรับประชาชนที่พบเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล สามารถติดต่อ

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)

โทร. 02-111-8800 หรืออีเมล: saraban@pdpc.or.th

“อสังหาฯไม่ติดมือ! LOAN DD โชว์ฟอร์มแรง ดึงนักลงทุน-เอเจนท์ สร้างเครือข่ายเงินทุน ปลอดภัย ได้ผลตอบแทนมั่นคง”

“โลนด์ ดีดี” (LOAN DD) ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจขายฝาก-จำนอง อสังหาฯ ปลื้ม ลูกค้าให้การตอบรับล้นหลาม ยอดติดต่อมากกว่า 200-300 รายต่อวัน เผยนักลงทุนพร้อมเติมเงินลงทุนไตรมาสแรกกว่า 300 ล้านบาท ชี้ ที่อยู่อาศัย ราคา 2-3 ล้านบาท ใช้บริการเยอะ ใช้เงินรันธุรกิจ เต็มวงเงินกับแบงก์ ลดหนี้นอกระบบ เดินหน้าสร้างเครือข่ายเอเจนท์ และ นักลงทุน ผ่านการจัดสัมมนา ตลอดทั้งปี ดึงทรัพย์เข้าสู่ธุรกิจ เพิ่มโอกาสการลงทุนใหม่ ปลอดภัย ได้ผลตอบแทนที่มั่นคง ทรัพย์ไม่ติดมือ

“อสังหาริมทรัพย์” หนึ่งในสี่ปัจจัยในการดำรงชีวิตของมนุษย์ และยังเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความมั่นคงทางจิตใจ การสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัว เป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้ รองรับการทำธุรกรรมจำเป็นในอนาคตได้อย่างปลอดภัย ซึ่งในปัจจุบัน ผู้ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน การนำอสังหาริมทรัพย์ และ ไม่ว่าจะเป็น โฉนดที่ดิน บ้าน คอนโดมิเนียม  อพาร์ตเมนต์ อาคารพาณิชย์ โกดัง โรงแรม มาใช้บริการกับบริษัทที่ทำธุรกิจรับจำนองและขายฝากเพิ่มมากขึ้น ยิ่งในภาวะการขอสินเชื่อกับธนาคาร หรือ สถาบันการเงิน ค่อนข้างจำกัดมากขึ้น 

นางสาวฐิติยา อัศวจินดาวัฒน์ นักธุรกิจที่มีประสบการณ์ด้านการตลาดมายาวนาน ในฐานะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด (CMO) บริษัท โลนด์ ดีดี จำกัด (LOAN DD) ซึ่งดำเนินธุรกิจตัวกลางแบบครบวงจรสำหรับการ “ขายฝาก-จำนอง” อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เปิดเผยถึงแผนขยายการให้บริการของ LOAN DD ว่า ตั้งแต่เปิดดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2568 ที่ผ่านมา ลูกค้าให้การตอบรับ มีภาพจำและมีลูกหนี้หรือผู้ต้องการเงินกู้เข้าถึงบริการของ LOAN DD เพิ่มมากขึ้น โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีเจ้าของทรัพย์ แสดงความสนใจติดต่อสอบถามเข้ามาต่อวันมากกว่า 200-300 ราย แต่เรามีการพิจารณาทรัพย์ที่ต้องเข้าหลักเกณฑ์ มีความเป็นไปได้ อย่างโปร่งใส ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์  เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่มั่นคง ไม่สูญเงินต้น  มีความมั่นใจในการเสริมสภาพคล่องให้กับเจ้าของทรัพย์ รวมแล้วไม่ต่ำกว่า  300 ล้านบาท

และเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและการบริการที่กว้างมากขึ้น กลยุทธ์ทางการตลาดที่ต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง คือ 1.การเฟ้นหาพันธมิตรทางด้านไฟแนนซ์ มาร่วมลงทุน มีทุนในการรองรับปล่อยเงินกู้ได้โดยตรง 2.การสร้างเครือข่ายกับตัวแทนขาย (Agent) ให้มากขึ้น เพื่อหาทรัพย์นำส่งให้กับบริษัทฯ เป็นผลดีให้มีพอร์ตรายการทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้น ขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินได้มากขึ้น  และ 3.เมื่อมี ‘ทรัพย์’ แล้ว การสร้างเครือข่าย ‘นักลงทุน’ ซึ่งจะเป็นประตูที่สำคัญในการเชื่อมโยงให้กับเจ้าของทรัพย์ ปัจจุบัน เรามีเครือข่ายนักลงทุนในระบบประมาณ 100 ราย ที่ทำธุรกรรมสม่ำเสมอมีประมาณกว่า 40-50 ราย ส่วนใหญ่จะแสดงความสนใจทรัพย์ราคาไม่สูง เช่น 2-3 ล้านบาท บางรายทำธุรกรรมกับเราแล้วรวมสูงถึง 50 ล้านบาทก็มี  

