โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” INSET เป้า 4.16 บ. รับกระแส 5G และ WFH มาแรง-หนุนผลงานโตแกร่ง

กูรูหุ้นจาก บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น INSET ราคาพื้นฐานปี 64 ที่ 4.16 บาท มองโอกาสการเติบโตรออยู่ จากกระแส 5G และ WFH หนุนภาคเอกชนทุ่มเงินลงทุนด้านไอทีมากขึ้น ผลักดันผลงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ฟากผู้บริหาร “ศักดิ์บวร พุกกะณะสุต”ตั้งเป้ารายได้ปี 64 เติบโต 15-20% โชว์งานในมือแน่นกว่า 2 พันล้านบาท พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) (INSET) ราคาพื้นฐานปี 2564 อยู่ที่ 4.16 บาท จากโอกาสการเติบโตที่รออยู่คาดจะหนุนผลการดำเนินงานของ INSET มีแนวโน้มสดใส คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/63 อยู่ที่ 32 ล้านบาท  เติบโต 36.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 38.9% เทียบไตรมาสที่ผ่านมา

“กำไรสุทธิที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น 95.0% จากงานในมือที่มีอยู่หลักๆ ได้แก่ งานติดตั้ง Filter คลื่นความถี่ 850 MHz ของ CAT และงานก่อสร้างศูนย์ Data Center ของ KTBCS (บ.ในเครือของธนาคารกรุงไทย) แต่อาจถูกหักล้างบางส่วนจาก GPM ที่ลดลงจาก 16.0% ในไตรมาส 4/62 เป็น 14.2% จากการรับรู้งานโครงการขนาดใหญ่ที่มีมาร์จิ้นต่ำมีมากขึ้น เมื่อรวมกับกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 63 คาด INSET มีกาไรสุทธิปี 63 ที่ 134 ล้านบาท เติบโต 11.5% เทียบปีที่ผ่านมา”

นอกจากนี้ ยังมองว่าด้วยเทคโนโลยี 5G ที่กำลังจะเข้ามาบวกกับกระแสของการทำงานนอกสถานที่ (WFH) ที่มาแรงในปัจจุบัน คาดส่งผลให้ภาคธุรกิจหันมาลงทุนด้านไอทีมากขึ้น ซึ่งคาดเป็นบวกต่อลักษณะการประกอบธุรกิจของ INSET โดยล่าสุด บริษัทฯได้ลงนามสัญญาหลักว่าจ้างงานก่อสร้างและปรับปรุงสถานีโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ บริษัท ไวร์เออ แอนด์ ไวร์เลส จำกัด (เครือ TRUE) มูลค่า 250 ล้านบาท

ขณะที่นายศักดิ์บวร พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) (INSET) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 วางเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% จากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมีงาน Data Center และงานโทรคมนาคม (งาน 5G) เข้ามาอีกหลายโครงการ เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ทำให้ประชาชนที่ทำงาน WFM ต้องการใช้ Cloud เพิ่มสูงขึ้น และผู้ประกอบหรือองค์การต่างๆ มีความต้องการที่จะลงทุนขยาย Data Center กันมากขึ้นด้วยเช่นกัน รวมถึงเทรน 5G เทคโนโลยี ที่ในปีนี้ เป็นปีที่ทาง Operator ขยายการลงทุนโดยเฉพาะงานอัพเกรดอุปกรณ์ 5G ที่มีต่อเนื่องมาจากปีก่อน

โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 2,000 ล้านบาท และยังเดินหน้าหางานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต

SOLD OUT!! เชฟเบอร์เกอร์ 2 เมนูล่าสุดจาก A&W มาเท่าไหร่ก็หมด!!

เป็นปรากฏการณ์ใหม่แห่งวงการเบอร์เกอร์ กับ 2 เมนูใหม่จาก A&W ที่ออกวางจำหน่ายปุ๊บ Sold out ทันที ได้แก่ เมนู “Chef Burger” (เชฟ เบอร์เกอร์) สำหรับทั้งคนรักสายเนื้อต้องชิมWagyu Chef Burger เบอร์เกอร์ เบอร์พรีเมียมสุด ด้วยวัตถุดิบ ทั้งขนมปังบริยอช เนื้อวากิวจากออสเตรเลีย และเบค่อนคุณภาพพรีเมียม

อีกเมนู Pork Kurobuta Chef Burger ที่มีแพตตี้หมูที่มีส่วนผสมของคุโรบูตะ พร้อม Root Beer BBQ Sauce โดยทั้งสองเมนูรังสรรค์โดยเชฟจากฝรั่งเศส ที่ให้รสสัมผัสเหมือนทานเบอร์เกอร์ไฟน์ไดนิ่ง

เตรียมตัวพุ่งไปชิมลิ้มรสชาติเบอร์เกอร์สุดพรีเมียมจาก A&W ได้แล้ววันนี้ทุกสาขา

#อร่อยจนไม่อยากปล่อยให้พลาดซ้ำสอง

#AWthailand #ChefBurger

#WagyuChefBurger

#PorkKurobutaChefBurger

นิ่ม เอ็กซ์เพรส บริษัท Logistic สัญชาติไทย พร้อมลุยตลาด “Cold Chain” เน้นส่งด่วนราคาดี ภายใต้แนวคิด “Trust NiM Express”

