Bangkok Auto Salon 2025 จัดเต็ม! Unbox Car รถแต่งระดับโลก 5 คัน พร้อมโชว์ครั้งแรกในไทย

กลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งกับงาน “Bangkok Auto Salon 2025”มหกรรมรถแต่งและอุปกรณ์แต่งรถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน จัดขึ้นเป็นปีที่ 11 โดยเฉพาะไฮไลท์สุดเอ็กซ์คลูซีฟกับการ Unbox รถแต่งระดับตำนานที่ได้รับรางวัลจากญี่ปุ่นจำนวน 5 คัน เผยโฉมครั้งแรกในประเทศไทย! เอาใจแฟนพันธุ์แท้สายแต่งและคาร์คัลเจอร์โดยเฉพาะ งานจัดเต็มตลอด 5 วัน ระหว่างวันที่ 27 – 31 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้า ไบเทค บางนา ฮอลล์ 100

ในปีนี้ Bangkok Auto Salon 2025 ได้นำรถแต่งระดับตำนานของสำนักแต่งชั้นนำจากญี่ปุ่น ยกทัพมาสร้างความเร้าใจในเมืองไทย ทั้งหมด 5 คัน ถือได้ว่าเป็นไฮไลท์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของงานในปีนี้ รถแต่งทั้ง 5 คันมาจากสำนักแต่งชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น RE Amemiya, KUHL Racing, N’s Stage, Top Secret และ Max Orido แต่ละคันผ่านการโมดิฟายขั้นสุด พร้อมดีไซน์ที่บ่งบอกเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นสไตล์สนาม ดริฟต์ แคมป์ปิ้ง หรือโชว์คาร์เต็มรูปแบบ

1.Toyota Supra KUHL Racing 90R-GTWR Spec-D Wide ผลงานมาสเตอร์พีซจากสำนักแต่งญี่ปุ่นระดับโลก “KUHL Racing” กับ Toyota Supra A90 รุ่น 90R-GTWR ที่แปลงโฉมเต็มขั้นในสไตล์ Wide Body สุดล้ำสมัย ตัวรถมาพร้อมชุดแอโร่คิท “SPEC-D WIDE” รอบคัน ที่ดีไซน์อย่างเฉียบคมลงตัวตั้งแต่กันชนหน้าถึงโป่งซุ้มล้อขนาดใหญ่ ตอกย้ำเอกลักษณ์สายโหดแต่หรู

ล้อที่ใช้เป็น VERZ-KRONE KR04 ขนาด 19×11.5J -55 ด้านหน้า และ 19×12.5J -33 ด้านหลัง หุ้มด้วยยาง ADVAN NEOVA ขนาด 295/30R19 (หน้า) และ 305/30R19 (หลัง) ด้านท้ายติดตั้งท่อไอเสียแต่งพิเศษแบบ 4 ท่อปลายคาร์บอนเพิ่มเสียงคำรามที่เร้าใจทุกครั้งที่กดคันเร่ง

KUHL 90R-GTWR คันนี้ไม่ใช่แค่รถแต่งธรรมดา แต่มันคือ “งานศิลป์บนสี่ล้อ” ที่สายโชว์ทั่วโลกต่างให้การยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน Supra ที่ล้ำและดุดันที่สุดในวงการ

2.Mazda RX-7 RE Amemiya POP RACE SuperG-7 รถโชว์สายดริฟต์สุดร้อนแรงจากตำนานแห่งวงการ โรตารี่ “RE Amemiya” กับ POP RACE SuperG-7 ที่มาพร้อมคาแรคเตอร์จัดเต็มในสนามแข่งขัน ตัวถังเสริมหล่อด้วยชุดแต่ง RE Amemiya D1 Wide Body Kit และ GT-Wing Swan Neck รุ่นใหม่ล่าสุด สไตล์สนามพันธุ์แท้

ด้านขุมพลังวางเครื่องโรตารี่โมดิฟายด์พิเศษ RE Amemiya SIDE PORT E/G เสริมพลังด้วยเทอร์โบ           JP B640X, กล่อง LINK ECU และชุดเกียร์ LEVEL MAN TA SPL ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ติดล้อ ENKEI NVR5 Sonic Silver หน้า 10.5J และหลัง 10.5K ขอบ 18 นิ้ว พ่วงยางสมรรถนะสูง SHIBATIRE R50 ขนาด 295/30-18 รอบคัน

ภายในจัดเต็มความเป็นเรซซิ่งด้วยเบาะ BRIDE ZETA IV เวอร์ชันพิเศษ RE Amemiya & POP พร้อมพวงมาลัยแต่ง RE AMEMIYA Original D เพื่อควบคุมทุกโค้งบนสนามอย่างมั่นใจ คันนี้คือคำตอบของคำว่า “โชว์ก็ได้ แข่งก็มันส์” อย่างแท้จริงจาก RE Amemiya

3.Suzuki Jimny N’s Limited IronmanCamper by N’s STAGE สายลุยสายแคมป์ต้องห้ามพลาด! กับ “N’s LIMITED IRONMANCAMPER” ผลงาน Custom Base จากสำนัก N’s STAGE ที่ออกแบบมาเพื่อการผจญภัยโดยเฉพาะ พื้นฐานคือ Suzuki Jimny 5 ประตูที่แปลงโฉมเป็นรถแคมป์เต็มระบบ ติดตั้งหลังคา    Pop-Up แบบมีเต็นท์ในตัว ยกสูงพร้อมล้อ OWORK CRAG GALVATRE 2 ขนาด 8.0Jx16 (หน้า) และ 6.0Jx16 (หลัง) จับคู่ยาง All Terrain พร้อมลุยทุกสภาพทาง