โดยตลอดทั้งปี  ทาง LOAN DD จะมีการจัดสัมมนาทั้งในส่วนของ Agent และ นักลงทุน เพื่อให้โอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินและการเพิ่มช่องทางลงทุนใหม่ ๆ ให้กับนักลงทุน  การปรับพอร์ตจากตลาดหุ้น มาสู่การลงทุนในด้านจำนองและขายฝาก  ล่าสุด ได้มีการจัดสัมมนาสร้างความเข้าใจกับ  Agent  ในหัวข้อ “Smart Agent นายหน้ายุคใหม่ ติดใจ LOAN DD” เมื่อวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีนายหน้าเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก  และในเดือนถัดไป จะเป็นส่วนของ ‘นักลงทุน’ 

จุดเด่นของ LOAN DD ในการเข้าถึงและตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน ไม่มีการเช็กเครดิตบูโร ไม่เช็กประวัติการเดินบัญชี ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.75% ต่อเดือน หรือ 9% ต่อปีเท่านั้น ถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน ทำธุรกรรม ณ สำนักงานที่ดินเท่านั้น มั่นใจ ปลอดภัย 100% มีทีมงานมืออาชีพช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกตลอดอายุสัญญา สัญญาเบื้องต้น 1 ปี หากไถ่ถอนไม่ได้ ก็สามารถต่อสัญญาได้
ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.75% ต่อเดือน หรือ 9% ต่อปีเท่านั้น สูงสุดไม่เกิน 15% ต่อปี ราคารับขายฝากจะอยู่ที่ 50% ของราคาประเมิน เป็นการลดความเสี่ยงเพราะมีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่คุ้มค่า และหากไม่มีการไถ่ถอนคืนก็ยังสามารถปล่อยทรัพย์ได้ในราคาที่สูงกว่าราคารับฝากขาย โดยการอนุมัติรวดเร็ว ได้รับเงินภายใน 2-3 วันเท่านั้น หากเอกสารพร้อมและทรัพย์เป็นไปตามหลักเกณฑ์ สัญญาการขายฝาก

นางสาวฐิติยา กล่าวย้ำว่า เราซื่อตรงกับลูกค้าและนักลงทุน เรามีการจับมือกับ Advance Appraisal ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินทรัพย์สิน ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มาประเมินราคาทรัพย์สินอย่างเป็นธรรม เป็นการสร้างระบบที่ยังยืน มีการคัดทรัพย์เข้าสู่ระบบ เพื่อป้องกันนักลงทุนติดมือ และเราไม่ต้องการยึดทรัพย์ จะมีการติดตามเจ้าของทรัพย์เดิมก่อนครบกำหนดไถ่ถอน จะมีความสามารถในการชำระหรือจะมีการต่อสัญญาออกไป ซึ่งจะเป็นตรวจสภาพของลูกหนี้ เพื่อสื่อสารไปถึงนักลงทุน และแม้ในแวดวงธุรกิจจะมีคนทำเยอะ แต่ LOAN DD อยากพิสูจน์ เราจะเติบโตไปด้วยกัน

สำหรับแนวโน้มของทรัพย์ที่เข้ามา มีความหลากหลาย แต่ที่เห็นเด่นจะเป็นประเภทที่อยู่อาศัย ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ที่ส่วนมากจะเป็นบ้านในโครงการบ้านจัดสรรของบริษัทมหาชน ประเภทนี้ จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เพราะเป็นโครงการที่น่าเชื่อถือ ซึ่งผู้ที่มาใช้บริการมีความจำเป็นที่แตกต่างกัน เช่น รายย่อยอาจทำธุรกิจ ต้องการเงินสภาพคล่อง  หรือ วงเงินขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินเต็มเพดาน บางรายไปติดหนี้นอกระบบ เป็นต้น

โฮมโปร รุกตลาดบ้านปี 68 ปรับโฉมสาขา “หัวหิน มาร์เก็ตวิลเลจ” ยกระดับ “แลนมาร์กเรื่องบ้าน” ใจกลางมหานครริมทะเลระดับไฮเอนด์

โฮมโปร เดินหน้ายกระดับประสบการณ์ชอปสินค้าและบริการเรื่องบ้าน ล่าสุดเดินหน้าปรับโฉม สาขา “หัวหิน มาร์เก็ตวิลเลจ” สู่ “แลนด์มาร์กเรื่องบ้าน” ใจกลาง “เมืองหัวหิน” มหานครริมทะเลระดับไฮเอนด์เพื่อสร้างชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ครบทุกความต้องการ สะท้อนรูปแบบไลฟ์สไตล์ทันสมัย เข้าถึงง่าย สะดวกสบาย ชูจุดเด่นด้วยโซลูชันสินค้าและบริการที่ครบครัน ภายใต้แนวคิดการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ดีมานด์ลูกค้าในพื้นที่และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร เผยว่า “โฮมโปร หัวหิน มาร์เก็ตวิลเลจ” เป็นสาขาที่ให้บริการลูกค้าในหัวหิน รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มองหาสินค้าและบริการเรื่องบ้านแบบครบวงจร ซึ่งในปี 2568 นี้ ท่ามกลางการเติบโตของเมืองหัวหินทั้งในมิติของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้านแนวราบ บ้านพักตากอากาศ
จนถึงโครงการคอนโดมิเนียมระดับกลางถึงบนที่ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อย่างรถไฟทางคู่และถนนเลียบชายฝั่ง และการส่งเสริมจากภาครัฐให้หัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยวพิเศษระดับประเทศ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิด ‘ดีมานด์รูปแบบใหม่’ ที่ผู้บริโภคจะไม่เพียงมองหาเฟอร์นิเจอร์หรือของแต่งบ้านทั่วไป
แต่ต้องการโซลูชันที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต รวมถึงสินค้าที่ตอบโจทย์กับแนวคิดการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