นิ่ม เอ็กซ์เพรส เผยผลการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ปิดยอดขายอยู่ที่ 1,160 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนปี 2564 นี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,500 ล้านบาท เตรียมรุกตลาดขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการให้บริการแบบ Door to Door และการการันตีขนส่งแบบ Next Day มั่นใจด้วยคุณภาพบริการและโครงสร้างราคาที่เป็นมิตรจะทำให้การเติบโตเป็นไปได้ตามเป้าหมาย พร้อมเร่งสร้างแบรนด์ ภายใต้แนวคิด Trust NiM Express เผยลูกค้าสามารถใช้บริการได้ง่ายผ่านไลน์ @nimexpress และแอปพลิเคชั่น NiMExpress เล็งเพิ่มบริการขนส่งสินค้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษในเร็วๆ นี้

นายชาติชาย สุวิทย์ศักดานนท์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิ่ม เอ็กซ์เพรส จำกัด กล่าวว่า “นิ่มเอ็กซ์เพรส มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ที่ผ่านมามียอดขายอยู่ที่ 1,160 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า”

การเติบโตดังกล่าวฯ ส่วนหนึ่งมาจากการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมการขนส่งที่หลากหลาย และครอบคลุมพื้นที่การขนส่งทั่วประเทศ สำหรับในปี 2564 นี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,500 ล้านบาท โดยมีบริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) เป็นบริการสำคัญที่จะรุกตลาดมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาได้ทำการวางระบบ ทดสอบระบบ ลงทุนเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงรถควบคุมอุณหภูมิ จนในขณะนี้มีความพร้อมในการให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว โดยมีการทำโครงสร้างราคาและเงื่อนไขการให้บริการสินค้าควมคุมอุณหภูมิให้เป็นมิตรกับลูกค้า ราคาไม่แพงและเงื่อนไขไม่ซับซ้อน สามารถเข้าไปดูข้อมูลในเว็บไซต์ www.nimexpress.com หรือเพิ่มเพื่อนทาง LINE Official @nimexpress จะมีรายละเอียดสำหรับการส่งพัสดุทั้งหมด

“Cold Chain มีผู้ประกอบการให้บริการอยู่บ้าง แต่ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ แต่ในปัจจุบันนิ่มเอ็กซ์เพรสเองสามารถให้บริการจัดส่งได้ทั่วประเทศแล้ว เราจึงมุ่งมั่นที่จะให้บริการ Cold Chain อย่างจริงจัง และตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำให้บริการขนส่งควบคุมอุณหภูมิ Cold Chain”

ในตอนนี้นิ่มเอ็กซ์เพรสมีรถควบคุมอุณหภูมิที่พร้อมให้บริการจัดส่งได้ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการจัดส่งแบบ Next Day และยังสามารถเรียกเข้ารับพัสดุถึงบ้านได้ด้วยบริการ Door To Door โดยเลือกส่งได้ทั้งแบบแช่เย็น (Chill) และแบบแช่แข็ง (Freeze) มีการวางกลยุทธ์ในการทำการตลาดเน้นไปที่ด้านราคาเป็นการคิดค่าบริการในรูปแบบเดียวกัน คิดราคาแบบเหมาจ่ายคือ “คิดราคารวมต่อบิล” เมื่อส่งไปยังจุดหมายเดียวกัน ไม่ว่าจะส่งกี่กล่องก็ได้ ซึ่งมีค่าบริการเริ่มต้นเพียง 100 บาท

นายชาติชาย กล่าวว่า ปัจจุบันนิ่มเอ็กซ์เพรสมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ มีศักยภาพในการส่งพัสดุไม่ต่ำกว่า 200,000 ชิ้นต่อวัน และเรายังคงขยายเครือข่ายไปทั่วประเทศ เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้ามากขึ้น


เนื่องจากการเป็นบริษัทคนไทย เราจึงเน้นการเติบโตด้วยผลกำไรของเราเองด้วยเงินทุนที่มีอยู่ และด้วยธุรกิจนี้มีการเปรียบเทียบราคาของผู้บริโภคตลอดเวลา โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เราจึงพยายามขายในสิ่งที่เราทำได้ แต่ก็พร้อมที่จะปรับให้ตรงกับความต้องการ อย่างไรก็ตามเพื่อให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์มากที่สุด สามารถเปรียบเทียบราคาและค่าบริการได้อย่างตรงไปตรงมา ในปีนี้เราจึงได้ปรับโครงสร้างราคาค่าขนส่งใหม่ โดยมุ่งเน้นการคิดราคาตามน้ำหนักทุก 1 กิโลกรัม และยังคงให้บริการจัดส่งแบบ Next Day เช่นเดิม

“หลายคนอาจจะมองว่าธุรกิจขนส่งสินค้าด่วนที่มียอดขายขนาดนี้ถือว่าไม่มาก แต่สำหรับเราแล้วค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้ธุรกิจอีคอมเมิร์ชจะเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่บริษัทที่มีเจ้าของเป็นคนไทยซึ่งไม่ได้มีเงินทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ ทำให้เราไม่สามารถลงไปแข่งขันได้เต็มที่ในสงครามราคาที่เกิดขึ้น สงครามราคาในธุรกิจขนส่งสินค้าด่วนมีการตัดราคากันอย่างรุนแรง ผู้เล่นหน้าใหม่ ยังคงต้องการส่วนแบ่งทางการตลาด โดยไม่ได้คำนึงถึงกลไกด้านต้นทุนเหมือนแข่งกันขาดทุน ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายบริษัทที่ขาดทุนระดับหลายร้อยล้านบาท แต่มีเงินทุนสนับสนุนจากต่างประเทศจึงอยู่รอดได้ แล้วเมื่อคู่แข่งล้มตายไปก็ต้องกลับมาขึ้นราคาในที่สุด”