ภายในเปลี่ยนเบาะเป็น RECARO SR-C BK100H ที่นั่งสบาย รองรับการเดินทางไกล พร้อมพวงมาลัยก้านไม้แท้จาก REAL เพิ่มกลิ่นอายคลาสสิคและความหรูหรา ปิดท้ายด้วยท่อไอเสีย Hybrid First Gentle Muffler smart ที่ให้เสียงทุ้มไพเราะ ลงตัวกับบุคลิก IRONMANstyle แบบ HB1st ที่พร้อมออกลุยในทุกเส้นทาง

    4.Max Orido CIVIC Type-R อีกหนึ่งผลงานที่สะท้อนความหลงใหลในโลกมอเตอร์สปอร์ตของ “Max Orido” กับ Honda Civic Type-R โฉมล่าสุด ที่ได้รับการปรับลุคให้สปอร์ตจัดเต็ม ด้วยล้อ ADVAN Racing GT PV ขนาด 20×10+32 ทั้งหน้าและหลัง จับคู่กับยางสมรรถนะสูง ADVAN NEOVA AD09 ขนาด 265/30R20 ทุกล้อ เสริมความหล่อด้วยชุดตกแต่ง Max Orido Akea รอบคัน เติมกลิ่นอาย JDM สไตล์เรียบหรูลงตัว ถึงแม้พวงมาลัยและเบาะจะยังคงของเดิม (STD) แต่ความโหดภายนอกนั้นพร้อมชนทุกสายตาบนถนนและโชว์งาน

    5.ผลงานสุดแกร่งจากสำนัก “Top Secret” กับ Nissan GT-R R32 ที่ถูกปลุกชีพใหม่ในรหัส “32GTR Stealth” ด้วยเครื่องยนต์ที่โมดิฟายโดย “Top Secret Nagata” สร้างกำลังระดับ 500 แรงม้า ลูกสูบฟอร์จขนาด 86.5 มม. จาก HKS พร้อมเทอร์โบและคลัตช์ NISMO เสริมพาร์ทรอบคัน Top Secret G-FORCE สายพันธุ์ดุดัน ล้อ OZ FORGIATA GT ขนาด 18x10J+25 พร้อมยาง Bridgestone 275/35-18 ทั้งหน้าและหลัง พวงมาลัย Top Secret และท่อไอเสียสูตรเฉพาะแบบไทเทเนียม เติมความเข้มขั้นสุดให้กับ R32 คันนี้ในสไตล์ Street & Track ที่แท้จริง

    นอกจากการจัดแสดงรถแต่งระดับโลก 5 คันแล้ว ในงาน Bangkok Auto Salon 2025 ยังเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของไทยที่รวบรวมเจ้าของสำนักแต่งรถระดับตำนานจากญี่ปุ่นถึง 5 ท่าน ซึ่งเป็นการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการแต่งรถเมืองไทย มาให้แฟน ๆ จะมีโอกาสใกล้ชิดกับตำนานระดับโลก

    ภายในงานยังมีกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการโชว์รถแต่งจากค่ายชั้นนำ การจำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถ  กิจกรรมเร้าใจสำหรับคนรักรถแต่ง เช่น Track Club Race การแข่งขันวัดเวลาใช้ต่อรอบที่น้อยที่สุด และ Car Parade อวดโฉมรถแต่งคันเท่ อีเวนต์สุดมันส์จากเหล่าคนดังสายคาร์คัลเจอร์ และโปรโมชั่นพิเศษตลอดงาน นี่คือ การยกระดับ งานแสดงรถแต่งที่เหนือชั้นและครบวงจรที่สุดในภูมิภาคที่ Bangkok Auto Salon 2025 พร้อมต้อนรับทุกคนให้มาสัมผัส ระหว่างวันที่ 27 – 31 สิงหาคม 2568 ณ ไบเทค บางนา ฮอลล์ 100 วันพุธ-ศุกร์ เวลา 12.00 – 21.30 น. และวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00 – 21.30 น. บัตรเข้าชมราคา 100 บาท สามารถซื้อบัตรล่วงหน้าได้ทางออนไลน์ https://www.thaiticketmajor.com

    ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:

    Website: https://bangkokinternationalautosalon.com/ 

    Facebook: Bangkok International Auto Salon         

    YouTube: Bangkokautosalon

    Instagram: @bangkokautosalon_official                 

    TikTok: @bangkokautosalon

    ถิรไทย ฉลองครบรอบ “38 ปี พร้อมสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาโรงเรียนคลองบางปู สมุทรปราการ

    นายสัมพันธ์  วงษ์ปาน ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน)จัดกิจกรรม “38 ปี แห่งการเติบโต เคียงข้างสังคมไทย” เนื่องในโอกาสครบรอบการก่อตั้งบริษัทฯ ตอกย้ำเจตนารมณ์ “38 ปี ที่เราไม่เพียงแค่สร้างพลังงาน แต่สร้างสังคมที่น่าอยู่ อย่างยั่งยืน” ผ่านการลงมือทำกิจกรรมเพื่อสังคม โรงเรียนประถมศึกษาในท้องถิ่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการศึกษาในระดับชุมชน พร้อมมอบหนังสือเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ โดยมี ด้วย นายอวยชัย  ศิริวจนา, นางคุณสุนันท์  สันติโชตินันท์ และ นายกานต์  วงษ์ปาน ร่วมกิจกรรมด้วย ณ โรงเรียนคลองบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อเร็วๆ นี้