โฮมโปร จึงได้นำเอาความต้องการเหล่านี้มาพัฒนาเป็นโจทย์เพื่อยกระดับสาขาในทุกมิติ ทั้งรูปลักษณ์ที่มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น การจัดวางสินค้าในรูปแบบ MODERN STYLE ที่ผสานความอบอุ่นของไม้ในโทนสีเรียบสบายตา, แทรกส่วนของ GRAPHIC KNOWLEDGE ช่วยเพิ่มความเข้าใจในฟังก์ชันใช้งาน และระบบ E-CATALOGUE ที่ช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ทำให้การเลือกซื้อสินค้าเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ ยังเสริมบริการ HOME SERVICE ที่ครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง ไปจนถึงดูแลหลังการขายโดยทีมงานมืออาชีพที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าในพื้นที่อย่างแท้จริง และขยายบทบาทให้โฮมโปร สาขาหัวหิน มาร์เก็ตวิลเลจ กลายเป็น “แลนด์มาร์กเรื่องบ้าน” ของเมืองหัวหิน ที่ตอบสนองชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของลูกค้าได้ครบทุกความต้องการ

นอกเหนือจากนี้ โฮมโปร หัวหิน มาร์เก็ตวิลเลจ ยังเชื่อมต่อทุกบริการเข้ากับช่องทาง OMNICHANNEL บนแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงบริการจัดส่งถึงบ้านภายในวันเดียว เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อแม้ไม่ได้มาใช้บริการที่สาขาโดยตรง ตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความสะดวกในยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัว พร้อมตอบโจทย์การยกระดับการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นของลูกค้าได้อย่างแท้จริง นายวีรพันธ์ กล่าวสรุป

#โฮมโปรหัวหินมาร์เก็ตวิลเลจ #ใจกลางมหานครริมทะเลระดับไฮเอนด์ #หัวหิน #โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #Homepropr

Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok Isan Roadshow จัดสัมมนากลยุทธ์ธุรกิจสุขภาพ และความงามเปิดเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เสริมพลังอุตสาหกรรมความงามภาคอีสาน สู่เวทีระดับอาเซียน

สภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย เปิดเวทีสัมมนา “กลยุทธ์ธุรกิจสุขภาพและความงาม” ภายใต้โครงการ Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok Isan Roadshow เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และสนับสนุนผู้ประกอบการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เตรียมความพร้อมสู่ตลาดความงามระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยได้รับเกียรติจาก
นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย  เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมกล่าวถึงความตั้งใจของการจัดกิจกรรม Roadshow ครั้งนี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นศักยภาพผู้ประกอบการไทยในภูมิภาคให้สามารถแข่งขันในเวทีสากลได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ยังได้รับเกียรติจาก ดร. ทวีสันต์ วิชัยวงษ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “โอกาสและการเติบโตของอุตสาหกรรมความงามและสุขภาพในภาคอีสาน”

นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาในหัวข้อ “ความท้าทายของอุตสาหกรรมนวัตกรรมความงามและสุขภาพกับการปรับตัวของผู้ประกอบการในภาคอีสาน” โดยผู้ร่วมเสวนา ได้แก่

  • คุณภัทรเมธี พรหมพิทักษ์ ประธานกรรมการ บริษัท คลาสคลินิก เวชกรรม คลินิก จำกัด
  • ดร.วาสนา อินทะแสง
  • ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีโว่เมด กรุ๊ป จำกัด
  • คุณทิพวัลย์ เกตุบรรจง ประธานชมรมสปาและนวดเพื่อสุขภาพ จังหวัดขอนแก่น
    ดำเนินรายการโดย ดร.จินณพัษ โดมินิค รองผู้อำนวยการ ศูนย์การท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิก คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ทั้งนี้ ดร.ทวีสันต์ วิชัยวงษ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น กล่าวปาฐกถาพิเศษชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามในระดับประเทศ โดยข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ระบุว่า อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งครอบคลุมกลุ่มอาหารเสริม ยา สมุนไพร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์
และเทคโนโลยีชีวภาพ มีมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของ GDP ประเทศไทย