นายชาติชาย กล่าวว่า นิ่มเอ็กซ์เพรสตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้มาโดยตลอด และเราหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปสู่สงครามราคา เพราะราคามาตรฐานของเราถือได้ว่าเป็นราคาที่เป็นธรรมและค่อนข้างถูกที่สุดในตลาดอยู่แล้ว เพียงแต่คู่แข่งหั่นราคาจนต่ำกว่าต้นทุนจริง แต่อย่าลืมว่าราคาโดยส่วนใหญ่ที่คู่แข่งรายใหม่ๆ ใช้ในการโปรโมทเป็นราคาที่ใช้เวลาในการจัดส่ง 2-3 วัน แต่ของเราเป็นราคา Next Day จึงเป็นที่มาของวิสัยทัศน์ของบริษัทเรา “ไว้ใจนิ่มเอ็กซ์เพรส” หรือ “Trust NiM Express”

โดยได้เตรียมเริ่มนโยบายรับประกันการจัดส่งพัสดุแบบ SLA Guarantee เราจะเป็นผู้ให้บริการขนส่งด่วนรายแรก ที่รับประกันการจัดส่งพัสดุโดยคืนเงินค่าขนส่งหากไม่สามารถจัดส่งได้ตามกำหนดที่แจ้งไว้  หรือเรียกง่ายๆ ว่า “ส่งไม่ทัน คืนเงิน”


และในอนาคตอันใกล้ เราจะให้บริการขนส่งสินค้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น เครื่องดนตรี งานศิลปะ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิต และหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่านอกจากเราให้บริการจัดส่งสินค้าพัสดุทั่วไปแล้ว เรายังมีบริการขนส่งสินค้าที่ต้องการการติดตั้ง เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น

ในส่วนของช่องทางการใช้บริการ นอกจากจุดบริการที่มีทั้ง DC, Shop และ Drop Point ลูกค้ายังสามารถเรียกใช้บริการผ่านทาง LINE Official @nimexpress ในราคาที่แทบจะไม่ต่างจากการยกสินค้ามาส่งเองที่จุดบริการเลย นอกจากนั้นยังสามารถสะสมคะแนนเพื่อใช้แลกของรางวัล ใช้ในการติดตามสถานะสินค้า ฯลฯ ได้อีกด้วย ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกอยู่กว่า 60,000 ราย

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแอปพลิเคชั่น NiM Express เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีบริการทั้งหมดของเราแล้ว ยังเป็นตัวช่วยในการบันทึกประวัติการจัดส่งต่างๆ ได้อีกด้วย

นายชาติชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า เร็ว ๆ นี้ นิ่มเอ็กซ์เพรส กำลังจะมีโครงการ CSR ที่นอกเหนือไปจากการส่งพัสดุที่ต้องการบริจาคให้กับมูลนิธิกระจกเงาฟรีแล้ว เราจะทำโครงการส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าของคนไทยที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand) เพราะเราเห็นว่าทุกวันนี้ถึงแม้ตลาดอีคอมเมิร์ชจะเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่สินค้าส่วนใหญ่ล้วนมาจากต่างประเทศ ส่วนของดีที่ผลิตในประเทศไทยยังไม่เติบโตเท่าที่ควร เราเลยอยากทำโครงการในลักษณะนี้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการบริโภคสินค้าในประเทศและเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มากขึ้น

“นิ่ม เอ็กซ์เพรส มุ่งมั่นที่จะพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการของเราเป็นที่ถูกใจของตลาด ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย และเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วให้ได้มากที่สุด เราเป็นบริษัทเล็กๆ ของคนไทย เราจำเป็นต้องไม่อยู่นิ่ง เพราะเราไม่ได้มีเงินทุนที่จะไปสู้กับคู่แข่งในการตัดราคาได้ ถ้าทำแบบนั้นต่อไปคงไม่เหลือบริษัทขนส่งเอกชนสัญชาติไทยแท้ ทางเลือกเดียวของเรา คือ การพัฒนาบริการให้ดีที่สุด Trust NiM Express

กรมควบคุมโรค ร่วมกับ สปสช. เร่งผลักดันการดำเนินงานเพื่อยุติวัณโรคในประเทศไทย “ค้นให้พบ จบด้วยหาย” ด้วยการตรวจคัดกรองวัณโรคกลุ่มเสี่ยงสูงโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เร่งผลักดัน  การดำเนินงานเพื่อยุติวัณโรคในประเทศไทย ด้วยการตรวจคัดกรองในกลุ่มเสี่ยงสูงโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งคาดว่า    จะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคมนี้ โดยมีเป้าหมายลดอัตราป่วยวัณโรครายใหม่เหลือ 10 ราย ต่อประชากรแสนคน ในปี 2578 ด้วยกลยุทธ์ “ค้นให้พบ จบด้วยหาย” นำไปสู่เมืองไทยปลอดวัณโรค

วันนี้ (27 มกราคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันวัณโรค  ยังเป็นโรคติดเชื้อที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประเทศไทย จากรายงานวัณโรคของโลกปี 2563          (Global Tuberculosis Report 2020) ขององค์การอนามัยโลก พบว่า ประเทศไทยมีอัตราป่วยวัณโรครายใหม่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก 1.15 เท่า และมีผู้ป่วยที่ถูกตรวจพบและรายงาน (ร้อยละ 84) ของที่คาดประมาณเท่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงการที่ผู้ป่วยส่วนหนึ่ง เข้าไม่ถึงการรักษาหรือเข้าถึงล่าช้า ทำให้เชื้อแพร่กระจายไปในชุมชน พบอัตราป่วยวัณโรค ในประเทศไทยลดลงเพียงเล็กน้อยในแต่ละปี ดังนั้นในปี 2557 องค์การสหประชาชาติ จึงได้กำหนดให้การควบคุมและป้องกัน วัณโรคเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยุติวัณโรค (End TB Strategy) ตามองค์การอนามัยโลก(WHO) และแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านการต่อต้านวัณโรค ให้บรรลุเป้าหมายลดอัตราป่วยวัณโรครายใหม่ให้เหลือ 10 ราย ต่อประชากรแสนคนในปี 2578