    “Media ≠ Branding ≠ PR” แยกบทบาทชัด สังคมโปร่งใส เดินหน้าด้วยความจริง

    “สื่อ(Media) ,การสร้างแบรนด์(Branding) ,และการประชาสัมพันธ์ (PR) ควรทำงานแยกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้สังคมสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมีคุณภาพ และโปร่งใส”

    งานทั้ง 3 อาชีพนี้แม้จะดูเหมือนทำงานคล้ายกัน แต่มีเป้าหมายและหลักการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การสลับบทบาทกัน อาจนำไปสู่ความสับสนและลดทอนความน่าเชื่อถือในสังคมได้

    1. สื่อมวลชน (Media) ทำหน้าที่ ผู้เฝ้าระวังความจริงเป็นกระบอกเสียงของสังคมนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา รอบด้าน ตามหลักจริยธรรมของสื่อสารมวลชน (Journalistic Ethics) มุ่งเน้นการตรวจสอบ (Fact-checking) และการให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ยึดมั่นใน ความเป็นกลาง (Objectivity) และ ความน่าเชื่อถือ (Credibility) ไม่ใช่การสร้างภาพลักษณ์!!! แต่เป็นการสะท้อนความจริงที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ เป็นเหมือน “สุนัขเฝ้าบ้าน” (Watchdog) ของสังคม คอยตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ธุรกิจ หรือบุคคลสำคัญ เพื่อป้องกันการทุจริต และธำรงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของสาธารณะ

    2. การสร้างภาพลักษณ์องค์การ (Branding) หน้าที่หลักคือ การสร้างตัวตนและคุณค่า การสร้างแบรนด์คือกระบวนการทางยุทธศาสตร์ที่มุ่งสร้าง และจัดการภาพลักษณ์ ความรู้สึก คุณค่าขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่จดจำในใจของผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างความแตกต่าง และสร้างความผูกพันทางอารมณ์ การสร้างแบรนด์มีรากฐานมาจาก กลยุทธ์ทางการตลาด (Marketing Strategy) มุ่งเน้นที่การสื่อสาร คุณค่าหลัก (Core Value), วิสัยทัศน์ (Vision), และ เอกลักษณ์ (Identity) ของแบรนด์ เช่น โลโก้ สี สโลแกน และโทนเสียง การสร้างแบรนด์จะช่วยกำหนดว่าองค์การต้องการให้คนมองเห็น และรู้สึก

    3. การประชาสัมพันธ์ (Public Relations – PR) มีหน้าที่การจัดการความสัมพันธ์

    สร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) เพื่อสร้างความเข้าใจและทัศนคติเชิงบวก โดยใช้เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ เช่น ข่าวประชาสัมพันธ์, การจัดงานอีเวนต์, หรือการสร้างเนื้อหาเพื่อสื่อสารกับสาธารณชน เป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างองค์การกับสาธารณะ โดยมีเป้าหมายเพื่อ สร้างการยอมรับ และ ความน่าเชื่อถือ การประชาสัมพันธ์อาจใช้สื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูล แต่เนื้อหาจะถูกกรองและนำเสนอในมุมมองที่เอื้อประโยชน์ต่อองค์การ อย่างไรก็ตาม นักประชาสัมพันธ์มืออาชีพจะต้องยึดหลักความโปร่งใส และจริยธรรม เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในระยะยาว

    จะเห็นได้ว่า สื่อมวลชนรักษาหน้าที่ของตนในการนำเสนอความจริงซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะหากสื่อหันมาทำหน้าที่สร้างแบรนด์ หรือสร้างภาพลักษณ์ให้กับหน่วยงานใด ๆ โดยไม่มีการตรวจสอบ และถ่วงดุลอย่างเป็นกลาง ก็อาจนำไปสู่การบิดเบือนข้อมูล และการขาดความน่าเชื่อถือในที่สุด

    บทความโดย นางสาววีรินทร์ อรวัฒนพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC

    โฮมโปร จับมือพันธมิตรคู่ค้า มอบเงินบริจาค ให้กับศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จากโครงการ “HomePro Fun Walk 2025 – Walk For Heart”

    นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร
    จับมือพันธมิตรคู่ค้า มอบเงินจำนวน 2,200,000 บาท จากโครงการ “HomePro Fun Walk 2025 – Walk For Heart ทุกก้าวที่เดิน ก้าวเพื่อหัวใจ”ที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และในปีนี้บริจาคให้กับศูนย์โรคหัวใจ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยโดยมี นายขรรค์  ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย,
    ผศ.นพ.สมชาย ปรีชาวัฒน์ หัวหน้าศูนย์โรคหัวใจ และนางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย เป็นผู้รับมอบ โครงการ “HomePro Fun Walk 2025 – Walk For Heart ทุกก้าวที่เดิน ก้าวเพื่อหัวใจ”เล็งเห็นความสำคัญด้านสุขภาพของพนักงาน โดยการออกกำลังกายเดิน – วิ่งนับก้าว ผ่าน Wirtual แอปพลิเคชั่น พร้อมต่อยอดตอบแทนสังคม
    โดยแปลงจำนวนก้าวเป็นเงินบริจาค เพื่อนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจให้มีคุณภาพและทันสมัย เทียบเท่ามาตรฐานสากล พร้อมช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต
    ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย 