ดร.ทวีสันต์ ยังเน้นถึง นโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ (Health Economy) ของภาคอุตสาหกรรมไทย ผ่านการยกระดับการผลิต การวิจัยและนวัตกรรม รวมถึงการจัดตั้ง “คลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม” เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ และส่งเสริมให้เกิด ระบบนิเวศธุรกิจสุขภาพที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับโลก

ภาคอีสาน: ตลาดใหม่แห่งโอกาสของอุตสาหกรรมความงามไทย

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ
โดยข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า เศรษฐกิจของภาคอีสานในปี 2566 เติบโต 3.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ โดยจังหวัดขอนแก่นมีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางการแพทย์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมแปรรูปสุขภาพ

ตลาดความงามในภาคอีสานเติบโตต่อเนื่อง สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพ
ความงาม และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก โดยเฉพาะในกลุ่มคลินิกเวชกรรมความงาม สปา ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร
และเครื่องสำอาง Clean Beauty ที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น เช่น ข้าวหอมมะลิไทย มะขาม สารสกัดสมุนไพร ซึ่งตอบโจทย์ตลาดสุขภาพยุคใหม่ได้อย่างดีเยี่ยม

นายธัชพล วงษ์รักษา รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารโครงการ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 เป็นงานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับนานาชาติครั้งยิ่งใหญ่ของภูมิภาค เตรียมกลับมาอีกครั้งเป็นปีที่ 4 ด้วยพื้นที่จัดแสดงกว่า 25,000 ตารางเมตร และผู้แสดงสินค้ากว่า 2,000 แบรนด์ จากทั่วโลก ครอบคลุมตั้งแต่สินค้าแบรนด์สำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ อาหารเสริมความงาม
ไปจนถึงโซลูชัน OEM/ODM บรรจุภัณฑ์ และเทคโนโลยีการผลิต ในปีนี้ เราเน้นการออกแบบประสบการณ์การเข้าชมที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการจัดโซนแสดงสินค้าที่ครอบคลุมทุกมิติของอุตสาหกรรมความงาม พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการเจรจาธุรกิจ และการแบ่งปันองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อสร้างโอกาสในการขยายตลาดและการเติบโตอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน”

ไฮไลต์ของงานปี 2025 ได้แก่:

  • Branded Finished Products Zone: รวมสุดยอดแบรนด์เครื่องสำอาง สกินแคร์ น้ำหอม สปา และอาหารเสริมจากทั้งไทยและต่างประเทศ
  • Supply Chain Zone: ครอบคลุมผู้ผลิต OEM/ODM บรรจุภัณฑ์ ส่วนผสม และเครื่องจักรจากทั่วโลก โดยมีบูธเด่นจากจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน อิตาลี และไทย
  • CosmoTalks: เวทีสัมมนาโดยผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมความงามระดับโลก เจาะลึกเทรนด์ เทคโนโลยี และโอกาสทางการตลาด ตลอด 3 วันการจัดงาน
  • Buyer Program: โปรแกรมจับคู่เจรจาธุรกิจระหว่างผู้ซื้อรายใหญ่จากอาเซียน ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก กับแบรนด์ความงามที่มีศักยภาพ
  • การเติบโตต่อเนื่อง: งาน Cosmoprof CBE ASEAN มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 62% ต่อปี ทั้งในด้านพื้นที่จัดแสดง จำนวนผู้เข้าร่วมงาน และประเทศที่เข้าร่วม

อย่าพลาด! ร่วมค้นหาโอกาสครั้งใหม่ของธุรกิจคุณ และเตรียมพร้อมสู่การต่อยอดธุรกิจในเวทีระดับภูมิภาคที่ งาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายน 2568
ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร จุดนัดพบแห่งใหม่ของอุตสาหกรรมความงามอาเซียน ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ฟรีที่:
www.cosmoprofcbeasean.com

“ไวไว” คว้ารางวัล WINNER จากเวที THAIFEX 2025เปิดตัว “Rice Ramen Shoyu Som Jeed”นวัตกรรมราเมนเส้นข้าว รสโชยุส้มจี๊ด ผสานเอกลักษณ์ไทย-ญี่ปุ่นอย่างลงตัว

บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไวไวและเส้นหมี่อบแห้งไวไว ตอกย้ำจุดยืนในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมอาหาร ด้วยการคว้ารางวัล WINNER จากเวที THAIFEX – ANUGA TASTE INNOVATION SHOW 2025 สำหรับผลิตภัณฑ์ “Rice Ramen Shoyu Som Jeed” หรือ “ราเมนโชยุส้มจี๊ด” ราเมนเส้นข้าว ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารยอดเยี่ยมจากกว่า 800 แบรนด์

นายยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด เปิดเผยว่า “ราเมนโชยุส้มจี๊ด” เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากความตั้งใจจริง เราอยากถ่ายทอดรสชาติของวัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านมุมมองของคนไทย โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นอย่างส้มจี๊ดมาผสมผสานเข้ากับโชยุสูตรต้นตำรับ พร้อมด้วยเส้นข้าวที่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของคนไทย ซึ่งไม่เพียงแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ”

การได้รับรางวัล WINNER จาก THAIFEX – ANUGA TASTE INNOVATION SHOW 2025 ในครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงความสำเร็จของผลิตภัณฑ์หนึ่งชิ้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวของไวไวในการมุ่งมั่นพัฒนาอาหารไทยให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้อย่างภาคภูมิ ผ่านการเลือกใช้วัตถุดิบไทยคุณภาพ และการสร้างสรรค์รสชาติที่แปลกใหม่ พร้อมคำนึงถึงทั้งสุขภาพและความยั่งยืน

นายยศสรัล ให้ข้อมูลต่อว่า “Rice Ramen Shoyu Som Jeed” ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนวิสัยทัศน์ของไวไวในการพัฒนาอาหารแห่งอนาคต โดยมีความโดดเด่นทั้งในด้านวัตถุดิบ แนวคิด และรสชาติ ตัวผลิตภัณฑ์ผสมผสานความเข้มข้นลุ่มลึกของโชยุญี่ปุ่นกับความเปรี้ยวสดชื่นของ “ส้มจี๊ด” ผลไม้ท้องถิ่นหายากของไทย ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและรสชาติจัดจ้านอย่างเป็นธรรมชาติ ส้มจี๊ดไม่เพียงเพิ่มมิติให้กับน้ำซุปโชยุเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับความสดใสและความกลมกล่อมในทุกคำที่ลิ้มลอง

นอกจากนี้ อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญของราเมนชามนี้ คือการใช้ “เส้นราเมนที่ทำจากข้าว ซึ่งแตกต่างจากเส้นราเมนทั่วไปที่ผลิตจากแป้งสาลี เส้นข้าวดังกล่าวให้เนื้อสัมผัสที่เหนียวนุ่ม เด้ง และเคี้ยวเพลินไม่แพ้ราเมนแบบดั้งเดิม แต่มีความพิเศษตรงที่ปราศจากกลูเตน ไม่มีวัตถุกันเสีย ไม่มีสารแต่งสี หรือส่วนผสมสังเคราะห์ที่ไม่จำเป็น จึงเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ รวมถึงผู้แพ้แป้งสาลี ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของไวไวในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และยั่งยืน

“Rice Ramen Shoyu Som Jeed” จึงไม่ใช่เพียงแค่ราเมนหนึ่งชาม หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวข้ามขอบเขตวัฒนธรรม ผสานความเป็นไทยและญี่ปุ่นไว้ในรสชาติเดียวอย่างสง่างาม พร้อมนำเสนอสู่อาหารแห่งอนาคตอย่างแท้จริง

แรงไม่พัก! โฮมโปร-เมกาโฮม เสิร์ฟโปร BIG BANK BIG BONUS !! จ่ายผ่านบัตร รับโบนัสจัดเต็ม ลดแรงคุ้ม 3 ต่อ ตลอดเดือนมิถุนายนนี้

เอาใจสายแต่งบ้าน จ่ายชิลตลอดเดือนมิถุนานี้ #โฮมโปร ชวน #เมกาโฮม จับมือพาร์ตเนอร์บัตรเครดิตชั้นนำ จัดโปร “BIG BANK BIG BONUS” ชอปด้วยบัตรเครดิต ลดแรงสุดคุ้ม! ครบ! เรื่องบ้านและงานช่าง ชอปสะดวก จ่ายเบา ได้โบนัสเต็ม ๆ ให้ทั้งส่วนลด+รับเพิ่ม รวมสูงสุด 13,600 บาท !! พร้อมอัดความคุ้มแรง
3 ต่อ ไม่ว่าจะเป็น…

  • ต่อที่ 1 รับคูปองสุดคุ้มพร้อมรับเครดิตเงินคืนจากบัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม, ธนาคารกรุงเทพ, กรุงศรี, CardX, SCB, KBank, KTC, UOB,บัตรโฮมโปร เฟิร์สช้อยส์ และแบรนด์ชั้นนำที่ร่วมรายการรวมสูงสุด 13,600 บาท
  • ต่อที่ 2 ลด + รับเพิ่มรวมสูงสุด 28% เมื่อใช้คะแนน 2 เท่าของยอดชำระ กับบัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม หรือใช้คะแนนเท่ายอดชำระ รับส่วนลด/เครดิตเงินคืนสูงสุด 15% จากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
  • ต่อที่ 3 ชอปสบายกับสถาบันการเงินชั้นนำ เพียงจ่ายผ่านบัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม,
    ธนาคารกรุงเทพ, กรุงศรี, CardX, SCB, KBank, ttb, UOB และบัตรโฮมโปร เฟิร์สช้อยส์ รับสิทธิ์ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุดถึง 10 เดือน*