            กรมควบคุมโรค ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เร่งผลักดันเพิ่มสิทธิประโยชน์       ในการตรวจคัดกรองวัณโรคด้วยวิธีการถ่ายภาพรังสีทรวงอก (CXR) และตรวจวินิจฉัยวัณโรคด้วยวิธีอณูชีววิทยา (Molecular assay) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใน 7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1. ผู้สัมผัสร่วมบ้านหรือผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรคปอด 2. ผู้ต้องขังในเรือนจำ ผู้อาศัยในสถานคุ้มครอง และพัฒนาคนพิการหรือสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 3. ผู้ติดเชื้อเอชไอวี 4. ผู้ป่วยโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง อาทิ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง หรือได้รับ  ยากดภูมิคุ้มกัน 5. ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี ที่สูบบุหรี่ หรือมีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) หรือโรคเบาหวานร่วมด้วย       6. ผู้ใช้สารเสพติด ติดสุราเรื้อรัง และ 7. บุคลากรสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาผู้ป่วยวัณโรคอย่างทั่วถึงและครอบคลุม รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของการคัดกรองวัณโรค    ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ลดปัญหาการแพร่ระบาดวัณโรค และสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยวัณโรค    ในประเทศไทย โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคม 2564 นี้

            นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันดำเนินการเพื่อให้อัตราอุบัติการณ์วัณโรคของประเทศไทยลดลงจาก 171 ราย ต่อประชากรแสนคนในปี 2557 ให้เหลือ           10 ราย ต่อประชากรแสนคนภายในปี 2578 มาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้กลยุทธ์ “ค้นให้พบ จบด้วยหาย” ในการค้นหาผู้ป่วยวัณโรคให้เข้าสู่ระบบให้เร็วที่สุดตลอดจนดูแลรักษาให้หายจากวัณโรค เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนรอบข้าง ส่งผลต่อการลดจำนวนผู้ป่วยวัณโรค แต่การลดอัตราป่วยวัณโรครายใหม่ลงจะทำได้สำเร็จ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การยุติวัณโรคเพื่อให้เมืองไทยปลอดวัณโรค สอบถามเพิ่มเติมได้ที่      สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ส่งมอบของขวัญส่งต่อความสุขให้เด็กๆ ชุมชนแฟลตการรถไฟพนักงานจิตอาสา – บริษัทในเครือร่วมใจในกิจกรรม MBK Spirit Children’s Day 2021

ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ นำโดย นางสาวศตกมล วรกุล (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม MBK Spirit Children’s Day 2021 สนับสนุนของขวัญวันเด็กให้กับชุมชนแฟลตการรถไฟ เพื่อส่งมอบของขวัญส่งต่อความสุขให้กับน้อง ๆ หนู ๆ ในชุมชน โดยมีตัวแทนชุมชนเป็นผู้รับมอบ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจจากพนักงานทุกกลุ่มธุรกิจในเครือเอ็ม บี เค ร่วมบริจาคของขวัญ อาทิ อุปกรณ์การเรียน ของเล่นเพื่อพัฒนาการ นาฬิกาข้อมือ พร้อมด้วย ที ลีสซิ่ง ธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในเครือเอ็ม บี เค ร่วมสนับสนุนรถจักรยาน เมื่อเร็ว ๆ นี้

ซีพีเอฟ เตรียมพร้อมนำ ฟาร์มวังสมบูรณ์ ขอรับรองมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่เคจฟรีของกรมปศุสัตว์

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประกาศ ฟาร์มวังสมบูรณ์ ใน จ.สระบุรี  พร้อมขอรับรองมาตรฐานไข่ไก่แบบไม่ใช้กรง หรือ เคจฟรี จากกรมปศุสัตว์ เพิ่มศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรที่สอดคล้องตามความต้องการของตลาดโลกในอนาคต และช่วยยกระดับมาตรฐานอาหารปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคคนไทย

นายสมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ กล่าวว่า การที่กรมปศุสัตว์มีการรับรองมาตรฐานไข่ไก่แบบไม่ใช้กรง (Cage Free) อย่างเป็นทางการ นับเป็นก้าวสำคัญของภาคการผลิตไข่ไก่ของไทย ส่งผลดีต่อผู้บริโภค และเกษตรกร ช่วยยกระดับมาตรฐานอาหารปลอดภัยของไทย และช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนาระบบการเลี้ยงไก่ไข่แบบไม่ใช้กรงเพิ่มขึ้น  ทั้งนี้ ซีพีเอฟ เตรียมนำฟาร์มวังสมบูรณ์ เข้าขอรับรองมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช้กรง ของกรมปศุสัตว์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ในการผลิตไข่ไก่สู่ระดับสากล  ร่วมสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ มีความปลอดภัยสูงสุด ให้ผู้บริโภคที่มีแนวโน้มต้องการสินค้าที่คำนึงถึงสุขภาพและแหล่งที่มาของสินค้าที่ปลอดภัยและรับผิดชอบต่อสังคมเพิ่มขึ้น

“การได้รับรองมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช้กรง (เคจฟรี)โดยกรมปศุสัตว์ ช่วยเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพให้ผู้บริโภค จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณไข่ไก่เคจฟรีแบรนด์ CP Selection Cage Free Egg มากยิ่งขึ้น” นายสมคิดกล่าว

