“ไวไว” เปิดตัว “ราเมนแป้งข้าวไม่มีกลูเตน” ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ พร้อมจัดแคมเปญ Rice Ramen Festival เสิร์ฟ 3 เมนูใหม่สไตล์เอเชียที่ Quick Terrace ทุกสาขา

บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์ “ไวไว” เดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “ราเมนแป้งข้าวไม่มีกลูเตน” ที่พัฒนาขึ้นจากแป้งข้าวคุณภาพสูงของไทย เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบท้องถิ่น และมองหาทางเลือกใหม่ในการรับประทานอาหารอย่างสร้างสรรค์

พร้อมกันนี้ ทางบริษัทฯ ยังได้เปิดตัวแคมเปญ “Rice Ramen Festival” นำเสนอ 3 เมนูใหม่จากเส้นราเมนแป้งข้าวในรูปแบบอาหารจานร้อนที่ร้าน Quick Terrace ทุกสาขา ระหว่างวันที่ 7 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2568 ได้แก่

  • ราเมนผัดผงกะหรี่ไก่ – เมนูรสจัดจ้านสไตล์ไทย หอมเครื่องเทศ กลมกล่อม เสิร์ฟพร้อมเนื้อไก่นุ่ม
  • ราเมนหม่าล่าทั่ง – เผ็ดร้อนแบบต้นตำรับจีน มาพร้อมน้ำซุปร้อนเข้มข้น
  • ทงคตสึราเมน – น้ำซุปกระดูกหมูหอมละมุนสไตล์ญี่ปุ่น เส้นแป้งข้าวเหนียวนุ่ม เข้ากันอย่างลงตัว

โดยทั้ง 3 เมนู ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 80 – 85 บาท เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้าง และเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ในการรับประทานราเมนจากวัตถุดิบที่คุ้นเคยอย่าง “ข้าว” ซึ่งถือเป็นหัวใจของวัฒนธรรมการบริโภคของคนไทย

นายวิรกิตติ์ มิ่งโมฬี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และแนวความคิดผลิตภัณฑ์ เปิดเผยว่า    “การพัฒนาเส้นราเมนจากแป้งข้าวไม่ใช่เพียงแค่การตอบโจทย์ด้านสุขภาพหรือเทรนด์ผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความตั้งใจของแบรนด์ในการต่อยอดวัตถุดิบท้องถิ่นให้มีคุณค่าและน่าสนใจยิ่งขึ้น เราเชื่อว่าการผสานรากวัฒนธรรมเข้ากับเมนูร่วมสมัยจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและแตกต่างให้กับทั้ง Quick Terrace และผลิตภัณฑ์ของไวไวในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคเจเนอเรชันใหม่ที่มองหาอาหารที่มีทั้งรสชาติ ความสะดวก และคุณค่าทางความคิด”

การเปิดตัวเมนูราเมนแป้งข้าวในครั้งนี้ ยังถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายแนวคิด “บะหมี่เพื่อประสบการณ์” (Experience-Based Noodle) ที่แบรนด์ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นความสร้างสรรค์ ความพิเศษในทุกคำที่รับประทาน และการเชื่อมโยงกับวิถีไทยในรูปแบบที่ทันสมัย เพื่อยกระดับแบรนด์จากธุรกิจในกลุ่ม FMCG สู่การเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทในตลาด Food Retail ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน

ผู้ที่สนใจสามารถทดลองเมนูพิเศษทั้ง 3 รายการได้แล้วที่ร้าน Quick Terrace ทุกสาขา
และสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ “ราเมนแป้งข้าวไม่มีกลูเตน” ได้ที่ Shopee: waiwai_officialshop
ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Quick Terrace

“เมกาโฮม” รีเซ็ทเกมค้าปลีกสายช่าง ยกระดับประสบการณ์ช้อปเรื่องบ้าน-งานช่าง ผ่าน “Omni Channel” ไร้รอยต่อ สะดวกสบายทุกช่องทาง ตอบโจทย์ทุกงานช่าง สั่งของไว-ได้ของครบ-ถึงไซต์งานจริง ครบจบในคลิกเดียว

ในวันที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มช่างและผู้รับเหมา ที่ปกติคุ้นเคยกับการเดินเลือกซื้อสินค้าหน้าร้านเป็นหลัก ต่างหันมาพึ่งพาช่องทางออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค้นหาสินค้าและบริการ เปรียบเทียบราคา ไปจนถึงสั่งซื้อและจัดส่งสินค้า “เมกาโฮม” จึงเดินหน้ายกระดับกลยุทธ์ Omni Channel เต็มรูปแบบ และเชื่อมประสบการณ์ช้อปแบบไร้รอยต่อ ทั้งหน้าร้าน ออนไลน์ หรือบริการแชท และจัดส่ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการได้ทุกที่ทุกเวลา ง่าย สะดวกสบายทุกช่องทาง รวดเร็ว ตอบโจทย์ทุกงานช่าง และตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ได้อย่างแท้จริง

คุณวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ซึ่งบริหารกลุ่มธุรกิจของ “เมกาโฮม” กล่าวว่า ปัจจุบัน พฤติกรรมผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มช่างและผู้รับเหมา มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หลายคนที่เคยเดินเลือกซื้อสินค้าที่หน้าร้าน ก็เปลี่ยนวิธีหันมาใช้แอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ เพื่อเช็กสต๊อก เปรียบเทียบราคา และสั่งของล่วงหน้าก่อนมารับสินค้าที่หน้าร้าน เพื่อความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งเรามองว่า นี่คือโอกาสสำคัญของเมกาโฮม ในการพัฒนากลยุทธ์ช่องทาง Omni Channel ให้ตอบโจทย์วิธีการทำงานของช่างและผู้รับเหมายุคใหม่ ไม่ใช่แค่เพิ่มช่องทางขาย แต่คือการออกแบบประสบการณ์ให้ทุกระบบทำงานร่วมกัน เชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ ตั้งแต่หน้าร้าน แชท คอลเซ็นเตอร์ ไปจนถึงการจัดส่งสินค้าถึงหน้าไซต์งาน เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกสบาย ใช้งานง่าย และได้รับการบริการอย่างต่อเนื่องในทุกขั้นตอน

เรามองว่า Omni Channel ที่ดี ไม่ใช่แค่การมีช่องทางที่เยอะขึ้น แต่ต้องเชื่อมโยงแต่ละช่องทางให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ เมกาโฮมจึงมุ่งยกระดับ Omni Channel อย่างครบวงจร ตั้งแต่เชื่อมโยงข้อมูลเพื่อเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าแบบเรียลไทม์ พัฒนาทีมงานหน้าร้านให้สามารถดูแลลูกค้าได้ทั้งจากหน้าร้านสู่ออนไลน์ และจากออนไลน์กลับมาสู่หน้าร้าน ไปจนถึงการจัดการระบบหลังบ้านให้พร้อมบริการอย่าง Same-Day Delivery และดูแลหลังการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ที่สำคัญ สำหรับลูกค้ากลุ่มช่างและผู้รับเหมา เมกาโฮมยังออกแบบระบบช่องทางการใช้งานให้ตอบโจทย์การทำงานได้จริง ทั้งเรื่องความรวดเร็ว ที่ทันใช้หน้างาน ความยืดหยุ่นในการเลือกรับหรือจัดส่งสินค้าได้ในหลายจุด และระบบที่เรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้งาน เพื่อมอบสิทธิประโยชน์หรือบริการที่ตรงตามความต้องการ ทำให้ทุกคำสั่งซื้อเป็นเรื่องง่าย ชัดเจน และครบจบในที่เดียว หรือจะพูดได้ว่า สะดวกสบายทุกช่องทาง ตอบโจทย์ทุกงานช่าง

ความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่เป็นเพียงการยกระดับเฉพาะบริการสำหรับกลุ่มช่างหรือผู้รับเหมาเท่านั้น แต่ยังขยายทางเลือกใหม่ที่ไร้รอยต่อ สำหรับคนรักบ้าน เจ้าของโครงการ และผู้ประกอบการร้านค้า สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการเรื่องบ้านและงานช่างได้อย่างครบจบในที่เดียว ผ่านรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า “ไฮบริดสโตร์” กว่า 9 แห่งทั่วประเทศ พร้อมช่องทาง Omni Channel ที่เชื่อมต่อทุกการช้อปให้สะดวกสบายทุกช่องทาง ง่าย ได้ทุกที่ ทุกเวลา แค่ปลายนิ้ว ไม่ว่าจะเป็น

  • Chat Shop4You – ทักมาเราช้อปให้ เพียงเพิ่มเพื่อน LINE เมกาโฮม ก็สามารถพูดคุยกับผู้ช่วยช้อปส่วนตัวได้ทันที ทั้งแนะนำสินค้า ตรวจสอบสต็อก หรือสั่งซื้อได้ครบจบในแชทเดียว พร้อมดึงข้อมูลย้อนหลังได้ เพื่อความต่อเนื่องทุกคำสั่งซื้อ หรือผ่านเว็บไซต์ www.megahome.co.th ก็สะดวกไม่แพ้กัน
  • Click & Collect – ช้อปออนไลน์ รับได้ที่สาขา สั่งสินค้าผ่านเว็บไซต์ www.megahome.co.th แล้วเลือกไปรับสินค้าที่สาขาใกล้บ้านได้ภายใน 1 ชั่วโมง ตอบโจทย์งานเร่งด่วน หรือหน้างานที่ต้องการใช้ทันที
  • Call Center 1347 – ช้อปง่าย แค่โทร มีบริการ 24 ชม. ไม่ว่าจะสั่งซื้อ สอบถามข้อมูล ติดตามสถานะคำสั่งซื้อ หรือเรียกใช้ช่างฉุกเฉิน เราพร้อมดูแลทุกเรื่องบ้านและงานช่าง แค่โทร…เมกาโฮมจัดให้
  • เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน – ช้อปที่เมกาโฮม และออนไลน์ ส่งได้ทุกที่ทั่วไทย รวบรวมสินค้าบ้านและงานช่างที่หลากหลายไว้อย่างครบครัน พร้อมข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เช่น สเปกสินค้า ราคาพิเศษ และข้อเสนอที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับช่างหรือผู้รับเหมา ที่ช่วยให้เลือกสินค้าได้เร็ว และคุ้มค่า
  • Same-Day Delivery – ซื้อวันนี้ ส่งวันนี้ สำหรับสินค้าที่ร่วมรายการ เช่น เครื่องปรับอากาศ ทีวี ตู้เย็น หรือเครื่องซักผ้า หากชำระเงินก่อนเวลา 16.00 น. สามารถจัดส่งพร้อมติดตั้งภายในวันเดียวกันได้
  • Free Delivery – สินค้าพร้อมส่งฟรี เมื่อมียอดซื้อครบตามเงื่อนไขที่กำหนด ให้บริการจัดส่งถึงที่ภายในรัศมี 40 กิโลเมตรจากสาขา สะดวก คุ้มค่า ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

“เราตั้งใจมาตลอด ที่จะเป็นเสมือนเพื่อนคู่คิดของช่างและคนรักบ้าน ที่สามารถพึ่งพาได้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่เลือกสินค้า ไปจนถึงการใช้งานจริง เมกาโฮม มุ่งมั่นใส่ใจพัฒนา Omni Channel ให้ตอบโจทย์ลูกค้า ให้ทุกช่องทางใช้งานง่ายขึ้น เข้าถึงได้รวดเร็วขึ้น และเชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเลือกซื้อผ่านช่องทางไหน ก็มั่นใจได้ว่าจะได้รับประสบการณ์เรื่องบ้านและงานช่างที่ครบถ้วน ต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ” คุณวีรพันธ์ฯ เสริมทิ้งท้าย

#เมกาโฮมถูกจริง #เมกาโฮม #MegaHome #ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและงานช่าง #เมกาโฮมศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและงานช่าง #ครบเรื่องบ้านและงานช่าง #Homepropr

สื่อสารองค์กรมีไว้ทำไม? ในยุคที่ข่าวลวงคืออาวุธ

ในห้วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” ที่ข้อมูลและข่าวลวงถูกใช้เป็นอาวุธทำลายความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ การดำรงอยู่ของหน่วยงาน “สื่อสารองค์กร” ของภาครัฐจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาอีกต่อไป หากแต่เป็นแนวหน้าสำคัญในการปกป้องและนำพาประเทศชาติให้ก้าวผ่านความสับสนวุ่นวายไปได้อย่างมีทิศทาง

หลายคนอาจมองว่าหน่วยงานนี้มีไว้เพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานของภาครัฐ หรือเป็นเพียง “หน่วยงานสร้างภาพ” แต่ในความเป็นจริงแล้วบทบาทของหน่วยสื่อสารองค์กรนั้นลึกซึ้งและมีความสำคัญมากกว่าที่เราคิด เพราะเป็นแนวหน้าในการต่อสู้กับข่าวปลอม

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่า ข่าวลวง (Fake News) และข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) กลายเป็นภัยคุกคาม เป็นบ่อนทำลายความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ หน่วยสื่อสารองค์กรของภาครัฐจึงทำหน้าที่เป็น “ป้อมปราการด่านแรก” ในการคัดกรอง ตรวจสอบ และชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างทันท่วงที เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของข่าวปลอม และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน

สะพานเชื่อมระหว่างรัฐกับประชาชน

การสื่อสารที่ดีเปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงภาครัฐและประชาชนเข้าไว้ด้วยกัน หน่วยสื่อสารองค์กรคือผู้ส่งสารที่ทำหน้าที่เปลี่ยนนโยบายที่ซับซ้อนให้กลายเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ถึงสิทธิประโยชน์ โครงการดีๆ และมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐอย่างทั่วถึง และยังเป็นผู้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขการทำงานของภาครัฐให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

สร้างความเชื่อมั่นและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ โรคระบาด หรือความขัดแย้งต่างๆ การสื่อสารที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา และมีประสิทธิภาพ คือหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน หน่วยงานสื่อสารองค์กรทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ช่วยลดความตื่นตระหนก และประสานงานให้ทุกภาคส่วนสามารถร่วมมือกันแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างเป็นหนึ่งเดียว

ในห้วงเวลาที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและข้อมูลข่าวสารท่วมท้น การสื่อสารองค์กรของภาครัฐจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการประชาสัมพันธ์ แต่เป็นภารกิจสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งความจริง ความเข้าใจ และความเชื่อมั่น เพื่อให้สังคมไทยสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและมีทิศทาง

เมื่อเวทีมีการตั้งคำถาม

ว่า “ทหารมีไว้ทำไม” ก็คงเป็นคำถามในมิติของ Hard Power ดังนั้นถ้ามิติของ Soft power เราก็ต้องลองตั้งคำถามคู่ขนานกันไปเหมือนกันว่า แล้ว “สื่อสารองค์กร มีไว้ทำไม?”

#############

บทความโดย

น.ส. วีรินทร์ อรวัฒนพันธุ์

ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร กรรมการ คณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร

กรรมการ คณะทำงานด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)

อนุกรรมการ คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ และสื่อสารองค์กร สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

กรรมการ

หลักสูตรพัฒนาผู้ผลิตรายการสําหรับกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย)

พาณิชย์ – DITP จัดใหญ่ “BIDC 2025” ยกระดับเวทีไทยสู่ระดับโลก! ขยายสเกลงานใหญ่ที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ ดึงยักษ์ใหญ่ดิจิทัลคอนเทนต์ร่วมเจรจาธุรกิจข้ามชาติ

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ผนึกกำลังพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ผลักดันงาน Bangkok International Digital Content Festival 2025 (BIDC 2025) ครั้งที่ 12 สู่เวทีการค้าระดับนานาชาติ
โชว์ศักยภาพอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยแบบครบวงจร พร้อมตอกย้ำบทบาทความเป็นผู้นำด้านดิจิทัล
คอนเทนต์ในภูมิภาคเอเชีย  โดยมุ่ง “ยกระดับ” จากงานเทศกาลสู่ “
Thailand: Asia’s Digital Content Destination” เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและเปิดเวทีเจรจาการค้ากับคู่ค้าทั่วโลก เดินหน้าผลักดันประเทศไทย
สู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลคอนเทนต์ของเอเชีย สอดรับนโยบาย
Soft Power ของรัฐบาล ในปีนี้มีผู้ประกอบการ
ทั้งไทยและต่างประเทศตอบรับเข้าร่วมกว่า 1
50 บริษัท สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพอุตสาหกรรมดิจิทัล
คอนเทนต์ไทยในระดับสากล

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า “Bangkok International Digital Content Festival 2025 หรือ BIDC 2025 ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัล
คอนเทนต์ของภูมิภาคเอเชีย งานดังกล่าวมุ่งส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมแอนิเมชัน เกม คาแรคเตอร์ และอีเลิร์นนิง ให้มีเวทีในการเจรจาการค้า สร้างเครือข่าย และขยายโอกาสทางธุรกิจในตลาดโลก
ผ่านกิจกรรมหลัก คือ การเจรจาการค้า (Business Matching) และการสร้างเครือข่ายธุรกิจ (Business Networking)

สำหรับปีนี้ BIDC 2025 กลับมายิ่งใหญ่กว่าทุกปีด้วยการปรับโฉมครั้งใหญ่ สู่การเป็น “Thailand: Asia’s Digital Content Destination” โดยขยายสเกลงานอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านพื้นที่จัดงาน กิจกรรม และจำนวนผู้เข้าร่วมจากทั้งในและต่างประเทศ พร้อมยกระดับรูปแบบงานให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยสู่เวทีโลกอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้แนวคิด “Connect – Create – Complete” ที่สะท้อนบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของภูมิภาคเอเชีย ผ่านการเชื่อมโยงตลาด สร้างสรรค์คอนเทนต์ และต่อยอดผลงานให้ประสบความสำเร็จในระดับสากล โดยมีกำหนดจัดระหว่างวันที่ 25–28 สิงหาคม 2025 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ และโรงภาพยนตร์เฮ้าส์ สามย่าน ชั้น 5

ปีนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผนึกกำลังกับ 5 สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย เชิญผู้ประกอบการจากต่างประเทศกว่า 60 บริษัท จาก 12 ตลาดเป้าหมายทั่วโลก ได่แก่ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน ฝรั่งเศส ฮ่องกง มาเลเซีย เกาหลี เวียดนาม อินเดีย อินโดนีเซีย และสหราชอาณาจักร เข้าร่วมเจรจาการค้ากับผู้ประกอบการไทยจำนวน 87 บริษัท โดยตั้งเป้าจับคู่เจรจาการค้ากว่า 550 คู่ คาดการณ์สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 950 ล้านบาท งานนี้ยังได้รับความสนใจจากบริษัทระดับโลกมากมายที่ตอบรับเข้าร่วม อาทิ IMG Licensing (สิงคโปร์) Kenelephant (ญี่ปุ่น) Kotobuki Solution (ญี่ปุ่น) Light (ฝรั่งเศส) Marza Animation Planet (ญี่ปุ่น) OLM Digital (ญี่ปุ่น) Sacrebleu Productions (ฝรั่งเศส) The Pinkfong Company (เกาหลีใต้) Virtuos (สิงคโปร์) Warner Bros. Discovery (สิงคโปร์) Wildbrain CPLG (สหราชอาณาจักร) เป็นต้น   

DITP ได้รับความร่วมมือกับพันธมิตรหลักทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยหน่วยงานร่วมขับเคลื่อน โดยหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (TCEB), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA) และหน่วยงานภาคเอกชน ได้แก่ สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT), สมาคมอีเลิร์นนิ่งแห่งประเทศไทย (e-LAT), สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA), สมาคม Bangkok ACM SIGGRAPH (BASA) และสมาคมผู้ประกอบการ
แอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) ทำให้งาน BIDC 2025 เตรียมเปิดประสบการณ์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น ผ่านกิจกรรมที่ช่วยยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยอย่างรอบด้าน

นอกจากการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) และกิจกรรมสร้างเครือข่าย (Business Networking) ตลอด 2 วันเต็มแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ นิทรรศการ (Showcase) ซึ่งเปิดโอกาสให้สตูดิโอไทยได้นำเสนอผลงานและบริการต่อผู้ซื้อและพันธมิตรทางธุรกิจจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ สัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก งานประกาศรางวัล BIDC Awards ประจำปี 2025 เพื่อยกย่องผลงานสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการดิจิทัลคอนเทนต์ไทยที่มีความโดดเด่นตลอดปีที่ผ่านมา รวมถึง กิจกรรมนำเสนอผลงาน (Pitching) และการฉายภาพยนตร์แอนิเมชัน (Screening) ทั้งนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปและผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมได้อย่างใกล้ชิด
เพื่อสร้างประสบการณ์และเปิดมุมมองใหม่ในวงการดิจิทัลคอนเทนต์ไทย

ปีนี้ยังได้ขยายความร่วมมือสู่ระดับนานาชาติ โดยมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจากต่างประเทศ ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์เข้าร่วม อาทิ TAICCA (Taiwan Creative Content Agency), MDEC (Malaysia Digital Economy Corporation), สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย, สถาบันส่งเสริมวัฒนธรรมฝรั่งเศสประจำประเทศเวียดนาม (Institut Français du Vietnam) และสมาคม FranceVFX”

“BIDC 2025 ยังถือเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ของรัฐบาล ที่มุ่งผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยใช้อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางดิจิทัลคอนเทนต์ของเอเชีย” อย่างเป็นรูปธรรม” นางสาวสุนันทา กล่าวสรุป

ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลการจัดงานได้ที่

https://www.facebook.com/bidc.fest

สตาร์มาร์ค ยกขบวนโซลูชัน “แต่งบ้านทั้งหลังให้เป็นคุณ” นำเทรนด์ดีไซน์ใหม่ อวดโฉมในงาน “บ้านและสวนแฟร์ Midyear 2025”

สตาร์มาร์ค ผู้นำด้านการออกแบบและผลิตเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน เดินหน้าตอกย้ำแบรนด์หัวแถวที่ลูกค้าไว้วางใจจากแนวคิด PERSONALIZED INTERIOR SOLUTIONS แต่งบ้านทั้งหลังให้เป็นคุณ ร่วมงาน “บ้านและสวนแฟร์ Midyear 2025” ปล่อยนวัตกรรมรุกตลาดพรีเมียมในไอเดียสร้างเทรนด์ Stylish Functional and Sustainable Furniture แต่งบ้านปลอดภัย ปราศจากสารพิษและสารก่อภูมิแพ้ คัดสรรวัสดุคุณภาพสูง ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เปิดตัวดีไซน์ใหม่พร้อมสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ตัวตนและไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ ในระหว่างวันที่ 1-10 สิงหาคม 2568 ณ ไบเทคบางนา

นางสาวณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด กล่าวว่า สตาร์มาร์ค เป็นแบรนด์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและผลิตเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินมากว่า 43 ปี จนสร้างความไว้วางใจจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ บ้านเดี่ยว คอนโด และโรงแรมระดับไฮเอนด์ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยการทำงานในคอนเซ็ปต์ “PERSONALIZED INTERIOR SOLUTIONS” หรือ “แต่งบ้านทั้งหลังให้เป็นคุณ” ที่มุ่งออกแบบพื้นที่ให้สะท้อนทั้งตัวตนและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยอย่างลงตัว

โดยในปี 2568 นี้ สตาร์มาร์ค จะตอกย้ำความเป็นแบรนด์ชั้นนำ ด้วยการอวดโฉม Infinite Kitchen Design ชุดครัวสไตล์โมเดิร์น รุ่น ARLANDO (ออแลนโด้) ดีไซน์เหนือระดับและเรียบหรู สไตล์การออกแบบอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจากทางสตาร์มาร์ค ผสานความเรียบง่ายและความล้ำสมัยเข้าด้วยกัน จุดเด่นคือ Island ครัวยาว 3 เมตร ปิดผิวลามิเนตลายไม้ Umber Oregon Teak ที่เซาะร่อง เผยให้เห็นแกนไม้สีดำ และตู้กระจกใสสีชาทองรอบตัวเพิ่มความโปร่งโล่ง พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการใช้งาน อาทิ  Automatic Power Plug และ Wireless Charger ที่ฝังบนเคาน์เตอร์ท้อปหินควอทซ์ที่ดูแลรักษาง่าย ทนต่อรอยขีดข่วน หน้าบานผลิตด้วยกระจกซาตินพ่นทราย คลุมด้วยโทนสี Copper Gold และ Dark Beige ที่เพิ่มความหรูหราให้ครัวอย่างล้ำลึก

อีกทั้งยังมีไฮไลต์ที่ตอบโจทย์คนรักห้องแต่งตัว ด้วย Interior Closet System จากสตาร์มาร์ค ที่ออกแบบด้วยโทนสีครีมและน้ำตาล ใช้วัสดุพรีเมียม เช่น หน้าบานกระจกลายผ้าไหมเคลือบนิรภัย น้ำหนักเบา บาง แต่มีความแข็งแรงปลอดภัย พร้อมกรอบอลูมิเนียมลายไม้เทคโนโลยี Anodizing ทนทานสนิมและปลวก เสริมด้วยฟังก์ชัน Drawer Safe ลิ้นชักตู้เซฟที่กลมกลืนกับตู้เสื้อผ้า, ระบบไฟ LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ และ Closet Island ที่ตอบโจทย์การจัดเก็บเครื่องประดับอย่างเป็นระเบียบ

สตาร์มาร์ค ยังได้เสริมความครบครันที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเฟอร์นิเจอร์ ห้องทำงาน (Works Space) ออกแบบโดยคำนึงถึงบรรยากาศการทำงานที่สะดวกสบายและช่วยสร้างแรงบันดาลใจ โดยใช้ดีไซน์เรียบง่ายแต่ดูมีระดับในโทนสีสุขุม ชั้นวางด้านหลังปิดผิวด้วยวัสดุ PET – Eco Surfaces สีครีม ที่ปราศจากสารก่อภูมิแพ้ โลหะหนัก และชุดโต๊ะทำงานผลิตจากไม้ MFC เกรด E0 ปราศจากฟอร์มัลดีไฮด์ กันชื้น แข็งแรง และปลอดภัยต่อสุขภาพ ควบคู่กับเก้าอี้ทำงาน Ergonomic ที่ช่วยรองรับสรีระและเพิ่มความสบายในทุกอิริยาบถ ตอบโจทย์การทำงานในบ้านและออฟฟิศอย่างสมบูรณ์

นอกจากดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แล้ว สตาร์มาร์คคำนึงเรื่องของประโยชน์ใช้สอยที่ครบครัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่(Stylish Functional and Sustainable Furniture) ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังคัดสรรวัสดุเกรดพรีเมียมสร้างเทรนด์แต่งบ้านปลอดภัย ปราศจากสารพิษและสารก่อภูมิแพ้ ในงาน “บ้านและสวนแฟร์ Midyear 2025” ด้วยการเลือกใช้วัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม มาใช้ควบคู่กับการออกแบบที่ดูดีมีสไตล์ เช่น ไม้ E1 ที่มีค่าฟอร์มาลดีไฮด์ต่ำ ปลอดสารก่อมะเร็ง ไม่มีกลิ่นหรือสารระเหยตกค้าง และPET-ECO Surfaces วัสดุปิดผิวรีไซเคิลได้ ปราศจากโลหะหนักและฟอร์มัลดีไฮด์ พร้อมคุณสมบัติแอนตี้แบคทีเรีย ช่วยลดมลพิษในบ้านได้อย่างยั่งยืน

รวมถึงนวัตกรรม Interior Film ฟิล์มลามิเนตจากเกาหลีที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับโรงพยาบาลและโรงเรียน เหมาะสำหรับรีโนเวทเฟอร์นิเจอร์และผนัง ใช้ได้กับพื้นผิวเรียบหรือโค้งเกือบทุกประเภท ติดตั้งง่าย รวดเร็ว ไร้กลิ่น ไร้ฝุ่น มีลวดลายหลากหลายให้เลือกทั้งสีพื้น ลายไม้ ลายหิน ลายผ้า และสีเมทัลลิค รวมถึงผนังสำเร็จรูปหลายแบบ พร้อมรองรับมาตรฐานด้วยสัญลักษณ์ Eco LABEL ยืนยันความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทีม Interior Consultant ให้คำปรึกษาและดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการจัดวางพื้นที่สำหรับเฟอร์นิเจอร์ทุกประเภท ทั้งชุดครัว ห้องแต่งตัว ห้องน้ำ โถงต้อนรับ ตู้รองเท้า ตู้โชว์กระเป๋า ห้องทำงาน และเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน เพื่อโซลูชันการตกแต่งบ้านที่ครบถ้วนและลงตัว

พบกับไอเดียแต่งบ้านทั้งหลังที่เป็นคุณ ด้วยหลากหลายนวัตกรรมจากสตาร์มาร์ค ที่งาน “บ้านและสวนแฟร์ Midyear 2025” บูท STARMARK K78-82 และ K99-103 เสาที่ 11 ฮอลล์ 103 ระหว่างวันที่ 1-10 สิงหาคม 2568 ณ ไบเทคบางนา พร้อมโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะในงาน รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.starmark.co.th หรือ Facebook:starmarkinterior โทร. 02-102-2629

5 สมาคมด้านดิจิทัลคอนเทนต์ จับมือภาครัฐยกระดับ “บางกอกอินเตอร์เนชันแนล ดิจิทัลคอนเทนต์ เฟสติวัล 2025”สู่ THAILAND: ASIA’S DIGITAL CONTENT DESTINATION

ใกล้เข้ามาทุกทีสำหรับโครงการ บางกอกอินเตอร์เนชันแนล ดิจิทัลคอนเทนต์ เฟสติวัล 2025 (Bangkok International Digital Content Festival 2025) ปีที่ 12 ที่มุ่งยกระดับจาก “งานเทศกาล” สู่ “THAILAND: ASIA’S DIGITAL CONTENT DESTINATION” ด้วยการรวมกิจกรรมด้านดิจิทัลคอนเทนต์ไว้อย่างครบถ้วนภายในงานเดียว ทั้งการเจรจาการค้า การประกาศรางวัล BIDC AWARDS การสัมมนา–เสวนา การจัดแสดงภาพยนตร์ และการแสดงผลงานด้านดิจิทัลคอนเทนต์ ฯลฯ โดยจะจัดขึ้น ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ และโรงภาพยนตร์ House สามย่าน ระหว่างวันที่ 25 – 28 สิงหาคม 2568

นายสุมิตร สีมากุล นายกสมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ในฐานะผู้แทนภาคอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า “บางกอกอินเตอร์เนชันแนล ดิจิทัลคอนเทนต์ เฟสติวัล หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘บีไอดีซี’ (BIDC) จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 12 โดยในปีนี้เกิดจากความร่วมมือแบบบูรณาการของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP), กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ ด้านภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน (THACCA), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA), สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และหน่วยงานภาคเอกชน–อุตสาหกรรมด้านดิจิทัลคอนเทนต์ ได้แก่ สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT), สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA), สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA), สมาคมธุรกิจบางกอกเอซีเอ็มซิกกราฟ (BASA) และสมาคมอีเลิร์นนิงแห่งประเทศไทย (e-LAT)

รวมถึงในปีนี้ยังมีพันธมิตรจากต่างประเทศ อาทิ สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย, Institut Français du Vietnam, สมาคม France VFX, กระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศฝรั่งเศส  และ  Taiwan Creative Content Agency (TAICCA) จากไต้หวัน จะเดินทางมาลงนามบันทึกตกลงความร่วมมือในด้านต่าง ๆ”

สำหรับโครงการ Bangkok International Digital Content Festival หรือ BIDC 2025 ที่จะจัดขึ้นในปี 2568 มีเป้าหมายเพื่อ “ยกระดับ” จากงานเทศกาลให้กลายเป็น THAILAND: ASIA’S DIGITAL CONTENT DESTINATION โดยมีการเพิ่มพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการและผลงานสำหรับสตูดิโอไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการของตนต่อผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศ เปิดโอกาสให้เกิดการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) และขยายโอกาสทางการค้าสู่ตลาดโลก

นอกจากนี้ BIDC 2025 ยังให้ความสำคัญกับกิจกรรมสัมมนาและการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ในรูปแบบออนไซต์มากขึ้น โดยได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมาเป็นวิทยากร โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ชุมชน CG (CG Community) ผ่านการเรียนรู้ การฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ

กิจกรรมของ BIDC 2025 ในปีนี้มีความหลากหลาย อาทิ การเจรจาการค้า, การประกาศรางวัล BIDC AWARDS, การจัดนิทรรศการแสดงผลงานด้านดิจิทัลคอนเทนต์, การสัมมนา–เสวนา, การจัดแสดงภาพยนตร์, การนำเสนอผลงาน และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจด้านดิจิทัลคอนเทนต์  การจัดหางาน (Job Fair) ฯลฯ

โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 28 สิงหาคม 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ และโรงภาพยนตร์ House สามย่าน สามารถติดตามกำหนดการกิจกรรมได้ทาง Facebook: Bangkok International Digital Content Festival หรือที่ https://www.facebook.com/bidc.fest/?locale=th_TH

นอกเหนือจากนี้ ยังมีกิจกรรมสำคัญอีกหนึ่งรายการ คือ การประกาศรางวัลด้านดิจิทัลคอนเทนต์ “BIDC AWARDS” เพื่อยกย่องผลงาน บุคคล และสตูดิโอที่มีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ ในสาขาต่าง ๆ อาทิ แอนิเมชัน วิชวลเอฟเฟกต์ เกม สื่อการสอน คาแรกเตอร์ ฯลฯ รวมถึงมีรางวัล RISING STAR ซึ่งเป็นเวทีสำหรับนักสร้างสรรค์หน้าใหม่ด้านดิจิทัลคอนเทนต์ โดยกิจกรรมนี้จะช่วยเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับบุคลากรในอุตสาหกรรมเกม แอนิเมชัน และอุตสาหกรรมการพิมพ์ เพื่อการส่งออกสู่ตลาดสากล

โดยเปิดรับสมัครผลงาน 4 สาขา ได้แก่ แอนิเมชัน, ออกแบบคาแรกเตอร์, เกม และออกแบบภาพประกอบ จากนิสิต นักศึกษา หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ อายุระหว่าง 18 – 35 ปี เพื่อร่วมชิงโล่รางวัล เงินรางวัล และประกาศนียบัตร พร้อมโอกาสในการนำเสนอผลงานต่อผู้ประกอบการไทยและต่างชาติภายในโครงการ BIDC 2025

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนสมัคร RISING STAR ได้ที่
https://forms.gle/HfeTx7oSYZPQAb3N9
ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2568
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 081-459-1651, 061-991-6154

สคส. เข้มเดินหน้าบังคับใช้ PDPA ลงโทษปรับหน่วยงานที่ปล่อยข้อมูลประชาชนรั่วไหล ไม่เว้นทั้งภาครัฐ-ภาคเอกชน

 ในรอบปีงบประมาณ พ.ศ.2568 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ภายใต้การกำกับของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และบริษัทผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งไม่จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม รวม 5 เรื่อง 8 คำสั่ง ต่อเนื่องจากในรอบปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ซึ่งได้เคยมีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองมาแล้ว 1 เรื่อง 1 คำสั่ง รวมตั้งแต่บังคับใช้ PDPA มามีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไปแล้ว 6 เรื่อง 9 คำสั่ง โดยมีมูลค่ารวมของโทษปรับทั้งสิ้นกว่า 21.5 ล้านบาท

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า ประเทศไทยได้บังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่สำคัญอย่างยิ่งในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในยุคดิจิทัล รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการผลักดันกลไกการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในกรณีที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลสำคัญของประชาชนจำนวนมากแต่ไม่จัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเพียงพอ อันเป็นเหตุให้มิจฉาชีพอาจฉวยโอกาสเอาไปหลอกลวงประชาชน ซึ่งในรอบปี พ.ศ.2567 ได้เคยมีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไปหน่วยงานนึงแล้ว และต่อมาในรอบปี 2568 นี้ ได้มีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองกับหน่วยงานที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม PDPA อีก ซึ่งครั้งนี้มีหน่วยงานที่ถูกลงโทษปรับทางปกครองทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่หน่วยงานรัฐและเอกชนต้องตระหนักว่า การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไม่ใช่เพียงเรื่องของการบริหารจัดการภายใน แต่เป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นแค่แนวทางปฏิบัติ แต่เป็นข้อบังคับทางกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อความรับผิดชอบในการปกป้องและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน ไม่มีเว้นทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ยังย้ำว่า เป้าหมายของรัฐบาลในเรื่องนี้ชัดเจน คือ “ข้อมูลรั่วไหลต้องเป็นศูนย์” ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงแค่การลงโทษภายหลัง แต่ต้องมาจากการปรับระบบคิด การจัดการความเสี่ยง และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจข้อมูลส่วนบุคคลอย่างจริงจัง โดยในระยะต่อไป กระทรวงดิจิทัลฯ

จะร่วมกับ สคส. และภาคีเครือข่าย ดำเนินการ 3 ด้านหลัก ได้แก่ การส่งเสริมให้ทุกองค์กรมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) อย่างเป็นระบบ การพัฒนามาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศที่ทันสมัย และการรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในการรู้เท่าทันสิทธิของตนเอง

ด้าน พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เปิดเผยว่า การลงโทษในครั้งนี้เป็นผลจากกระบวนการตรวจสอบรวบรวมข้อเท็จจริง และพิจารณาของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญอย่างเป็นทางการ โดยมี 5 กรณีสำคัญที่เป็นอุทาหรณ์ให้ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเร่งปรับตัว ได้แก่ กรณีแรก เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานของรัฐรายหนึ่งที่ให้บริการประชาชนผ่านระบบออนไลน์ (Web App) ซึ่งถูกโจมตีและนำข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนกว่า 200,000 รายไปประกาศขายใน DARK Web โดยมิชอบ

จากการตรวจสอบพบว่า หน่วยงานรัฐดังกล่าวไม่ได้จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศอย่างเหมาะสม รวมถึงใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ ไม่มีการประเมินความเสี่ยงและไม่ได้ทบทวนมาตรการอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังละเลยการทำข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processing Agreement) กับบริษัทพัฒนาระบบที่ทำหน้าที่เป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

สำหรับบริษัทพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่มีการออกแบบมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยตั้งแต่ต้น ขาดระบบควบคุมการเข้าถึงข้อมูล ไม่มีการประเมินความเสี่ยง และแม้จะไม่ได้รับข้อตกลง DPA จากหน่วยงานภาครัฐ แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูล จึงเข้าข่ายความผิดในฐานะผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมาย คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 3 จึงมีคำสั่งปรับหน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชนดังกล่าว เป็นเงินทั้งสิ้นหน่วยงานละ 153,120 บาท

อีกหนึ่งกรณีที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งปรากฏภาพถุงขนมโตเกียวที่ทำจากเอกสารเวชระเบียนของผู้ป่วย ถูกเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย และจากการตรวจสอบพบว่ามีเอกสารเวชระเบียนของผู้ป่วยหลุดไปกว่า 1,000 ฉบับ ในขั้นตอนการส่งทำลายเอกสาร ซึ่งโรงพยาบาลดังกล่าวได้ทำข้อตกลงกับกิจการขนาดเล็กซึ่งมีลักษณะเป็นธุรกิจครอบครัวให้ทำหน้าที่ทำลายเอกสารเวชระเบียน แต่ไม่ได้มีการติดตาม ควบคุม หรือตรวจสอบกระบวนการให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ส่งผลให้เอกสารสำคัญซึ่งเป็นข้อมูลสุขภาพอันเป็นข้อมูลส่วนบุคคลประเภทอ่อนไหวตามมาตรา 26 รั่วไหลสู่ภายนอก โดยไม่ได้มีการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้องตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ในส่วนของเอกชนบุคคลธรรมดาผู้รับจ้างทำลายเอกสาร ก็ได้นำเวชระเบียนที่ได้รับจากโรงพยาบาลกลับไปพักไว้ที่บ้านของตนเอง โดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ตกลงไว้ และไม่ได้แจ้งเหตุการรั่วไหลให้โรงพยาบาลทราบ จึงเข้าข่ายเป็นการไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ประมวลผลข้อมูลอย่างชัดเจน คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 4 จึงมีมติลงโทษปรับโรงพยาบาลดังกล่าวเป็นเงิน 1,210,000 บาท และปรับบุคคลธรรมดาผู้เป็นผู้ประมวลผลข้อมูลอีก 16,940 บาท รวมเป็นมูลค่า 1,226,940 บาท

ส่วนอีก 3 กรณี เป็นกรณีที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนรั่วไหลจากหน่วยงานเอกชนซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการค้าส่ง ค้าปลีกและสินค้าออนไลน์ และมีผู้เสียหายร้องเรียน อันอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญคณะที่ 2 โดยกรณีที่ 1 เกิดจากหน่วยงานขายเครื่องและอุปกรณ์คอมฯไม่จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม ไม่แจ้งเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลแก่ สคส. ตามกฎหมาย

และเป็นหน่วยงานที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอด้วยเหตุที่มีข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากแต่ไม่จัดให้มีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวม 3 ข้อหา คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญคณะที่ 2 จึงมีคำสั่งลงโทษปรับ 7 ล้านบาท กรณีที่ 2 เกิดจากหน่วยงานขายเครื่องสำอางไม่จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม และไม่แจ้งเหตุการละเมิดของมูลส่วนบุคคลแก่ สคส.ตามกฎหมาย รวม 2 ข้อหา คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญคณะที่ 2 จึงมีคำสั่งลงโทษปรับ 2.5 ล้านบาท และกรณีที่ 3 เกิดจากหน่วยงานขายของเล่นสะสม ไม่จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญคณะที่ 2 จึงมีคำสั่งลงโทษปรับหน่วยงานผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล 5 แสนบาท และลงโทษปรับหน่วยงานผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล 3 ล้านบาท

พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวอีกว่า 5 กรณีนี้ถือเป็นสัญญาณชัดเจนถึงทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องว่า การจัดการข้อมูลส่วนบุคคลไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคนิคหรือเอกสาร แต่คือความรับผิดชอบที่ต้องมีมาตรฐานด้านความปลอดภัย การประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ และกลไกการกำกับติดตามที่โปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิของประชาชนอย่างไม่อาจแก้ไขได้

ทั้งนี้ สคส. อยู่ระหว่างพิจารณากรณีอื่น ๆ อีกจำนวนมาก และจะเร่งดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมขับเคลื่อนแนวทางป้องกันเชิงรุก เพื่อให้เป้าหมาย “ข้อมูลรั่วไหลต้องเป็นศูนย์” กลายเป็นเป้าหมายสำคัญของทุกองค์กรในสังคมไทย

หากประชาชนหรือผู้ประกอบการมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือต้องการแจ้งเหตุอันอาจละเมิดสิทธิ สามารถติดต่อ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)

โทร. 02-111-8800 หรือทางอีเมล saraban@pdpc.or.th

“โฮมโปร” ปรับเกมรุก – รับมือเศรษฐกิจแผ่วด้วย Hybrid Store และบริการครบวงจร

บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 โดยมีกำไรสุทธิ 1,398.55 ล้านบาท ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและยอดขายสินค้าโดยรวม อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์เชิงรุกในทุกช่องทางการขาย ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ เพื่อรักษาศักยภาพในการแข่งขัน “เอ็มดีโฮมโปร” ย้ำ เรายังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทฯ มีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนเพียง 0.61 เท่า จากการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ และมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 23.75% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม แม้ในสภาวะที่ท้าทาย

นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,398.55 ล้านบาท แม้เผชิญกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนฤดูร้อนที่สั้นกว่าปกติซึ่งส่งผลต่อยอดขายกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าทำความเย็น แต่ HMPRO ยังคงสามารถรักษาความแข็งแกร่งของธุรกิจไว้ได้อย่างมั่นคง ด้วยการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับกลยุทธ์ในเชิงรุกทั้งออฟไลน์และออนไลน์

“ไตรมาสนี้ถือเป็นบททดสอบที่สำคัญของธุรกิจค้าปลีก เราต้องรับมือทั้งกำลังซื้อที่ชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และผลกระทบจากฤดูร้อนที่สั้นลงกว่าทุกปี ซึ่งส่งผลต่อยอดขายสินค้าทำความเย็นโดยตรง อย่างไรก็ตาม โฮมโปรยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนและดำเนินแผนกลยุทธ์ในเชิงรุกได้อย่างต่อเนื่อง จึงยังคงรักษาผลกำไรในระดับที่น่าพอใจ และตอกย้ำความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจที่เรามี” นายวีรพันธ์กล่าว

รายได้รวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ 17,456.81 ล้านบาท ลดลง 5.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 4.42% สะท้อนการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกันนี้ รายได้จากค่าเช่ายังขยายตัว 3.72% จากการบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าและสาขาที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว

ในด้านกลยุทธ์ นายวีรพันธ์กล่าวว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการใช้พื้นที่ขายอย่างคุ้มค่าผ่านโมเดล Hybrid Store ควบคู่กับการยกระดับบริการ CHANG HomePro ให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เช่น HomePro Super Expo และ Double Day ซึ่งช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มความถี่ในการเข้าชมทั้งหน้าร้านและออนไลน์

“เรายังคงยึดหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที และที่สำคัญคือ เรายังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งผ่านการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนเพียง 0.61 เท่า อีกทั้งยังมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 23.75% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม แม้ในสภาวะที่ท้าทาย

นายวีรพันธ์ ยังกล่าวเสริมว่า ในระยะสั้น บริษัทฯ ยอมรับว่ายังต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่อ่อนแรง อย่างไรก็ตาม จากโครงสร้างธุรกิจที่มั่นคง ระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ทำให้ HMPRO ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นค้าปลีกคุณภาพ ที่นักลงทุนสามารถพิจารณาเก็บเข้าพอร์ตได้ในจังหวะที่ราคายังไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริง

“เรามั่นใจว่า เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โฮมโปรจะสามารถกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว เพราะเราได้วางรากฐานธุรกิจไว้อย่างรอบด้าน ทั้งในด้านสินค้า บริการ พื้นที่ขาย และการดูแลลูกค้า” นายวีรพันธ์กล่าวสรุป

LOAN DD ครึ่งปีแรกโตสวนเศรษฐกิจ ยอดปล่อยกู้ทะลุ 500 ล้านบาทเตรียมเร่งสปีดครึ่งปีหลัง เจาะอสังหาฯราคาเข้าถึงง่าย พร้อมขยายเครือข่ายนักลงทุน-เอเจนท์ทั่วประเทศ

แม้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ LOAN DD ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ ขายฝากจำนองอสังหาริมทรัพย์ กลับโชว์ฟอร์มแรงสวนกระแส ด้วยยอดปล่อยกู้สะสมทะลุ 500 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนของเจ้าของทรัพย์และการเข้าถึงบริการสินเชื่อทางเลือกที่ไม่ยุ่งยาก ส่งผลให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี 2568 พร้อมตั้งเป้าปล่อยกู้ครึ่งปีหลังอีก 700 ล้านบาท

นายวรวุฒิ กิตติอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โลนด์ ดีดี จำกัด (LOAN DD) เปิดเผยว่า “เพียงไตรมาสแรกของปีนี้ LOAN DD มียอดติดต่อสอบถามจากลูกค้ามากกว่า 200–300 รายต่อวัน และสามารถปล่อยสินเชื่อสะสมไปแล้วกว่า 300 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสสองยังเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ยอดรวมครึ่งปีแรกทะลุ 500 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ในช่วงเปิดตัวธุรกิจ”

สำหรับ เป้าหมายในครึ่งปีหลัง LOAN DD วางแผนปล่อยกู้รวมไม่ต่ำกว่า อีก 700 ล้านบาท และตั้งเป้าเพิ่มฐานลูกค้าใหม่จากกลุ่มเจ้าของทรัพย์รายย่อย และนักลงทุนที่ต้องการปรับพอร์ตจากตลาดการเงิน มาสู่สินทรัพย์มีหลักประกันที่ให้ผลตอบแทนมั่นคง โดยมองว่าทรัพย์ประเภท “บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม” ราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท  ยังคงมีดีมานด์สูงและเป็นตลาดที่เข้าถึงง่าย

“แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่เรามองเห็นโอกาสจากความต้องการใช้เงินสดในภาคครัวเรือนและธุรกิจ SME ที่ยังขาดแหล่งทุนด่วน เราจึงมั่นใจว่าครึ่งปีหลังจะสามารถเติบโตตามเป้าได้อย่างแน่นอน” นายวรวุฒิ กล่าว

ในช่วงครึ่งปีหลัง LOAN DD เตรียม งัดไม้เด็ด3 กลยุทธ์หลัก ในครึ่งปีหลัง ได้แก่

  1. ขยายเครือข่ายเอเจนท์ (Agent) ทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงทรัพย์หลากหลายประเภท
  2. เฟ้นหาพันธมิตรทางการเงิน ที่พร้อมร่วมลงทุน สนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน
  3. จัดสัมมนานักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความเข้าใจและสร้างความมั่นใจในการลงทุนในสินทรัพย์แบบขายฝาก

นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับ Advance Appraisal บริษัทประเมินทรัพย์มืออาชีพที่ผ่านการรับรองจาก ก.ล.ต. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยยึดหลัก “ปลอดภัย ได้ผลตอบแทนจริง ไม่ติดมือ” ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญของ LOAN DD ในตลาดนี้

นายวรวุฒิ กล่าวต่อไปว่า จากฐานข้อมูลลูกค้าและรายการทรัพย์ที่เข้าระบบ พบว่า ทรัพย์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ ที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยเฉพาะบ้านในโครงการจัดสรรของบริษัทมหาชน ซึ่งเป็นทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง นักลงทุนจึงให้ความสนใจ และมักเป็นตัวเลือกแรกในการปล่อยกู้

เจ้าของทรัพย์หลายรายต้องการเงินด่วนไปใช้ทำธุรกิจ หรือมีภาระหนี้นอกระบบ ซึ่งไม่สามารถขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้อีกแล้ว LOAN DD จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้จริง โดยดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.75% ต่อเดือน หรือ 9% ต่อปี และสามารถอนุมัติและรับเงินภายใน 2–3 วันนายวรวุฒิ กล่าวย้ำ

แม้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกจะเผชิญกับปัจจัยลบทั้งจากในและต่างประเทศ ทั้งภาวะดอกเบี้ยสูง หนี้ครัวเรือนที่พุ่งขึ้น และกำลังซื้อที่ชะลอลง แต่ LOAN DD มองว่าเป็นโอกาสมากกว่าปัญหา เพราะความต้องการเงินทุนหมุนเวียนมีมากขึ้น ขณะที่ระบบธนาคารเข้มงวดขึ้นในเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อ

“เราไม่เช็กเครดิตบูโร ไม่ดูการเดินบัญชี ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ามีทางออกในยามจำเป็น ขณะเดียวกันนักลงทุนก็ได้ทรัพย์ที่มีความมั่นคงและผลตอบแทนดี เป็นโมเดลธุรกิจที่ Win-Win ทุกฝ่าย LOAN DD ย้ำจุดยืน ไม่ยึดทรัพย์ มุ่งเน้นทำธุรกิจบนความซื่อตรง โปร่งใส และเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีแผนสร้างระบบติดตามลูกค้า และการต่อสัญญาหลังครบกำหนด เพื่อรักษาความสัมพันธ์และลดความเสี่ยงในระยะยาว” นายวรวุฒิ กล่าวปิดท้าย

สำหรับผู้ที่ต้องการคำปรึกษาด้านการเงิน ต้องการขายฝาก จำนองที่ดิน บ้าน คอนโด หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ สามารถติดต่อ LOAN DD ได้ที่ โทร. 081-638-6966 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.loandd.co.th และ Line ID: @loan_dd

“ทุกหัวใจมีคุณค่า”  ซูเลียน ส่งต่อโอกาส สร้างอนาคตใหม่ให้เยาวชนพิเศษ เติมพลังชีวิตให้น้อง ๆ ด้วยหัวใจ

บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงเดินหน้าทำสิ่งดี ๆ ให้กับสังคมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด          จัดกิจกรรมเยี่ยมชมและสนับสนุน “ศูนย์ฝึกอาชีพปัญญาคาร” ภายใต้มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ พร้อมมอบเงินบริจาคจำนวน 100,000 บาท และกระเช้าผลิตภัณฑ์ซูเลียน     เพื่อสนับสนุนการฝึกอาชีพและพัฒนาศักยภาพของเยาวชนที่มีความต้องการพิเศษ ให้สามารถเติบโตและดูแลตัวเองได้ในอนาคต

บรรยากาศภายในศูนย์ฯ เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง ตั้งแต่ช่วงเช้าที่คณะผู้บริหารซูเลียนเดินทางถึงศูนย์ฯ โดยมี พ.ต.อ.หญิง รัชณีย์กร เทศมณี ผู้จัดการศูนย์ฝึกอาชีพปัญญาคาร, คุณกันยา ไชยเศรษฐ์ ประธานศูนย์ฝึกอาชีพฯ และ ดร.สายสม วงศาสุลักษณ์ ประธานมูลนิธิฯ ให้การต้อนรับอย่างเป็นทางการ พร้อมพาเยี่ยมชมพื้นที่เรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งห้องฝึกอาชีพ ห้องเรียนทักษะชีวิต และพื้นที่สำหรับกิจกรรมสร้างสรรค์ ที่น้อง ๆ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าชื่นชม

ทีมงานซูเลียนได้ร่วมกิจกรรมอย่างใกล้ชิดกับน้อง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยกันเตรียมอาหารกลางวัน จับมือปั้นขนมไทยอย่างสนุกสนาน หรือช่วยสอนการจัดเรียงสินค้าในห้องฝึกวิชาชีพ ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากทั้งเด็ก ๆ และทีมผู้บริหาร กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแค่สร้างความสุขในวันนั้น แต่ยังสร้างความมั่นใจให้กับน้อง ๆ ว่าตนเองก็มีคุณค่าและความสามารถไม่แพ้ใคร

หลังรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน เด็ก ๆ ได้แสดงโชว์พิเศษต้อนรับแขกคนสำคัญอย่างน่าประทับใจ ตั้งแต่การเต้นประกอบเพลงไปจนถึงการรำไทยที่แสดงออกถึงความตั้งใจและความสามารถที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ซึ่งสร้างรอยยิ้มและความซาบซึ้งใจให้กับทุกคนที่มาร่วมงานอย่างล้นหลาม

ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานกรรมการ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ซูเลียนให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นใครหรือมีข้อจำกัดแบบใด เราเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพและสามารถเติบโตได้ถ้าได้รับโอกาสที่เหมาะสม กิจกรรมครั้งนี้คือสิ่งที่เราภูมิใจมาก เพราะได้มีส่วนสนับสนุนให้น้อง ๆ มีทักษะชีวิต มีอาชีพ และมีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า”

“ซูเลียน” ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อสังคม ทั้งในด้านการศึกษา สุขภาพ และการส่งเสริมโอกาสที่เท่าเทียม เพื่อร่วมกันสร้างสังคมไทยให้แข็งแรง อบอุ่น และยั่งยืนต่อไป