คุ้มค่ารับกลางปี ชอปง่ายไม่มีสะดุดทั้งเรื่องบ้านและงานช่าง พกบัตรเครดิตให้พร้อม…เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 – 30 มิถุนายน 2568 นี้ ที่โฮมโปรและเมกาโฮมทุกสาขาทั่วประเทศ

*ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี / กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว, อัตราดอกเบี้ยปกติ 25% ต่อปี

#BIGBANKBIGBONUS #โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #เมกาโฮม #MegaHome #ครบเรื่องบ้านและงานช่าง #Homepropr

ซูเลียน อุบล เนตเวิร์ค (UBL) เปิดตัวยิ่งใหญ่ใจกลางอุบลฯตอกย้ำความแข็งแกร่ง สู่ศูนย์กลางการเติบโตธุรกิจเครือข่ายในภาคอีสาน

เสียงปรบมือดังกึกก้อง เมื่อจังหวัดอุบลราชธานีได้กลายเป็นศูนย์รวมพลังของนักธุรกิจเครือข่ายทั่วภาคอีสาน กับพิธีเปิดตัว “ซูเลียน อุบล เนตเวิร์ค จำกัด (UBL)” อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางบรรยากาศสุดคึกคัก อบอวลไปด้วยความยินดีและแรงบันดาลใจครั้งใหญ่แห่งปี

งานนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานกรรมการ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด มาเป็นประธานเปิดงาน พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง สมาชิก และแขกผู้มีเกียรติที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีอย่างเนืองแน่น โดยมีผู้นำทีม UBL อย่าง RCD วีระศักดิ์ ราชเดิม และ DSM ประทุม ราชเดิม บริหารงานอย่างแข็งแกร่ง นำพาธุรกิจซูเลียนเดินหน้าสร้างโอกาสครั้งใหม่ให้ชาวอีสาน

ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ได้กล่าวแสดงความยินดีและแสดงวิสัยทัศน์ไว้ว่า “การเปิดตัว UBL ในวันนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของซูเลียนที่มุ่งมั่นในการขยายธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมส่งเสริมให้คนในพื้นที่มีโอกาสในการพัฒนาตนเองทั้งในด้านอาชีพและคุณภาพชีวิต เราเชื่อมั่นในศักยภาพของภาคอีสาน และซูเลียนพร้อมจะเป็นแรงสนับสนุนให้ทุกคนก้าวสู่ความสำเร็จได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในแบบของตัวเอง”

นอกจากนี้ ยังมีไฮไลต์สุดพิเศษกับการรวมตัวของสุดยอดวิทยากรแนวหน้าจากซูเลียน ที่มามอบแนวคิด       กลยุทธ์ และประสบการณ์อันล้ำค่าแก่ผู้ร่วมงาน ได้แก่

  • RCD ประชุมพร ศรีสัจจัง
  • RCD ดร.ชาญชัย เจ้ยชุม
  • RCD วิมุกดา ภูทับทิม

ทุกท่านต่างเน้นย้ำถึงพลังของการเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยธุรกิจเครือข่าย และการเสริมสร้างศักยภาพของสมาชิกให้พร้อมก้าวสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

ปิดท้ายงานอย่างประทับใจด้วยกิจกรรมจับแจกรางวัล “อั่งเปาเงินสด” สุดตื่นเต้น ที่สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุขให้แก่สมาชิกทุกคน ถือเป็นการส่งต่อพลังบวกและกำลังใจก่อนเดินทางกลับ ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ

การเปิดตัว ซูเลียน อุบล เนตเวิร์คครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นอีกก้าวสำคัญของซูเลียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ยังเป็นการตอกย้ำคำมั่นสัญญาในการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยโอกาสทางธุรกิจที่จับต้องได้จริง พร้อมสร้างเครือข่ายแห่งความสำเร็จให้ขยายวงกว้างไปทั่วภูมิภาคอย่างมั่นคง

สคส. ผนึก สธ. ขับเคลื่อน PDPA ยกระดับความปลอดภัยข้อมูลสุขภาพคนไทยสู่ระบบสาธารณสุขดิจิทัล

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) จับมือกระทรวงสาธารณสุข ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้านสาธารณสุข เพื่อส่งเสริมกลไกและมาตรการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของประชาชนให้ปลอดภัย และเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ สคส. กล่าวว่า ข้อมูลด้านสุขภาพถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว การจัดเก็บ การใช้ หรือการเปิดเผยโดยปราศจากมาตรการป้องกันที่รัดกุม อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิของเจ้าของข้อมูลได้ ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวสำคัญ

ในการขับเคลื่อนมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลในระบบสาธารณสุขไทย โดย สคส. จะทำหน้าที่สนับสนุน ให้คำแนะนำ และกำกับดูแลให้การดำเนินการของหน่วยงานด้านสาธารณสุขเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ ทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้แก่บุคลากรในทุกระดับ