ซีพีเอฟพัฒนาฟาร์มวังสมบูรณ์ ในจังหวัดสระบุรี ฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยอิสระไม่ใช้กรงในโรงเรือนระบบปิด ตั้งแต่ปี 2561 โดยมีการประยุกต์ใช้มาตรฐานของสหภาพยุโรปเป็นต้นแบบ ในการเลี้ยงแม่ไก่ไข่แบบธรรมชาติภายในโรงเรือนระบบปิดขนาดใหญ่ที่มีการควบคุมอุณหภูมิและการระบายอากาศอย่างเหมาะสม มีวิธีการเลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ หรือ Animal Welfare โดยแม่ไก่ไข่มีความเป็นอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม มีสุขอนามัยที่ดี มีที่อยู่สะดวกสบาย ได้รับอาหาร-น้ำอย่างเพียงพอ และแม่ไก่มีอิสระแสดงพฤติกรรมได้ตามธรรมชาติ หรือ มี “ความสุขกาย สบายใจของสัตว์” ตามหลักการ 5 ประการ (Five Freedoms of Animals) ส่งผลให้แม่ไก่ไข่มีสุขภาพดีและมีอารมณ์ดี มีความสุขสบาย แข็งแรง ที่สำคัญไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยง

 ฟาร์มวังสมบูรณ์ มี 12 โรงเรือน แม่ไก่ไข่ถูกเลี้ยงแบบธรรมชาติบนพื้นที่ 1 ตารางเมตรต่อแม่ไก่ 7-9 ตัว จัดสภาพแวดล้อมให้ถูกต้องตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ส่งเสริมให้แม่ไก่ไข่ได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ เช่น มีคอนสำหรับเกาะพักผ่อน มีวัสดุปูรองพื้นเพื่อใช้สำหรับคุ้ยเขี่ยหาอาหาร และไซร้ขนทำความสะอาดตัวเอง มีจุดสำหรับวางไข่ที่ควบคุมการผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ และใช้สายพานลำเลียงไข่จากจุดวางไข่ของแม่ไก่ไปยังห้องเก็บไข่โดยอัตโนมัติ ควบคู่กับการจัดการระบบสุขาภิบาลภายในฟาร์มที่ดี ควบคุมและป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ไข่ไก่เคจฟรีของซีพีเอฟ จึงได้รับรองมาตรฐานการปลอดเชื้อซัลโมเนลล่า ตั้งแต่โรงฟักไข่ แม่ไก่พันธุ์ จนถึงแม่ไก่ไข่รุ่น เพื่อให้ได้ไข่ไก่ที่ปลอดภัย มีคุณภาพ ปลอดสาร

นอกจากนี้ การเลือกใช้แม่ไก่ไข่สายพันธุ์พิเศษ รวมถึงพัฒนาสูตรอาหารผลิตจากธัญพืช 100% ช่วยให้ไก่ที่มีสุขภาพพื้นฐานดี เติบโตตามศักยภาพของพันธุกรรมธรรมชาติ ช่วยให้ไข่ไก่เคจฟรีมีความสดกว่าไข่ไก่ทั่วไป ไม่มีกลิ่นคาวไข่แดงมีสีส้มสด นูนสวย เป็นไข่ไก่มีคุณภาพ ปลอดสาร และมีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค จึงได้รับการตอบรับที่ดีมากจากร้านอาหารชั้นนำ อย่าง ร้านชาบูชาบู โมโม พาราไดซ์ โดยเฉพาะร้านเจ๊ไฝ สตรีทฟู้ดชื่อดังที่ใช้เป็นวัตถุดิบของเมนูไข่เจียวปู นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถหาซื้อไข่ไก่เคจฟรี ซีพีเอฟ ได้ที่ ร้านซีพี เฟรชมาร์ท 7-Eleven ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ริมปิง จ.เชียงใหม่ และห้างดองกิ ดองกิ 

ซีพีเอฟ มีนโยบายในการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการเลี้ยงสัตว์ด้วยความรับผิดชอบ (Responsible Farming and Food Production) อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารสู่ระดับสากล เพื่อการบริโภคที่ยั่งยืน./

‘ม.กรุงเทพธนฯ’ เอาใจสังคมผู้สูงวัย เปิด ‘บีทียูมายโฮม’ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่สมบูรณ์แบบที่สุด

เพราะการศึกษาในปัจจุบัน ไม่เพียงเน้นแค่ทฤษฎี หากแต่การที่ให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติจริง ก็จะทำให้พวกเขามีประสบการณ์ที่ดี ประกอบกับการที่เมืองไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย การจัดตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (senior complex) บีทียู มายโฮม (BTU Myhome) นอกจากจะทำให้ผู้สูงอายุเหล่านั้น มีอายุยืนยาว มีความสุข มีสุขภาพดี และมีคุณภาพชีวิตดีที่สุดแล้ว ก็จะยังเป็นแหล่งฝึกปฎิบัติภายใต้การดูแลของแพทย์พยาบาลมืออาชีพอีกด้วย

รศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เล่าถึงแนวความคิดในการจัดตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (senior complex) บีทียู มายโฮม (BTU Myhome) ว่า ในสังคมปัจจุบัน ปี 2564 เราจะมีผู้สูงอายุไม่ต่ำกว่า 12 ล้านคน (จากประชากรทั้งสิ้น 67 ล้านคน) ในขณะที่ลูกๆ ต้องทำงาน พ่อ-แม่ อยู่บ้านก็เป็นห่วง แต่ถ้าพามาอยู่ใน BTU Myhome ก็จะมีแพทย์, พยาบาล มีอาหารตามหลักโภชนาการ มีนักกายภาพบำบัด มีนักกิจกรรม ซึ่งครอบคลุมทุกๆ เรื่อง จึงได้ชวน ผศ.ดร.ภูมินทร์ รุ่งเรืองกูล รองผู้อำนวยการศูนย์ บีทียู มายโฮม ที่มีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรง เข้ามาดูแลในส่วนนี้