    #HomeProFunWalk2025 #WalkForHeart #HomeProfunwalk #ศูนย์โรคหัวใจ #โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์#สภากาชาดไทย #โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #Homepropr

    “แนะnow” เปิดซีซั่น 3 “อนาคตสดใส” แนะแนวสู่ห้องเรียนจริง พาเด็กไทยค้นจุดแข็ง วางแผนอนาคตไม่หลงทาง

    แนะnow มัลติแพลตฟอร์มคอนเทนต์แนะแนวเยาวชนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และบริษัท ทูแฮนส์ จำกัด ผนึกสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เดินหน้าสู่ปีที่ 3 กับ “แนะnow อนาคตสดใส” พัฒนาเครื่องมือแบบวัดใหม่ “แบบวัดแนะนาว” ที่มุ่งหวังให้เยาวชนได้รู้จักตนเองง่าย ๆ ผ่านข้อคำถามสถานการณ์ใกล้ตัวแบ่งเป็น 4 บ้านพรสวรรค์ ด้วยการผสมผสานเครื่องมือช่วยค้นหาจุดแข็ง Clifton StrengthsFinder ของแกลลัพ ประเทศไทย กับแบบวัดบุคลิกภาพ เพื่อค้นหาแนวทางอาชีพที่เหมาะสม ของ Holland Codes (RIASEC) ฉบับภาษาไทย พร้อมต่อยอดกิจกรรมร่วมโครงการ “Fine my Future ตามหาอนาคตที่ดี ไม่มีพื้นที่จำกัด” ลงพื้นที่แนะแนวเชิงลึกทั่วประเทศ ดึง “ครูพี่บิม–รุสนันท์ ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม” พิธีกรรายการแนะnow และเป็นโค้ชจุดแข็ง Gallup Certified กลับมาเป็นผู้นำการแนะแนวอีกครั้งในภารกิจพาเด็กไทยวางแผนอนาคตได้อย่างไม่หลงทาง

    นางสาวกรกมล จึงสำราญ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนานโยบายด้านการมีส่วนร่วมและการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา สำนักมาตรฐานการศึกษา และพัฒนาการเรียนรู้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ระบบการศึกษาปัจจุบันจะเปิดโอกาสให้เลือกเรียนได้หลากหลายรูปแบบและวิธีการ แต่ในความเป็นจริง หลังจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 เด็กจำนวนไม่น้อยกลับไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร หลายคนเลือกออกไปประกอบอาชีพ หรือหยุดเรียนโดยไม่มีแผนรองรับ หรือแม้กระทั่งเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ ในอนาคตทำงานในสิ่งที่ไม่ใช่ แล้วต้องมาเริ่มใหม่ในเวลาที่อาจจะสายเกินไป หรือสิ่งที่เรียนไม่สัมพันธ์กับ Lifestyle ของตัวเอง ซึ่งปัญหาสำคัญหนึ่งที่เด็กไทยส่วนใหญ่ต้องเผชิญคือ – การไม่รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองมีจุดแข็งหรือศักยภาพด้านใด จนนำไปสู่การขาดความมั่นใจในการวางแผนอนาคต

    จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายหน่วยงานในแวดวงการศึกษา ได้เริ่มให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เด็กได้ ‘รู้จักตัวเอง’ เพื่อสร้างพื้นฐานที่มั่นคงในการวางแผนการเรียนและเส้นทางอาชีพ โดยในปีนี้ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ บริษัท ทูแฮนส์ จำกัด ผู้ผลิตมัลติแพลตฟอร์มคอนเทนต์ แนะnow ผนึกกำลังสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ สถานี ThaiPBS- ALTV ช่อง 4 ทีวีเรียนสนุก ต่อยอดโครงการ แนะnow ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 พร้อมขยายขอบเขตการดำเนินงานควบคู่กับโครงการ “Pilot Project: Fine my Future – ตามหาอนาคตที่ดี ไม่มีพื้นที่จำกัด” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์มแนะแนว (Coaching) ของประเทศ ที่มุ่งวางรากฐานสำคัญด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ในระยะยาว

    ด้าน นางสาวรุสนันท์ ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม หรือ “ครูพี่บิม” พิธีกรรายการ แนะnow และ Gallup Certified Strengths Coach หนึ่งในผู้ร่วมพัฒนาโครงการ กล่าวว่า โครงการ แนะnow เริ่มต้นขึ้นจากการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กสามารถเข้าใจตัวเอง วิเคราะห์พรสวรรค์และศักยภาพของตน และใช้ข้อมูลนั้นวางแผนเส้นทางการเรียนต่อ หรืออาชีพในอนาคตได้อย่างเหมาะสม โดยในปีที่ 1 และ 2 โครงการฯ ใช้เครื่องมือ Clifton StrengthsFinder ที่แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่ายในการเข้าถึง ทำให้ในปีที่ 3 แนะnow ได้พัฒนาแบบวัดขึ้นมาใหม่ โดยนำเครื่องมือทั้ง 2 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสากล มาให้เยาวชนไทยใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งพัฒนาเป็นสื่อออนไลน์ภาษาไทยเพื่อให้เข้าถึงเยาวชนได้ในวงกว้างขึ้น