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีภารกิจหลักในการดูแลสุขภาพประชาชนทั้งประเทศ จึงมีการเก็บข้อมูลสุขภาพจำนวนมาก ซึ่งจำเป็นต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน ความร่วมมือกับ สคส. ในครั้งนี้จะช่วยให้บุคลากรในสังกัดมีความรู้ความเข้าใจในหลักการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมากยิ่งขึ้น พร้อมพัฒนากลไกและมาตรการด้านความปลอดภัยในข้อมูลสุขภาพให้มีความรัดกุม สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน โดยเฉพาะในระบบบริการ “30 บาทรักษาทุกที่” ซึ่งประชาชนสามารถใช้บริการด้วยบัตรประชาชนเพียงใบเดียวได้อย่างปลอดภัย

นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนา Digital Health โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data ในระบบสาธารณสุขเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลประชาชน เช่น โครงการ Big Data ด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ช่วยคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและลดภาระค่าใช้จ่ายของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การประชุมในครั้งนี้นับเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนแนวคิด นวัตกรรม และความร่วมมือ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นภายใต้กรอบของกฎหมายที่คุ้มครองประชาชนอย่างรอบด้าน
หากประชาชนพบเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล สามารถติดต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) โทร. 02-111-8800 หรืออีเมล: saraban@pdpc.or.th

JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) เตรียมส่งมอบล็อตแรกในไทย พ.ค. 68 มั่นใจทุกการขับขี่ด้วยบริการหลังการขายและอะไหล่ที่ครบครัน

OMODA & JAECOO (โอโมด้า แอนด์ เจคู่) แบรนด์ยานยนต์ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก เตรียมส่งมอบ JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) สู่ท้องถนนในประเทศไทย ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป พร้อมตอกย้ำความมั่นใจด้านบริการหลังการขาย ด้วยคลังอะไหล่ที่ครบครัน JAECOO 7 SHS รถ SUV พลังงานทางเลือก ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามตั้งแต่เปิดตัวในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ล่าสุด รถล็อตแรกได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากลและถูกนำเข้าสู่ประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย โดยพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าทั่วประเทศภายในเดือนพฤษภาคม 2568 นี้

JAECOO 7 SHS หลังจากสร้างกระแสแรงตอบรับอย่างดี ตั้งแต่เปิดตัว ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ผ่านมา ล่าสุด JAECOO 7 SHS ล็อตแรกได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากล  โดยพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าทั่วประเทศภายในเดือนพฤษภาคม 2568 

คุณบิล จาง ผู้อำนวยการ แบรนด์ โอโมด้า แอนด์ เจคู่ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “วันนี้เราสามารถยืนยันได้อย่างเต็มที่ว่า JAECOO 7 SHS พร้อมแล้วสำหรับเมืองไทย รถล็อตแรกได้มาถึงไทยและผ่านขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวดทุกคัน เตรียมส่งมอบให้ลูกค้าทั่วประเทศในเดือนพฤษภาคมนี้ตามแผนที่วางไว้”

เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และยกระดับมาตรฐานด้านบริการหลังการขาย OMODA & JAECOO เน้นย้ำความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน ได้เตรียมความพร้อมในทุกด้าน ทั้งการวางแผนผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย และการจัดการด้านบริการหลังการขาย ด้วยการสำรองอะไหล่อย่างครอบคลุม ตั้งแต่การซ่อมบำรุงเบื้องต้น ไปจนถึงการดูแลรักษารถในระยะยาว สะท้อนความตั้งใจในการมอบประสบการณ์ที่มั่นใจ และไร้กังวลให้กับลูกค้าชาวไทยทุกคนโดยระบบกระจายอะไหล่ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ มีความพร้อมในการจัดส่งอะไหล่ถึงศูนย์บริการตามเคสความเสียหาย โดยปกติใช้เวลาเพียง 1-2 วันทำการในกรุงเทพฯ และ 3-5 วันในต่างจังหวัด ซึ่งถือว่าอยู่ในมาตรฐานระดับสากล

ปัจจุบัน บริษัทฯ ยืนยันว่ามีสต็อกอะไหล่ครบครัน ที่จำเป็นสำหรับการให้บริการ ทั้งในกลุ่มอะไหล่ซ่อมแซมทั่วไปและอะไหล่สำหรับการบำรุงรักษาในระยะยาว เพื่อรองรับการเติบโตของยอดส่งมอบและจำนวนผู้ใช้ JAECOO 7 SHS ที่จะเพิ่มมากขึ้น

JAECOO 7 SHS รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด SUV ที่มาพร้อมเทคโนโลยี SHS (Super Hybrid System) สุดล้ำและดีไซน์สุดคลาสสิค สามารถขับขี่รวมได้ไกลถึง 1,300 กิโลเมตร* (ตามมาตรฐาน NEDC) ทั้งนี้ในประเทศไทย JAECOO 7 SHS สามารถทำสถิติ ขับได้ไกล 1,433 กม. ต่อน้ำมัน 1 ถัง และการชาร์จ 1 ครั้ง ครองตำแหน่ง Longest Driving Range และติด Top 5 ของโลก ใช้น้ำมันเพียง 3.1 ลิตร/ 100 กม. (32.3 กม./ลิตร)*