โดยในส่วนของมหาวิทยาลัยเอง ก็ถือว่า ลูกศิษย์ของเราจะได้ฝึกและปฏิบัติจริง ภายใต้การดูแลของแพทย์พยาบาลมืออาชีพอีกด้วย นอกจากเขาจะได้ฝึกในส่วนของรูปแบบ ร.พ. ทั่วไป เขาก็ยังสามารถที่จะไปดูแลผู้สูงอายุได้ จึงได้ตัดสินใจเปิดเป็นศูนย์ฝึก BTU MYhome (BTU คือชื่อมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ส่วน MYhome ก็คือความอบอุ่นเหมือนบ้านนั่นเอง)

ต้องยอมรับว่า หลักสูตรการเรียนการสอนในสมัยปัจจุบัน  จะเน้นทฤษฎีเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องให้นักศึกษาได้มีสถานที่ลงมือปฏิบัติได้จริง อย่างคณะศึกษาศาสตร์ เรามีโรงเรียนสาธิตกรุงเทพธนบุรี ไว้รองรับ, คณะศิลปศาสตร์  สาขาวิชาการโรงแรม มีศูนย์ปฏิบัติการโรงแรม, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มี Sports Complex, คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มี คลินิคทันตกรรม และ คณะแพทย์ศาสตร์ มีสหคลินิคกรุงเทพธนบุรี รองรับประชากร 10,000 คน

ดังนั้น บีทียู มายโฮม ก็จะแหล่งฝึกปฎิบัติของ พยาบาลศาสตร์, สาธารณสุขศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ทันตแพทย์ และ แพทย์ศาสตร์ เพื่อทำให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่เรามุ่งอยากให้ลูกศิษย์ของเราเก่งครบด้าน ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ

นโยบายของ บีทียู มายโฮม คือ จะทำอย่างไร เพื่อที่จะทำให้ผู้สูงอายุมีอายุยืนยาว มีความสุข มีสุขภาพดีที่สุด คุณภาพชีวิตดีที่สุด และไม่เหงา เพราะจะได้มีเพื่อนใหม่ มีสังคมใหม่ๆ ซึ่งขณะนี้มีผู้จองไว้แล้วมากทีเดียว และก็ชวนเพื่อนๆ มาอยู่ด้วยกัน ถือว่าเป็นสังคมใหม่ของผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป

ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายของ บีทียู มายโฮม ก็คือ คนวัย 50 อัพ ที่มีความพร้อม อยากหาสังคมและอยากมีกิจกรรม หรือสำหรับลูกๆ มีความพร้อมที่จะหาสิ่งดีๆ ให้กับพ่อแม่ เพื่อให้ท่านมีอายุยืน เนื่องจากผู้สูงอายุมักจะเหงา แต่อยู่ที่นี่เราจะมีกิจกรรมมากมาย เช่น เต้นรำ, ร้องเพลง, วาดภาพ, พาไปเที่ยว, พาไปไหว้พระ, พาไปตักบาตร, ว่ายน้ำ, ปลูกผักปลอดสารพิษ และอาจไปเก็บมาทาน หรือทำสลัด ฯลฯ

เรามั่นใจว่า เรามีความพร้อมมากที่สุด ทั้งในเรื่องบุคลากรที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เรามีคณะพยาบาล ทั้งอาจารย์พยาบาลและนักศึกษา มีคณะทันตแพทย์ ผู้สูงอายุมีปัญหาเรื่องฟัน เรามีหมอไปตรวจให้ มีสาธารณสุขศาสตร์ และ คณะแพทย์ศาสตร์ ที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเปิดหลักสูตร เรามีความพร้อมทุกๆ ด้าน ขณะที่อาคารสถานที่ก็สวยงามและโปร่งสบาย ต้นไม้เยอะ อากาศถ่ายเทสะดวก ตามนโยบายหลักที่วางเอาไว้ว่า จะทำอย่างไรทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้ผู้สูงอายุที่มาอยู่กับเรา มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด และมีอายุยืนยาวที่สุด เพื่อให้ลูกหลานมั่นใจได้

ทางด้าน ผศ.ดร.ภูมินทร์ รุ่งเรืองกูล รองผู้อำนวยการศูนย์ บีทียู มายโฮม กล่าวว่า ด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับธุรกิจนี้มามากกว่า 10 ปี กับพื้นที่ตรงนี้ ซึ่งมีจุดเด่นคือ มีสหวิชาชีพครบทุกสาขา นักจิตวิทยา, นักกิจกรรม, นักกายภาพบำบัด มีบรรยากาศที่ดี มีการถ่ายเทอากาศที่เหมาะสม มีสวนสำหรับผู้ป่วย น้ำตก น้ำพุ เราสร้างความเป็นธรรมชาติขึ้นมา ด้วยบริเวณที่ใหญ่ มีพื้นที่กว้างกว่า 50 ไร่ ในขณะที่อื่นๆ อาจมีพื้นที่จำกัด สระว่ายน้ำไม่มี สวนเดินเล่นก็ไม่มี ซึ่งโดยปกติแล้วผู้สูงอายุ ธรรมชาติคือสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อจิตใจ เพราะฉะนั้นธรรมชาติพวกนี้จะสามารถช่วยบำบัดได้ โดยเราจะเริ่มเปิดบริการอย่างเป็นการ ในวันที่ 1 ก.พ. นี้ แบบครบวงจร ทั้งในส่วนของ ธาราบำบัด, กายภาพบำบัด, กิจกรรมบำบัด, แพทย์แผนไทย และในส่วนของการพยาบาล ฯลฯ