    โครงการ แนะnow ปีที่ 3 Inclusion Series ได้นำเครื่องมือช่วยค้นหาจุดแข็ง Clifton StrengthsFinder ที่แบ่งกลุ่มพรสวรรค์ ออกเป็น 4 ธีม ได้แก่ Strategic Thinking (การคิดเชิงกลยุทธ์) Relationship Building (การสร้างความสัมพันธ์) Influencing (การโน้มน้าว) และ Executing (การปฏิบัติการ) ผสมผสานกับแบบวัดบุคลิกภาพ เพื่อค้นหาแนวทางอาชีพที่เหมาะสม ของ Holland Codes (RIASEC) ที่ใช้แบ่งลักษณะให้เด็กเข้าใจตัวเองออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ Realistic – คนลงมือทำจริง, Investigative – นักคิด, Artistic – นักสร้างสรรค์, Social – ผู้ช่วยเหลือ, Enterprising – นักโน้มน้าว และ Conventional – นักจัดการ ซึ่งแบบวัดนี้ จะช่วยให้เด็กมองเห็นภาพรวมของบุคลิกและความถนัดของตนเองได้อย่างชัดเจน อีกทั้งนอกจากพัฒนาสื่อรูปแบบออนไลน์แล้ว แนะnow ยังมีการผลิตสื่อโทรทัศน์และคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ เพื่อขยายผลและสร้างความเข้าใจในแนวโน้มอาชีพแห่งอนาคตให้มากยิ่งขึ้น

    ในปี 2568 นี้ โครงการ แนะnow ยังได้ร่วมมือกับสำนักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ กลุ่มพัฒนานโยบายด้านการมีส่วนร่วมและการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ตลอดจนภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อดำเนินโครงการ Fine my Future ในโรงเรียนพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครฯ ปริมณฑล และพื้นที่นำร่องในจังหวัดศรีสะเกษ อุบลราชธานี กาญจนบุรี และขอนแก่น โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักรู้เกี่ยวกับโลกการทำงาน อาชีพ และชีวิตในยุคใหม่ให้แก่เยาวชนไทยทุกภูมิภาค

    “การเดินหน้าของแนะnow ในปีนี้ จึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การผลิตสื่อเพื่อการแนะแนวเท่านั้น แต่ยังมุ่งขยายบทบาทไปสู่พื้นที่จริง ผ่านกิจกรรมและเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กสามารถค้นหาตัวเอง และวางแผนเส้นทางชีวิตได้อย่างมั่นใจ เพราะในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและอาชีพที่หลากหลาย ความสำเร็จของเด็กไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรียนสายอะไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีข้อมูลและความเข้าใจมากพอ ที่จะ ‘เลือก’ เส้นทางของตัวเองได้หรือไม่

    “แนะnow เชื่อว่า หากเด็กคนหนึ่งค้นพบจุดแข็งของตัวเองอย่างชัดเจน และได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม โครงการนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เขาเดินไปสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นคง โดยไม่หลงทาง” นางสาวรุสนันท์ หรือ “ครูพี่บิม” กล่าวทิ้งท้าย

    สคส. เปิดเวที PDPA Expo 2025 ครบเครื่องเรื่อง PDPA พร้อมลุยสร้างเครือข่าย DPO ทั่วประเทศ

    “สคส.” ย้ำความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ด้วยการจัดงาน “PDPA Expo 2025: มหกรรมส่งเสริมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและเครือข่าย DPO” ครบเครื่องเรื่อง PDPA ระหว่างวันที่ 26 – 28 สิงหาคม 2568 ณ จังหวัดชลบุรี เพื่อผลักดันมาตรการเชิงนโยบายให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 เรื่อง “การป้องกันและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลระยะเร่งด่วน” และ แผนแม่บทการส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ พ.ศ. 2567–2570

    นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
    (ดีอี) ประธานในพิธี กล่าวว่า งาน “PDPA Expo 2025 : มหกรรมส่งเสริมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและเครือข่าย DPO” ครบเครื่องเรื่อง PDPA ครั้งนี้เป็น “กลไกนโยบายระดับชาติ” ที่ยกระดับมาตรการคุ้มครองข้อมูลของไทยให้รัดกุม โปร่งใส และเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งรัฐบาลกำหนดยุทธศาสตร์การคุ้มครองข้อมูลเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ธุรกิจ และนักลงทุน ข้อมูลรั่วไหลต้องเป็นศูนย์ (Zero Data Breach) และประเทศไทยต้องก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภูมิภาคอาเซียน

    หนึ่งในเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลนำมาใช้คือ ศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye) ซึ่งมีภารกิจสำคัญในการเร่งตรวจสอบ ค้นหา และเฝ้าระวังการรั่วไหลของข้อมูลในทุกมิติ โดยมุ่งระงับยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นให้ได้อย่างทันท่วงที พร้อมทำงานเชิงรุกในการสร้างความตระหนักรู้ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเครือข่ายเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ Data Protection Officer (DPO) ทั่วประเทศ

    ด้าน พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ สคส. กล่าวเสริมว่า
    การทำงานของ PDPC Eagle Eye จะช่วยให้ประเทศไทยมี “ระบบเรดาร์” คอยเฝ้าตรวจจับเหตุละเมิดข้อมูลแบบเรียลไทม์ เสริมเกราะป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล ขณะเดียวกันงานนี้ จะมุ่งเน้น จะเป็นเวทีสร้างความร่วมมือ ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการยกระดับมาตรการ Data Governance, Incident Response และการรับรองมาตรฐาน Trustmark

    นอกจากนี้ยังมีการแนะนำการใช้ GPPC (Government Platform for PDPA Compliance : GPPC) ซึ่งเป็นระบบกลางที่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มความปลอดภัย และรองรับมาตรการส่งข้อมูลข้ามพรมแดนของอาเซียน (ASEAN Cross-Border Data Flow Mechanism: CBDF)  ที่จะกลายเป็นหัวใจสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจดิจิทัลไทยกับตลาดโลก

    คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 200 คน จากหน่วยงานรัฐ เอกชน และกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การแพทย์ การเงิน การธนาคาร และประกันภัย โดยรัฐบาลเชื่อมั่นว่ากลไกเชิงรุกอย่าง PDPC Eagle Eye และการสร้างเครือข่าย DPO Nation-wide จะทำให้ ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้าน Data Privacy & Cybersecurity ของอาเซียน และสนับสนุนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัลของชาติอย่างยั่งยืน

    ข้อมูลรั่วไหลเป็น “0”

    DITP ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน เปิดตัว BIDC 2025 ยิ่งใหญ่ คาดสร้างมูลค่าการค้าทะลุ 950 ล้านบาท ดันไทยสู่ศูนย์กลางดิจิทัลคอนเทนต์เอเชีย

    กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) จับมือหน่วยงานรัฐ-เอกชนกว่า 10 แห่ง เปิดงาน Bangkok International Digital Content Festival 2025 (BIDC 2025) อย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 25–28 สิงหาคม 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 และโรงภาพยนตร์เฮ้าส์ สามย่าน ตั้งเป้าสร้างมูลค่าการค้าไม่ต่ำกว่า 950 ล้านบาท พร้อมผลักดันไทยสู่ “Thailand: Asia’s Digital Content Destination” ปีนี้ BIDC จัดขึ้นเป็นปีที่ 12 โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 150 บริษัท จาก 12 ตลาดเป้าหมาย พร้อมกิจกรรม จับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กว่า 850 คู่ เจาะตลาดสำคัญทั่วโลก

    นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ประธานเปิดงาน เปิดเผยว่า “อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์เติบโตเร็วและเป็นโอกาสสำคัญของเศรษฐกิจไทย DITP จึงเดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกิจกรรม Business Matching และ Business Networking ซึ่งปีนี้มีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม 87 บริษัทและผู้ประกอบการต่างประเทศ 62 บริษัท จาก 12 ตลาดเป้าหมายรวมทั้งสิ้นกว่า 150 บริษัท มากที่สุดเท่าที่เคยจัดมา สะท้อนให้เห็นการเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก ผลักดันให้ไทยเป็นจุดหมายหลักด้านดิจิทัลคอนเทนต์ในเอเชียได้อย่างเป็นรูปธรรม และยังมีส่วนสำคัญในการเพิ่มมูลค่าการค้าธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์ไทยในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง“

    นางสาวปราณิสา เตียวพิพิธพร ผู้อำนวยการกองส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม “ปีนี้เป็นครั้งแรกที่กรมฯ ร่วมขับเคลื่อนงาน BIDC เพื่อแสดงศักยภาพคนไทยและผลักดันดิจิทัลคอนเทนต์สู่เวทีโลก ตามนโยบาย SOFT POWER ผ่านกิจกรรมจัดแสดงผลงานด้านดิจิทัลคอนเทนต์ที่รวบรวมผู้ประกอบการกว่า 70 ราย บนพื้นที่กว่า 900 ตารางเมตร โดยมีการนำเสนอผลงานและขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้ง ยังมีการฉายภาพยนตร์แอนิเมชัน, การเสวนาและสัมมนากว่า 16 หัวข้อ ซึ่งเป็นแหล่งความรู้ จุดประกายความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจในการต่อยอดผลงาน เสริมศักยภาพบุคลากรให้พร้อมก้าวสู่มาตรฐานสากล”

    ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ รักษาการรองผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) งาน BIDC ยังคงเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างเครือข่ายและแสดงให้ต่างชาติได้เห็นถึงศักยภาพ และผลงานคุณภาพของผู้ประกอบการไทย ส่วนการประกาศรางวัลด้านดิจิทัลคอนเทนต์ ปีนี้ ดีป้าได้ร่วมกับสมาคมฯ ในการให้รางวัลในสาขา Legacy Award in Thai Digital Content ที่จะมอบให้แก่บุคคลหรือองค์กร

    ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย สร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่นและทรงคุณค่ามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตลอดจนช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง

    นายสุมิตร สีมากุล นายกสมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT) “BIDC คือเวทีสำคัญที่แสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยต่อสายตาโลก ช่วยต่อยอดผลงานสู่ต่างประเทศ และสร้างโอกาสธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ในปีนี้ยังมีเวทีให้ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาแบ่งปันความรู้เพื่อเสริมแกร่งให้ชุมชนดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ขณะที่ สสปน. (TCEB) หนุนให้ BIDC เป็นแพลตฟอร์มศูนย์กลางการพบปะ แลกเปลี่ยน และขยายเครือข่ายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการ Pitching ในกิจกรรมสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับบุคลากรในอุตสาหกรรมเกม แอนิเมชัน และการพิมพ์ ได้นำเสนอผลงานเพื่อขยายสู่ตลาดโลก ย้ำบทบาทไทยในฐานะศูนย์กลางดิจิทัลคอนเทนต์แห่งเอเชีย

    ไฮไลต์กิจกรรม BIDC 2025

    – กิจกรรมเจรจาการค้า (Business Matching) กว่า 850 คู่

    – กิจกรรมสร้างเครือข่าย (Business Networking)

    – พิธีลงนาม MOU ระดับนานาชาติ เชื่อมเครือข่ายธุรกิจไทย-ต่างประเทศ

    – นิทรรศการ Showcase ผลงานแอนิเมชัน เกม วิชวลเอฟเฟกต์ คาแรคเตอร์ และสื่อเรียนรู้

    – สัมมนา/เวิร์กช็อป โดยผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างประเทศ

    – Pitching Stage เปิดเวทีให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่พบผู้ซื้อจริง

    – การประกาศรางวัล BIDC Awards 2025 ยกย่องผลงานสร้างสรรค์โดดเด่นของไทย

    – Screening Animation ฉายแอนิเมชันคัดพิเศษ เปิดประสบการณ์ใหม่ในวงการดิจิทัลคอนเทนต์

    – Job fair

    งาน BIDC 2025 เป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ทั้งจาก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(DITP) กระทรวงพาณิชย์, สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA), กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (TCEB), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(DEPA) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA) รวมถึง 5 สมาคมด้านดิจิทัลคอนเทนต์ ได้แก่ สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT), สมาคมอีเลิร์นนิ่งแห่งประเทศไทย (e-LAT), สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA), สมาคมBangkok ACM SIGGRAPH (BASA) และสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) และพันธมิตรนานาชาติอย่าง TAICCA (Taiwan Creative Content Agency), สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย, สถาบันส่งเสริมวัฒนธรรมฝรั่งเศสประจำประเทศเวียดนาม (Institut Français du Vietnam) และสมาคม FranceVFX

    ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต งาน BIDC 2025 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 28 สิงหาคม 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ และโรงภาพยนตร์เฮ้าส์ สามย่าน ชั้น 5

    ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าร่วมได้ที่

    🌐 www.bidcfestival.com

    📱 www.facebook.com/bidc.fest

    โฮมโปร รวมพลัง สร้างปรากฏการณ์ “HomePro Fun Walk 2025” ส่งมอบเงินบริจาค 2,000,000 บาท แก่ศูนย์โรคหัวใจ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จุดประกายสังคมสุขภาพดี

    โฮมโปร นำโดย นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร “ พร้อมด้วย รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ และคณะผู้บริหาร จับมือพันธมิตรและคู่ค้าทั่วประเทศ ร่วมส่งมอบเงินบริจาคจากโครงการ “HomePro Fun Walk 2025 – Walk For Heart ทุกก้าวที่เดิน
    ก้าวเพื่อหัวใจ” ที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และในปีนี้มอบเงินบริจาคให้แก่ ศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยตลอดระยะเวลากิจกรรมกว่า 4 เดือน สามารถรวมพลังผู้เข้าร่วมได้กว่า 18,700 คน ในการเดิน-วิ่งผ่านแอปพลิเคชัน Wirtual สะสมก้าวได้รวมกว่า 3,863,000,000 ก้าว พร้อมสร้างสุขภาพที่ดีและแรงบันดาลใจให้คนไทยหันมาใส่ใจหัวใจของตนเอง

    นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘โฮมโปร’
    กล่าวว่า “โครงการ HomePro Fun Walk ในปีนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในแง่จำนวนผู้เข้าร่วมและเป้าหมายการระดมทุน อีกทั้งในตลอดเส้นทาง เรายังได้เห็นภาพพลังและความตั้งใจจากพนักงาน พันธมิตร คู่ค้า ที่มาร่วมกันเดินและวิ่งเพื่อดูแลสุขภาพของตนเอง พร้อมส่งต่อพลังนั้นไปสร้างโอกาสให้ผู้ป่วยโรคหัวใจได้เข้าถึงการรักษาด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย สิ่งเหล่านี้สะท้อนเจตนารมณ์ของโฮมโปรที่ต้องการสร้างสุขภาพที่ดีควบคู่กับการช่วยเหลือสังคม เพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”

    ความสำเร็จของ HomePro Fun Walk ในปีนี้ เกิดจากการรวมพลังจากพันธมิตรคู่ค้าที่เข้ามาร่วมสนับสนุนอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการรณรงค์เพื่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมเดิน-วิ่ง รวมถึงการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย จนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคมให้เกิดขึ้นได้จริง โดยก้าวสะสมจากโครงการ “HomePro Fun Walk 2025 – Walk For Heart” รวมถึงในกิจกรรมวิ่ง “HomePro Fun Walk Outdoor 2025” ที่จัดขึ้น ณ สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ได้ถูกเปลี่ยนเป็นเงินบริจาค จำนวน 2,200,000 บาท (สองล้านสองแสนบาท) เพื่อนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีคุณภาพและทันสมัย เทียบเท่ามาตรฐานสากล พร้อมช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต โดยเฉพาะผู้ป่วยภาวะวิกฤต และที่สำคัญ โครงการยังมีส่วนช่วยสร้างพฤติกรรมให้ประชาชนหันมาออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วย และเสริมสร้างสุขภาพที่ดีทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว และสังคม

    รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวเสริมว่า “โรคหัวใจเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยจำนวนมาก แต่สามารถป้องกันได้หากเราดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี การออกกำลังกายจึงเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันโรค โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ขอบคุณโฮมโปรและพันธมิตรทุกท่านที่ได้ร่วมมอบแรงกาย แรงใจ และแรงสนับสนุนให้เรา โดยเงินบริจาคครั้งนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาและพัฒนาอุปกรณ์ รวมถึงการดูแลรักษา เพื่อให้คนทุกคนเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม ตามเป้าหมายของโครงการ HomePro Fun Walk”

    #HomeProFunWalk2025 #WalkForHeart #HomeProfunwalk #ศูนย์โรคหัวใจ #โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์#สภากาชาดไทย #โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #Homepropr

    YOUTHLABO จัดงาน “Exclusive Sneak Peek”ครั้งแรกในประเทศไทย มอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้คนไทยได้สัมผัส YOUTHLABO

    นายมินโฮ ฮอ รองประธานกรรมการบริษัท COSMAX(กลาง) พร้อมด้วย นายวีระพงษ์ (พอล) ศรีวรกุล ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บมจ. เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป (ที่ 2 จากขวา) และ นายมินกู คัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท COSMAX (ประเทศไทย) (ที่ 2 จากซ้าย) จำกัด ร่วมกันจัดงาน “Exclusive Sneak Peek” เปิดตัวYOUTHLABO (ยูธลาโบ) แบรนด์สกินแคร์แนวคิดใหม่ที่ผสานศาสตร์แห่งความงามและนวัตกรรมวิทยาศาสตร์เพื่อผิว (Derma–Science) จากเกาหลีใต้ ครั้งแรกในประเทศไทย มอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้คนไทย โดยมี นายทอม ศรีวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ. เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป (ที่ 3 จากขวา) , นางสาวจีน่า เบ Brand Developer and Representative for YOUTHLABO (ที่ 3 จากซ้าย) และ นางสาวอภิรดา ธนพรวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ประจำประเทศไทย บมจ. เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป (ที่ 1 จากขวา) ร่วมงานด้วย ณ Flat+White Café ทองหล่อ เมื่อเร็วๆ นี้

    โรงพยาบาลพระรามเก้า ตัวแทนไทย โชว์การแพทย์โรคซับซ้อนขั้นสูงที่ Osaka Expo 2025

    โรงพยาบาลพระรามเก้า สถาบันการแพทย์ชั้นนำของประเทศไทย ได้รับเกียรติเป็น ตัวแทนประเทศไทยไปร่วมงาน Osaka World Expo 2025 ณ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อยกระดับการแพทย์ไทยสู่สายตาชาวโลก และสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ร่วมงานจากทั่วโลก ด้วยศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคยากซับซ้อนอย่างครบวงจรและทันสมัย

    นพ.วิทยา วันเพ็ญ รองกรรมการผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระรามเก้า    ให้ข้อมูลว่า “การเข้าร่วมงาน Osaka World Expo 2025 ถือเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้แสดงให้โลกเห็นว่า การแพทย์ไทยมีมาตรฐานระดับสากล และพร้อมดูแลผู้ป่วยโรคซับซ้อนได้อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพสูงสุด ซึ่งโรงพยาบาลพระรามเก้ามีความพร้อมในทุกด้าน เช่น การรักษาโรคไตเรื้อรัง การปลูกถ่ายไต การผ่าตัดหัวใจและหัตถการซับซ้อน การผ่าตัดกระดูกและข้อแบบ Minimally Invasive ไปจนถึงเทคโนโลยีตรวจและรักษาโรคสมองและระบบประสาท เราไม่เพียงรักษาโรค แต่ยังฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้เต็มที่”

    สำหรับการไปร่วมงาน Osaka World Expo 2025 ในครั้งนี้ เราได้นำเสนอศูนย์การแพทย์และสถาบันเฉพาะทางที่ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น สถาบันโรคไตและเปลี่ยนไต ที่ให้บริการครบวงจร, สถาบันหัวใจและหลอดเลือด เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหัตถการซับซ้อน, ศูนย์กระดูกและข้อ ที่เน้นแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และ ศูนย์สมองและระบบประสาท ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยเพื่อผลลัพธ์สูงสุด

    นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังนำเสนอแนวคิดการดูแลสุขภาพเชิงรุก และการฟื้นฟูร่างกายอย่างครบวงจร ผ่าน โปรแกรม Fix and Fit ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายและปรับสมดุลสุขภาพอย่างยั่งยืน พร้อม บริการ Telemedicine ให้ผู้ป่วยสามารถปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการได้จากทุกที่ทุกเวลา และ บริการล่ามหลายภาษา    เพื่อสร้างความมั่นใจและความเข้าใจในการรักษาแก่ผู้ป่วยต่างชาติ

    นพ.วิทยา กล่าวปิดท้ายว่า “การเข้าร่วมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการโชว์ศักยภาพของโรงพยาบาล แต่ยังเป็นการยืนยันถึงความพร้อมของประเทศไทยในด้าน Medical Tourism และการรักษาผู้ป่วยโรคยากซับซ้อนในระดับสากล เราตั้งใจให้ผู้ร่วมงานจากทั่วโลกได้เห็นศักยภาพของไทย ทั้งความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และการดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มศักยภาพ”

    การเข้าร่วม Osaka World Expo 2025 ของโรงพยาบาลพระรามเก้า จึงสะท้อนถึงความก้าวหน้าและความพร้อมของการแพทย์ไทยในทุกมิติ พร้อมเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ยืนยันศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคยากซับซ้อนให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศเห็นถึงคุณภาพ การดูแล และศักยภาพของโรงพยาบาลพระรามเก้า