สำหรับผู้ที่สนใจทดลองขับ JAECOO 7 SHS สามารถลงทะเบียนทดลองขับกับทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพ กับงาน OJ DRIVING EXPERIENCE วันที่ 24-25 พฤษภาคม 2568 ที่ สนามดริฟท์ Wonder World ได้ที่ https://bit.ly/TestDriveJ7  หรือนัดทดลองขับที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ มากไปกว่านั้น JAECOO 7 SHS มากับข้อเสนอพิเศษ ECO BONUS รับส่วนลด On Top 10,000 บาท เพียงคุณเป็นเจ้าของรถ เครื่องยนต์สันดาป (ICE) หรือ ไฮบริด (Hybrid), ฟรี! ค่าบำรุงรักษาเป็นระยะเวลา 2 ปี, ฟรี! Home Charger พร้อมติดตั้ง, ฟรี! สายชาร์จ V-2-L, สายชาร์จเคลื่อนที่ และข้อเสนออื่นๆอีกมากมาย เมื่อจองและออกรถตั้งแต่ 15 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น

#JAECOO7SHS  #SuperHybridSystem #OMODAANDJAECOOTHAILAND #OMODAJAECOOTH

#OMODA #JAECOO #JAECOOTHAILAND 

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ WWW.OMODAJAECOO.CO.TH 

หรือสอบถามรายละเอียดได้ โทร. 02-020-8888 หรือที่ผู้จำหน่ายทั่วประเทศ

ไวไว ร่วมสืบสานพลังศรัทธาแห่งอีสานสนับสนุน “ประเพณีบุญบั้งไฟตะไลล้านกุดหว้า” จังหวัดกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568

ยังคงเดินหน้าสนับสนุนกิจกรรมท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง สำหรับ บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “ไวไว” ที่ปีนี้ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานมรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชาวอีสาน ร่วมสนับสนุนงาน “ประเพณีวัฒนธรรมผู้ไทบุญบั้งไฟตะไลล้าน” ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17–18 พฤษภาคม 2568 ณ เทศบาลตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ งานใหญ่แห่งปีที่ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างตั้งตารอคอย

งานนี้ไม่ได้มีดีแค่ความอลังการของขบวนแห่วัฒนธรรมผู้ไทเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยสีสันจากไฮไลต์สุดตื่นตาอย่าง “บั้งไฟตะไลล้าน” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นของกุดหว้า บั้งไฟทรงกลมคล้ายล้อเกวียน อัดแน่นด้วยดินปืน ยิงพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าอย่างสง่างาม พร้อมเสียงระเบิดดังกึกก้องสะท้านเมือง จุดประกายศรัทธาและพลังแห่งภูมิปัญญาชาวบ้านที่หาชมไม่ได้จากที่ใดในโลก!

เบื้องหลังของบั้งไฟตะไลคือผลงานการคิดค้นของ นายพิศดา จำพล ปราชญ์ชาวบ้านผู้เปลี่ยน “บั้งไฟหาง” ที่มีความเสี่ยง เป็น “บั้งไฟตะไล” ที่สามารถควบคุมทิศทางการตกได้อย่างแม่นยำ โดยได้พัฒนาให้ติดร่มเพื่อลดอันตรายต่อผู้ชม ถือเป็นตัวอย่างชั้นเยี่ยมของการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ จนกลายเป็นวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก

สำหรับบรรยากาศภายในงาน “ไวไว” ก็ไม่พลาดที่จะร่วมเติมเต็มความสนุกให้คึกคักยิ่งขึ้น ด้วยการ ยกทัพทีมไวไวสุดแซ่บมาออกบูธในงาน เสิร์ฟเมนูไวไวรสเป็ดพะโล้ร้อน ๆ หอมกรุ่นให้ชาวกุดหว้าและนักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองกันถึงที่! พร้อมกิจกรรมแจกของรางวัลแบบจัดเต็ม สร้างสีสันและรอยยิ้มให้กับผู้ร่วมงานตลอดสองวันเต็ม

การมีส่วนร่วมในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของ “ไวไว” ที่มุ่งมั่นในการ สืบสาน สนับสนุน และส่งเสริมกิจกรรมอันดีงามของชุมชน อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ในปีนี้ แต่ในทุกๆ ปี “ไวไว” ขอยืนยันบทบาทของแบรนด์ที่อยู่เคียงข้างสังคมไทย พร้อมอนุรักษ์และส่งต่อคุณค่าของประเพณีไทยให้คงอยู่อย่างสง่างาม ไปพร้อมกับรสชาติที่คนไทยรักไม่เปลี่ยน