สุดท้ายอยากจะฝากถึงทุกท่านว่า บีทียู มายโฮม มีความตั้งใจทำจากใจจริงๆ เรามีความสุขในการทำงานเต็มที่ จุดมุ่งหมายก็คือ ต้องเป็นศูนย์ที่ดูแลผู้สูงอายุได้ดีที่สุด

            ผู้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ BTU Myhome (มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี) สามารถสอบถาม ได้ที่ www.btumyhome.com หรือ 098-632-9491, 095-361-5641, 094-261-1162, 098-510-7034

ช่อง 3 ชวนแฟนละคร “เทพธิดาปลาร้า” & แฟนรายการ “แซ่บพาซ่าส์”

ใครชอบปลาร้าฟังทางนี้! ช่อง 3 เปิดช่องทางสร้างรายได้พารวยในช่วงสถานการณ์ Covid-19 ผ่านกิจกรรม “เทพธิดาปลาร้า…พาแซ่บ” กิจกรรมละคร “เทพธิดาปลาร้า” ร่วมกับรายการ “แซ่บพาซ่าส์” ที่ได้เปิดโอกาสให้แฟนๆ ร่วมประชันและนำเสนอเมนูสูตรอาหารประยุกต์สุดครีเอทที่มี “ปลาร้า” เป็นส่วนประกอบสำคัญในรังสรรค์ เพื่อชิงเงินรางวัลรวมกว่าแสนบาท! ผ่านรายการแซ่บพาซ่าส์ เมนูใดที่ถูกเลือกจะได้ถูกนำเสนอเมนูแซ่บผ่านรายการเพื่อให้ทุกคนทางบ้านได้แซ่บไปด้วยกัน

​กติการ่วมประชันเมนูแซ่บ

1. นำเสนอเมนูแซ่บที่มี “ปลาร้า” เป็นส่วนประกอบสำคัญ สุดแซ่บ สุดสร้างสรรค์ และสามารถทำได้จริง

2. ตั้งชื่อเมนู บอกส่วนผสม และถ่ายภาพตนเองคู่กับเมนู

3. ระบุชื่อ-นามสกุล พร้อมเบอร์โทรศัพท์

4. ส่งมาที่รายการแซ่บพาซ่าส์ทาง Inbox Facebook : Zaabplaza (เฉพาะช่องทางนี้เท่านั้น)

ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 และประกาศรายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบทางท้ายเพจละครเทพธิดาปลาร้า วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ 2564 ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.Ch3Thailand.com, Facebook : Ch3Thailand, Facebook : ZaabPlaza สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line : @zaabplaza

เปิดโครงการ “สมาคมประชาคมคนตาบอดไทย มอบแสงสว่าง ส่งพลังใจ เพื่อคนตาบอดสู้ภัยโควิด 19”

จากสถานการณ์โรคไวรัสโควิด 19 ระลอกใหม่ที่มีการแพร่ระบาดในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อทุกคน แต่สำหรับกลุ่มผู้พิการทางการเห็น หรือ“คนตาบอด”นั้น ดูเหมือนจะยิ่งทวีคูณความรุ่นแรงขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็น วิถีชีวิตใหม่ ที่สร้างความยากลำบากให้คนตาบอด ต้องเว้นระยะห่าง ไม่มีคนช่วยนำทาง ลดการใช้มือสัมผัส ตลอดจนอาชีพ การทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกมาตการควบคุม ทำให้ไม่มีรายได้ ตกงาน ถูกเลิกจ้าง แม้ส่วนหนึ่งจะได้ภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาบรรเทาความเดือดร้อนบ้างในระยะแรก แต่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งต้องการความช่วยเหลือแบบเร่งด่วน เพื่อปากท้องของตัวเอง รวมถึงจุนเจือค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว ด้วยเหตุนี้ สมาคมประชาคมคนตาบอดไทย จึงริเริ่มโครงการ “สมาคมประชาคมคนตาบอดไทย มอบแสงสว่าง ส่งพลังใจ ช่วยเหลือคนตาบอดสู้ภัยโควิด 19” ขึ้น โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นประธานเปิดงาน ณ ชั้น 1 อาคาร APCD บ้านราชวิถี กรุงเทพมหานคร ภายใต้มาตรการการควบคุมและป้องกันโรคระบาดโควิด 19 อย่างเคร่งครัด

โดย นายพัฒน์ธนชัย สระกวี  นายกสมาคมประชาคมคนตาบอดไทย กล่าวว่า สมาคมฯ มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนตาบอดในทุกมิติแบบบูรณาการ อีกทั้งยังช่วยเหลือเยียวยาคนตาบอดทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อโควิด 19 มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ทางสมาคมฯ ได้ออกเดินทางไปมอบเงินบริจาค ถุงยังชีพ ให้แก่พี่น้องคนตาบอดที่ได้ผลกระทบ เกือบทุกจังหวัด  ได้สัมผัสและรับรู้ด้วยตัวเองว่า ยังมีครอบครัวคนตาบอดอีกหลายพันชีวิตที่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก บางคนไม่มีเงินแม้กระทั่งจะซื้อข้าวรับประทานในแต่ละวัน ออกไปไหนมาไหนไม่ได้ มีความเดือนร้อนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก โดยโครงการนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเชิญชวนให้ทุกท่าน ร่วมกันแบ่งปันกำลังใจเล็กๆน้อยๆให้กับคนตาบอดบ้าง ให้พวกเขาได้รู้สึกไม่โดดเดียว ไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง มีความห่วงใยส่งถึงกัน เป็นอีกหนึ่งศูนย์รวมน้ำใจคนไทย ส่งต่อความปรารถนาดี และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมก้าวผ่านพ้นวิกฤตโควิด 19 นี้ไปด้วยกัน ซึ่งต้องขอความอนุเคราะห์จากผู้ใจบุญ ร่วมบริจาคเครื่องอุปโภค บริโภค จำเป็นในการดำรงชีวิตอาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยาสามัญประจำบ้าน หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ผงซักฟอก สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แป้ง ฯลฯ เพื่อจัดทำเป็นถุงยังชีพมอบให้แก่คนตาบอดทั่วประเทศ รวมถึงยังร่วมบริจาคเงินตามกำลัง เพื่อมอบให้คนตาบอด ตลอดจนจัดซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหาร โดยเฉพาะคนตาบอดสูงอายุ ผู้ขาดแคลน และไม่มีครอบครัวดูแล เป็นต้น

                บรรยากาศภายในงานร่วมพูดคุยกับผู้พิการทางการเห็น ได้แก่ มาตยา ล่องกาศ อาชีพ นวดแผนไทย ซึ่งบอกว่า  “หลังจากได้รับการผ่อนปลนให้เปิดบริการ ก็มีรายได้เข้ามาบ้าง แต่น้อยมาก บางวันแทบไม่มีลูกค้าเลย ยอมรับว่าลำบากมากพอสมควร อยากหาอาชีพเสริม แต่ด้วยข้อจำกัด จึงไม่สามารถทำได้เหมือนคนปกติค่ะ  ทางด้าน มนตรี บรรยาคำ อาชีพ ผู้แสดงความสามารถพิเศษในที่สาธารณะเล่าว่า “ตอนนี้อยู่บ้าน ไม่มีงานเลย ไปไหนมาไหนก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ ต้องปรับตัวในวิถีชีวิตใหม่ ลดการสัมผัส เว้นละยะห่าง ซึ่งคนตาบอดทำได้ยาก เราต้องอาศัยคนอื่นนำทาง และใช้มือแทนตาครับ” 

นอกจากนี้ยังมีเหล่าคนดังใจบุญตบเท้าเข้าร่วมงานเปิดโครงการ พร้อมมอบเงินบริจาค ถุงยังชีพ และหน้ากากอนามัย อาทิ พญ.พลอยลดา ธนาไพศาลวรกุล, นุชนาถ ระวีแสงสูรย์, ศศิวิมล ดารารัตนโรจน์ และ ปิยะมาลา ดำริกาญจน์  

สำหรับผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคสิ่งของต่างๆได้ด้วยตนเอง หรือจัดส่งทางไปรษณีย์ ให้ สำนักงาน สมาคมประชาคมคนตาบอดไทย เลขที่ 63/374 บางใหญ่ซิตี้ ซอย 10/11 หมู่ 6 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140 รวมถึงร่วมบริจาคด้วยการโอนเงินผ่าน บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นจูรี่ ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนตาบอดในประเทศไทย หมายเลขบัญชี 481 – 0 – 14002 – 4 หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 089 994 6656 หรือ สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อรับข้อมูลข่าวสารของสมาคมฯ ผ่านไลน์ แอพพลิเคชั่น

การบินไทยรับคนไทยจากออสเตรเลีย ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น กลับสู่ประเทศไทย

นาวาอากาศตรี อนิรุต แสงฤทธิ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ ในฐานะหัวหน้าศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการ (THAI Operations Control Center : TOCC) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้ความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศของไทย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว จัดเที่ยวบินพิเศษรับคนไทย จำนวน 4 เที่ยวบินจากออสเตรเลีย ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น ที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 17-23 มกราคม 2564 มีรายละเอียดดังนี้

1. เที่ยวบินที่ ทีจี 476 เส้นทางซิดนีย์-กรุงเทพฯ รับผู้โดยสารชาวไทยจากออสเตรเลีย จำนวน 106 คน  กลับประเทศไทย เป็นครั้งที่ 21 ออกเดินทางจากซิดนีย์ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564 เวลา 10.07 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 15.02 น. ในวันเดียวกัน

2. เที่ยวบินที่ ทีจี 639 เส้นทางฮ่องกง-กรุงเทพฯ รับผู้โดยสารชาวไทยจากฮ่องกง จำนวน 51 คน กลับประเทศไทย เป็นครั้งที่ 13 ออกเดินทางจากฮ่องกง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 เวลา 18.40 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 20.22 น. ในวันเดียวกัน

3. เที่ยวบินที่ ทีจี 657 เส้นทางโซล-กรุงเทพฯ รับผู้โดยสารชาวไทยจากเกาหลี จำนวน 288 คน กลับประเทศไทย เป็นครั้งที่ 9 ออกเดินทางจากเกาหลี เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564 เวลา 11.10 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 14.47 น. ในวันเดียวกัน

4. เที่ยวบินที่ ทีจี 643 เส้นทางโตเกียว(นาริตะ)-กรุงเทพฯ รับผู้โดยสารชาวไทยจากญี่ปุ่น จำนวน 174 คน กลับประเทศไทย เป็นครั้งที่ 7 ออกเดินทางจากโตเกียว(นาริตะ) เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564 เวลา 11.40 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 16.14 น. ในวันเดียวกัน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ทำการขนส่งสินค้าในเที่ยวบินทั้งขาไปและขากลับอีกด้วย

บริษัทฯ ภาคภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจให้ปฏิบัติภารกิจเพื่อรับคนไทยในต่างประเทศกลับบ้านอย่างต่อเนื่อง ด้วยความใส่ใจทั้งด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย โดยมีพนักงานการบินไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมปฏิบัติหน้าที่ประสานงาน และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร