Acer Day 2025: #BreakALimit – เชื่อมโลกเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์อย่างไร้ขีดจำกัด

  • Acer Day กลับมาอีกครั้งเป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน ครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยมีสีสันมากมาย ตลอดเดือนสิงหาคมนี้
  • ภายใต้ธีมประจำปี “#BreakALimit” ที่เอเซอร์ต้องการส่งต่อแรงบันดาลใจให้ทุกคนก้าวข้ามขีดจำกัดและเผชิญความท้าทายด้วยพลังของเทคโนโลยีล้ำสมัย
  • ในประเทศไทย เตรียมพบกับกิจกรรมพิเศษ ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ พร้อมด้วยแคมเปญโปรโมชั่นสุดคุ้มตลอดเดือนสิงหาคม 2568

กรุงเทพฯ, กรกฎาคม 2568 – เอเซอร์เปิดฉาก Acer Day 2025 อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้ธีม “#BreakALimit” จุดประกายให้ผู้คนทั่วเอเชียแปซิฟิกกล้าท้าทายขีดจำกัดของตนเองอีกครั้ง กับแคมเปญที่ก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 อย่างภาคภูมิ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของเอเซอร์ในการพัฒนานวัตกรรม ส่งต่อแรงบันดาลใจ และสร้างสายใยความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับผู้บริโภคทุกกลุ่มอย่างแท้จริง

ธีม #BreakALimit คือคำเชิญชวนให้ทุกคนลุกขึ้นมาท้าทายขีดจำกัด พร้อมฝ่าฟันอุปสรรคและความไม่แน่นอน ด้วยพลังของเทคโนโลยีที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพและเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ

นายแอนดรูว์ โฮว ประธานฝ่ายปฏิบัติการภูมิภาค Pan Asia Pacific, บริษัท Acer Inc. เปิดเผยว่า“Acer Day 2025 ถือเป็นการเฉลิมฉลองของผู้ที่พร้อมก้าวข้ามขีดจำกัด ภายใต้แนวคิด #BreakALimit ที่สะท้อนความเชื่อของเอเซอร์ในการสนับสนุนให้ทุกคนกล้าออกจากขอบเขตเดิม ๆ เพื่อแสวงหาโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ผ่านเทคโนโลยีล้ำสมัยของเรา โดยเรายังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเสริมสร้างพลังสร้างสรรค์ในทุกมิติทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

สำหรับประเทศไทย เอเซอร์ยังคงยึดมั่นในพันธกิจในการขับเคลื่อนแนวคิด #BreakALimit อย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโซลูชันเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกมิติ ทั้งในด้านการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างสมดุลและยั่งยืน

นายเจฟ ลี กรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า แคมเปญ #BreakALimit ในปีนี้ ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเอเซอร์ในการยกระดับศักยภาพของแบรนด์ เพื่อสนับสนุนทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและการทำงาน ผ่านโซลูชันและเทคโนโลยีที่ครอบคลุม ตั้งแต่โน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ไปจนถึงโซลูชันระดับองค์กรอย่างเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบเพื่อรองรับโลกการทำงานยุคใหม่ ผ่านการผสานพลังนวัตกรรม AI เข้ากับระบบนิเวศผลิตภัณฑ์ครบวงจรของเอเซอร์ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ปลดล็อกศักยภาพและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด

Acer Day 2025 พร้อมเปิดฉากและจะเฉลิมฉลองต่อเนื่องตลอดทั้งเดือนสิงหาคมนี้ กับกิจกรรมและแคมเปญสุดพิเศษ

สำหรับ เอเซอร์ ประเทศไทย เตรียมจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟในวันที่ 1-3 สิงหาคมนี้ ที่ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ชั้น G เปิดโอกาสให้ทุกคนได้สัมผัสนวัตกรรมล่าสุด และพบกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จากเอเซอร์ พร้อมสนุกไปกับกิจกรรม ความบันเทิง และสิทธิพิเศษมากมาย

ทั้งหมดนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด #BreakALimit ที่อยากเชิญชวนให้ทุกคนกล้าก้าวข้ามขีดจำกัด ค้นพบศักยภาพใหม่ ๆ และก้าวสู่อนาคตไปพร้อมกับเอเซอร์

กิจกรรมสุดพิเศษในงาน Acer Day 2025 ประเทศไทย
วันที่: 1 – 3 สิงหาคม 2568
สถานที่: ลานกิจกรรม ชั้น G, ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์

โซนกิจกรรมไฮไลต์ ห้ามพลาด!

Promotion Zone
พบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะภายในงาน ลดจัดเต็ม รับ Cash Back สูงสุด 3,000 บาท หรือโปรผ่อนสบาย 0% กับสินค้าที่ร่วมรายการ พร้อมของแถมแบบจุใจ ที่หาไม่ได้จากที่อื่น! (มาก่อน มีสิทธิ์ก่อน

Product Demo Zone
สัมผัสนวัตกรรมจาก Acer ด้วยตัวคุณเอง ทดลองใช้งานจริงกับโน้ตบุ๊ก พีซี ที่มาพร้อม AI Technology และอุปกรณ์เสริมหลากหลายรุ่น ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

Entertainment Zone
สนุกกับกิจกรรมความสนุกที่อัดแน่นทุกวัน ที่เอเซอร์ขนมาแบบจัดเต็ม อาทิ

  • Unlocked Game ปลดล็อกรหัสลับ รับโน้ตบุ๊กฟรี กลับบ้านไปเลย
  • ร่วมสนุก เล่นกิจกรรม Sport Challenge รับของรางวัลมากมาย
  • พบกับ 2 ไฮไลต์สุดพิเศษ ที่จะมาเรียกเสียงกรี๊ด พร้อมความสนุกแบบไม่มีขีดจำกัด

2 สิงหาคม 2568 – Meet & Greet with Butterbear
มัมหมี–พ่อหมี ห้ามพลาด! พบความน่ารักใจละลาย พร้อมมาออกสเต็ป ลดพุงเต่ง กับน้องเนย
และขอชวนมัมหมี พ่อหมี ใส่ชุดออกกะละมังกาย มาประชัน ชิงของรางวัลพิเศษสุดคิ้วท์ ลงทะเบียนร่วมกิจกรรมหน้างานลุ้นเข้า Lucky Zone ใกล้ชิดกับน้องเนยแบบติดขอบเวที

3 สิงหาคม 2568 – มินิคอนเสิร์ตสุดมันส์จาก PROXIE! เหล่า USER ห้ามพลาด! เตรียมกรี๊ดให้สุดเสียง กับ Mini Concert สุดมันส์จาก 6 หนุ่ม PROXIE ที่จะขนความเท่มาทำให้ใจเต้นแรง!

ลงทะเบียนร่วมกิจกรรมหน้างานลุ้นเข้า Lucky Zone ใกล้ชิดกับ 6 หนุ่ม PROXIE แบบติดขอบเวทีติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Facebook AcerThailand

พร้อมกันนี้ เอเซอร์ยังมอบสิทธิพิเศษตลอดเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อให้ทุกท่านได้ร่วมเฉลิมฉลอง Acer Day 2025 อย่างเต็มที่ กับแคมเปญ “โปรสุดปัง ทั้งลดทั้งแถม” ให้กับลูกค้าทั่วประเทศ ด้วยข้อเสนอสุดคุ้ม ดังนี้

ส่วนลดสูงสุด 9,000 บาท
ผ่อน 0% นานสูงสุด 15 เดือน
รับฟรี! Acer Wireless Earphone มูลค่า 990 บาท* เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ Acer หรือ Predator มูลค่าตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป (*จำกัด 1 ชิ้นต่อเครื่องต่อใบเสร็จ เฉพาะลูกค้า 300 ท่านแรก)

ระยะเวลาโปรโมชั่น: 1 – 31 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่าของแถมจะหมด
ช่องทางจัดจำหน่าย: ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเอเซอร์ทั่วประเทศ
ลงทะเบียนรับของแถมได้ทาง LINE Official Account: @AcerThailand

รายละเอียดเพิ่มเติม: https://acerthailand.com/promotion/acer-day-2025/

ติดตามข้อมูลกิจกรรม ข่าวสาร และโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ทาง
เว็บไซต์: www.acerthailand.com  Facebook / Instagram / X: @AcerThailand

จิตแพทย์เตือน “บูลลี่” ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เสี่ยงทำเด็กป่วยทางจิตเวช และอาจรุนแรงถึงขั้น “อยากฆ่าตัวตาย”

ในสังคมที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน เด็กจำนวนไม่น้อยกำลังต่อสู้อย่างเงียบงันกับบาดแผลในใจที่ไม่มีใครมองเห็น หนึ่งในภัยร้ายที่กำลังกัดกินจิตใจของเด็กไทยโดยที่สังคมยังไม่ตระหนักเพียงพอ      คือ “การบูลลี่” หรือ “การกลั่นแกล้งกัน” ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียน เสียดสี พูดจาดูถูก เพิกเฉย หรือประจานกันในโลกออนไลน์ การกระทำเหล่านี้ล้วนสามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะป่วยทางจิตใจ และอาจนำไปสู่โรคจิตเวชที่รุนแรงถึงขั้น “คิดฆ่าตัวตาย” ได้

พญ.ปรานี ปวีณชนา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบเด็กวัยรุ่นป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามากขึ้น โดย “การบูลลี่” เป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่ไม่ควรถูกมองข้าม เพราะ “เด็กที่ถูกบูลลี่ซ้ำ ๆ จะเริ่มหมดความมั่นใจในตัวเอง ไม่อยากไปโรงเรียน แยกตัวจากเพื่อนและครอบครัว เงียบ มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง เหม่อลอย ผลการเรียนลด การกินการนอนไม่ดี ไม่สนใจทำสิ่งที่เคยชอบ บางรายมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง และคิดฆ่าตัวตาย โดยที่คนรอบข้างอาจไม่ทันสังเกต”

นอกจากเด็กที่ตกเป็นเหยื่อแล้ว เด็กที่เป็น “ผู้กระทำ” เองก็อาจมีปัญหาทางจิตเวชโดยไม่รู้ตัว เช่น    โรคสมาธิสั้น หรือภาวะซึมเศร้า โดยอาจใช้การกลั่นแกล้งผู้อื่นเป็นช่องทางระบายความรู้สึกด้อยค่าที่เก็บกดไว้ ขณะเดียวกัน เด็กที่เป็น “ผู้เห็นเหตุการณ์” หากไม่ได้รับการดูแล อาจเกิดภาวะเครียดเรื้อรัง (PTSD) หรือกลายเป็นผู้กระทำในอนาคตได้เช่นกัน

วงจรอันตรายนี้ยังอาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การใช้สารเสพติดตั้งแต่วัยเรียน     ไม่ว่าจะเป็นกัญชา บุหรี่ไฟฟ้า หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งเด็กจำนวนมากยอมรับว่าใช้เพื่อหนีจากความเครียด หรือระบายความเจ็บปวดภายในใจ

พญ.ปรานี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อัตราการพบโรคจิตเวชในเด็กและวัยรุ่นไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5–10% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเกิดจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น และอีกส่วนหนึ่งมาจากครอบครัวที่เริ่มเปิดใจและเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีเด็กอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

“ผู้ปกครองหรือครูไม่ควรรอให้เด็กป่วยรุนแรง หากเห็นพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น ซึมเศร้า แยกตัว ไม่อยากเข้าสังคม หรือไม่พูดกับใคร ทั้งที่เคยเป็นเด็กสดใสร่าเริง ควรรีบพูดคุยและพาไปพบจิตแพทย์ เพราะการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้ผลดีที่สุด”

ทั้งนี้ การรักษาโรคทางจิตเวชในวัยรุ่นต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งครอบครัว โรงเรียน และทีมแพทย์ โดยบทบาทของครูและผู้ปกครองถือเป็น “ด่านหน้า” ในการสังเกตพฤติกรรมและให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ผู้ใหญ่ในระบบการศึกษาไม่ควรมอง “การกลั่นแกล้ง” ว่าเป็นแค่เรื่องหยอกล้อธรรมดา เพราะหลายครั้ง “ความรุนแรงไม่ได้อยู่ที่มือ แต่อยู่ในคำพูดและท่าทีที่ทำลายจิตใจของเด็ก”

พญ.ปรานี กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผู้ปกครองและคุณครูควรสังเกตพฤติกรรมของเด็กอย่างใกล้ชิด หากเด็กมีอาการเงียบ ซึม ไม่สดใส แยกตัวออกจากเพื่อน อย่ามองว่าแค่ ‘นอยด์’ หรืออารมณ์แปรปรวนตามวัย เพราะสิ่งที่ผู้ใหญ่คิดว่าเล็ก อาจเป็นเรื่องใหญ่ในโลกของเด็ก จนถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”   ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องรับมือกับปัญหานี้อย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงเพื่อลดอัตราผู้ป่วยจิตเวชในวัยรุ่น แต่เพื่อปกป้อง “หัวใจเล็ก ๆ” ที่กำลังเติบโตภายใต้แรงกดดันมหาศาล

“สุขภาพจิตของเด็กก็เหมือนการสร้างตึก หากเราปล่อยให้รอยร้าวเล็ก ๆ เติบโตโดยไม่ดูแล วันหนึ่ง…ตึกทั้งหลังก็อาจพังทลายลง โดยที่เราไม่มีวันซ่อมกลับคืนได้อีก” และที่สำคัญ การ “บูลลี่” เพียงครั้งเดียว อาจกลายเป็น “แผลลึก” ที่ไม่มีวันจางหายไปจากใจของเขาไปตลอดชีวิต

NORDE ยกระดับเวย์โปรตีนสู่ไลฟ์สไตล์รายวัน ชูจุดแข็ง “รสชาติหลากหลาย – คุณภาพสูง – ราคาคุ้มค่า”พร้อมบุกตลาดเต็มรูปแบบ หวังแตะยอดขาย 50 ล้านบาทในปี 68

NORDE (นอร์จ) แบรนด์โปรตีนคุณภาพ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท นอร์จ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประกาศเดินหน้าบุกตลาดอาหารเสริมเพื่อสุขภาพอย่างเต็มที่ ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่มด้วยแนวคิด “สุขภาพที่ดีไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง” พร้อมเปิดตัวเวย์โปรตีนและโปรตีนทางเลือกหลากหลายรสชาติ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ชูจุดเด่นด้านรสชาติ ความหลากหลาย และคุณภาพระดับพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้ ตั้งเป้ายอดขายในปี 2568 ไว้ที่กว่า 50 ล้านบาท

นายณัฐชนน อนันตทวีกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นอร์จ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า แบรนด์ NORDE ถือกำเนิดขึ้นจากความเข้าใจลึกซึ้งในปัญหาของผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ที่ออกกำลังกายหรือรักสุขภาพ ที่มักประสบปัญหากับเวย์โปรตีนรสชาติจำเจ จนทำให้รับประทานได้ไม่นานและไม่ต่อเนื่อง จึงเกิดแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โปรตีนที่ “สามารถอยู่ในชีวิตประจำวันได้ กินได้ทุกวัน และกินได้แบบไม่เบื่อ” ด้วยความหลากหลายของรสชาติและประเภทโปรตีนที่ครอบคลุมทุกความต้องการ

เมื่อมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ ทีมงานได้ดำเนินการวิจัยตลาดอย่างเข้มข้น ทั้งแบบออฟไลน์จากกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากกว่า 1,000 คน และแบบออนไลน์ผ่านการทำ Social Monitoring เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและ Pain Point ของผู้บริโภค ข้อมูลที่ได้จึงถูกนำไปใช้พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ โดยแต่ละรสชาติผ่านการปรับแต่งมากกว่า 20–30 ครั้ง จนได้รสชาติที่ลงตัวในแบบที่ทานได้ทุกวัน

ปัจจุบัน NORDE มีผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม ได้แก่

  • เวย์โปรตีน (Whey Protein) 10 รสชาติ
  • ซอยโปรตีน (Soy Protein) 2 รสชาติ สำหรับผู้แพ้นมวัว ผู้สูงอายุ หรือผู้ทานมังสวิรัติ
  • มัลติแพลนต์โปรตีน (Multi-Plant Protein) 5 รสชาติ รวมโปรตีนจากพืชหลากหลายชนิด เช่น ข้าว ถั่ว และธัญพืชต่าง ๆ สำหรับผู้แพ้นมวัว หรือแพ้ถั่วเหลือง ผู้สูงอายุ หรือผู้ทานมังสวิรัติ

รวมทั้งหมดกว่า 17 สูตร ซึ่งถือว่ามีจำนวนรสชาติหลากหลายมากที่สุดในตลาดปัจจุบัน

นายณัฐชนน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “เราให้ความสำคัญกับการพัฒนารสชาติอย่างมาก แต่ละสูตรต้องผ่านการทดสอบกับผู้บริโภคหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่เคยและไม่เคยทานเวย์โปรตีน รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อให้ได้สูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแท้จริง โดยที่ลูกค้าทานแล้วไม่เบื่อ สามารถเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันได้”

สำหรับจุดแข็งของ NORDE คือ ความกล้าที่จะลงทุนในสินค้าและสต๊อกถึง 17 สูตร พร้อมเลือกใช้วัตถุดิบโปรตีนคุณภาพสูงที่นำเข้าจากต่างประเทศ 100% ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล เช่น GMP และ ISO ทำให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพ พร้อมตั้งราคาจำหน่ายที่คุ้มค่า เช่น ขนาด 2.5 ปอนด์ จำหน่ายเพียง 1,399 บาท เพื่อให้คนรักสุขภาพสามารถเข้าถึงได้ง่าย

ด้านกลยุทธ์การตลาด NORDE เน้นช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ทั้ง Shopee, Facebook, Instagram, TikTok และช่องทางพันธมิตรในฟิตเนสชื่อดัง รวมถึงการใช้ Influencer Marketing เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มเป้าหมาย พร้อมเปิดรับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีแผนจะเข้าสู่ช่องทาง Modern Trade ในอนาคต โดยกลุ่มลูกค้าของ NORDE มีความหลากหลาย ครอบคลุมทั้งผู้ที่ออกกำลังกาย ผู้รักสุขภาพทั่วไป ผู้สูงอายุ และผู้ที่ต้องการโปรตีนทางเลือกอื่นที่ย่อยง่ายและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ โดยปัจจุบันกลุ่มเวย์โปรตีนยังคงเป็นสัดส่วนหลัก (50–60%) รองลงมาคือกลุ่มโปรตีนพืช ซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ให้ความสำคัญกับการดูแลกล้ามเนื้อ

แม้จะเพิ่งดำเนินธุรกิจได้เพียง 2 ปี แต่ NORDE ก็สามารถทำยอดขายแตะหลักสิบล้านบาท และตั้งเป้าเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2568 สู่ยอดขาย 50 ล้านบาท โดยมีการออกผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่ (2.5 ปอนด์) เพื่อรองรับผู้บริโภคที่ทานต่อเนื่องและต้องการความคุ้มค่าในระยะยาว

นายณัฐชนน กล่าวปิดท้ายว่า “เทรนด์สุขภาพยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสังคมผู้สูงอายุที่ให้ความสำคัญกับสารอาหารครบถ้วน เราจึงมีแผนต่อยอดไปยังสินค้ากลุ่ม Meal Replacement และผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมทั้งเตรียมขยายตลาดสู่ต่างประเทศภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งแบรนด์ของเราถูกออกแบบให้พร้อมรองรับตลาดโลกตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งในด้านภาษา บรรจุภัณฑ์ และมาตรฐาน”

แม้ตลาดโปรตีนจะมีการแข่งขันสูง แต่ NORDE เชื่อมั่นว่า ความเข้าใจในผู้บริโภค การพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และคุณภาพที่เข้าถึงได้ จะทำให้แบรนด์สามารถเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าในระยะยาว เพราะ“NORDE ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์เวย์โปรตีน แต่เราต้องการเป็นโปรตีนที่คนสามารถทานได้ทุกวัน เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ทั้งอร่อย คุ้มค่า และดูแลสุขภาพได้อย่างยั่งยืน”

เตรียมพบกับงานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลก Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2026
ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 – 26 มิถุนายน 2569 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) โดยในปีนี้งานเตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการเปิดตัว Cosmopack CBE ASEAN Bangkok 2026 เป็นครั้งแรกในภูมิภาค ภายใต้แนวคิด “The Show within the Show” Cosmopack จะเป็นพื้นที่จัดแสดงที่ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจในสายการผลิตความงาม (Supply Chain) อย่างครบวงจร ตั้งแต่วัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ เครื่องจักร การรับจ้างผลิต (OEM/ODM)
ไปจนถึงโซลูชันบริการต่าง ๆ สำหรับภาคการผลิต โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการระดับโลกที่พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมล่าสุดในอุตสาหกรรม

การกลับมาของ Cosmoprof CBE ASEAN ในปี 2569 จึงถือเป็นเวทีสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยและนานาชาติไม่ควรพลาด โดยเฉพาะแบรนด์ที่ต้องการยกระดับขีดความสามารถทางธุรกิจ เชื่อมต่อพันธมิตรใหม่
และอัปเดตเทรนด์นวัตกรรมความงามระดับโลก ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงจองพื้นที่เข้าร่วมแสดงสินค้า ได้ที่เว็บไซต์:
www.cosmoprofcbeasean.com

AEC Group พลิกเกมสู่ผู้นำโรงงาน OEM เครื่องสำอางไทย มาตรฐานโลกพร้อมปั้นยอดขายปี 2567 แตะ 360 ล้านบาท

บริษัท เออีซี รีซอร์สเซส ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (AEC Resources Development Co., Ltd.) รุกตลาดความงามครบวงจร ยกระดับนวัตกรรมและคุณภาพการผลิต รับมือความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่บทบาทผู้นำด้านการผลิตเครื่องสำอางครบวงจร (OEM) มาตรฐานสากล พลิกเกมจากเจ้าของแบรนด์ สู่ธุรกิจ OEM พร้อมให้บริการแบบ One Stop Service ครอบคลุมตั้งแต่การคิดค้นสูตรเฉพาะ การวิจัยและพัฒนา ไปจนถึงการผลิตและให้คำปรึกษาการตลาดแบบเจาะลึก เดินหน้าแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 2 เท่าภายใน 3–5 ปี รองรับการเติบโตของตลาดทั้งในและต่างประเทศ หลังโกยรายได้ 183 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา พร้อมตั้งเป้ายอดขายรวมปี 2568 ที่ 360 ล้านบาท

คุณวิศวัศฉริยา โชติพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออีซี รีซอร์สเซส ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า จุดเริ่มต้นมาจากการเป็นเจ้าของแบรนด์ที่ประสบปัญหาด้านคุณภาพและความล่าช้าในการจ้างผลิตจากภายนอก จึงตัดสินใจลงทุนกว่า 100 ล้านบาทในการสร้างโรงงานผลิตเครื่องสำอางของตนเอง โดยมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการผลิตให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล ทั้งในด้านความสะอาด ความปลอดภัย และการพัฒนาสูตรโดยนักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางโดยเฉพาะ

โรงงานของ AEC ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล อาทิ ISO 9001, ISO 22716, GMP และ Halal โดยมีทีมนักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางเฉพาะทางดูแลการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อพัฒนาสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดเฉพาะกลุ่ม โดยเน้นนวัตกรรมและสารสกัดแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่มีผลการวิจัยรองรับ

คุณวิศวัศฉริยา กล่าวต่อว่า AEC ให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาสูตร บรรจุภัณฑ์ การออกแบบแบรนด์ ไปจนถึงการวางกลยุทธ์การตลาดสำหรับลูกค้า OEM ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 300 แบรนด์ โดยลูกค้าไทยคิดเป็น 90% และต่างประเทศอีก 10% จากจีน กัมพูชา พม่า และตะวันออกกลาง ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทสกินแคร์ แฮร์แคร์ และบอดี้แคร์ โดยบริษัทตั้งเป้าขยายฐานลูกค้า OEM เพิ่มขึ้นอีก 30% ในปีนี้ ผ่านการออกงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ และจากลูกค้าพริกหลังกล่องดูผู้ผลิตของสินค้าที่ผลิตแล้วขายดีมีคุณภาพ ทำให้มีลูกค้าใหม่ติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากบทบาทผู้ผลิต OEM แล้ว AEC ยังมีแบรนด์ของตนเอง ได้แก่ PWP (Product with Powder) และ Bio Skin ภายใต้ บริษัท เออีซี  อินโนเวชั่น คอส จำกัด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งเวชสำอางที่เน้นการแก้ปัญหาผิวอย่างเห็นผล โดย PWP เจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งให้ความนิยมในผลิตภัณฑ์จากประเทศไทย ด้วยจุดเด่นของสารสกัด HYALURONATE และ Collagen ที่ช่วยให้ผิวอิ่มฟู ชุ่มชื้น และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

กลยุทธ์การตลาดของ PWP ใช้เครื่องมือหลากหลาย ทั้งการใช้ Influencer จีน การโฆษณาผ่านการ Wrap เครื่องบิน การวาง PWP ให้เน้นแลนด์มาร์คของไทยเป็นสินค้าไทยที่ต้องซื้อ  และการกระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายในไทยและจีน โดยมีร้านค้าชั้นนำเป็นช่องทางหลัก อาทิ King Power, Watsons, EVEANDBOY, Boots, Big C และร้านขายยา เช่น Save Drug ในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ และสยามฟามาซีย่านเพลินจิต

ส่วน Bio Skin เน้นเจาะตลาดออนไลน์ในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและ First Jobber ที่มีปัญหาเรื่องสิว ผลิตภัณฑ์ของทั้งสองแบรนด์มีคุณสมบัติกึ่งเวชสำอาง ใช้แล้วเห็นผลจริง และสามารถอยู่ในตลาดได้อย่างยั่งยืน โดยสินค้าหลายรายการมีอายุในตลาดมากกว่า 8 ปี สวนทางกับเทรนด์ในอุตสาหกรรมความงามที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วตามกระแส

คุณวิศวัศฉริยา กล่าวปิดท้ายว่า ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 183 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากแบรนด์ของบริษัท 52% และ OEM 48% ขณะที่ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 360 ล้านบาท โดยใช้กลยุทธ์การตลาดแบบผสมผสาน ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ค่อนข้างสูง เนื่องจากนำแบรนด์ PWP ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัท ขยายตลาดสู่ Modern Trade ทั่วประเทศ เพื่อกระจายสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยให้มากขึ้น และขยายสู่ประเทศเพื่อนบ้าน และตะวันออกกลาง  หลังจากที่สามารถเจาะกลุ่มตลาดจีนได้สำเร็จ

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว โดย AEC Group วางแผนขยายโรงงาน เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 2 เท่าภายในช่วง 3–5 ปีข้างหน้า พร้อมเสริมศักยภาพการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากทั้งในประเทศและการส่งออก

“AEC Resources Development” ยืนยันจุดยืนในการเป็นโรงงานผลิตเครื่องสำอางของไทยที่ได้มาตรฐานระดับโลก ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพ นวัตกรรม และบริการแบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถสร้างแบรนด์ของตนเองได้อย่างมั่นคง และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมความงามไทยสู่เวทีสากลอย่างยั่งยืน

พบกันงานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลก Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2026 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 – 26 มิถุนายน 2569 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยงานในปีนี้เตรียมเปิดตัวไฮไลต์สำคัญครั้งแรกกับ Cosmopack CBE ASEAN Bangkok 2026 พื้นที่แสดงสินค้า Supply Chain ภายใต้แนวคิด “The show within the show” ที่จะนำเสนอสุดยอดนวัตกรรมล้ำสมัยจากห่วงโซ่อุปทานความงามทั่วโลก ครอบคลุมตั้งแต่วัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ เครื่องจักร รับจ้างผลิต ฉลากสินค้า OEM/ODM ไปจนถึงโซลูชันบริการด้านการผลิตครบวงจร นับเป็นเวทีสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศไม่ควรพลาด โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการยกระดับแบรนด์ เชื่อมต่อพันธมิตรใหม่ และอัปเดตเทรนด์นวัตกรรมล่าสุดของอุตสาหกรรมความงามในระดับสากลสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือจองพื้นที่ออกแสดงสินค้าได้ที่เว็บไซต์: https://www.cosmoprofcbeasean.com/

“HomePro SUPER EXPO” ยืนหนึ่งเรื่องบ้าน คุ้มสุด-ลดใหญ่กลางปี !! สินค้าบ้านลดแรงส์ 50% เสิร์ฟลิสต์ดีลเด็ด คืนเงินสูงสุด 160,000 บาท! 24-28 ก.ค.68 นี้ ช้อปสนุก ช้อปคุ้ม ได้ทุกสาขาและออนไลน์

โฮมโปรตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ประชาชนต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เราจึงจัดแคมเปญ HomePro SUPER EXPO ขึ้นมา
เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยคัดสรรสินค้าคุณภาพเกี่ยวกับบ้านมาลดราคาสูงสุดถึง 50% พร้อมจัดเต็มด้วยโปรโมชั่นพิเศษ ทั้งส่วนลดเพิ่มและเงินคืนรวมมูลค่ากว่า 160,000 บาท ให้ทุกครอบครัวสามารถดูแลบ้านได้อย่างเต็มที่ในแบบที่ต้องการ พร้อมบริการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ สะดวกสบายเลือกช้อปได้ทั้งสาขาและออนไลน์ตลอด 5 วันเต็ม 24-28 ก.ค. 68 นี้


นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร
กล่าวว่า ในช่วงกลางปี ถือเป็นจังหวะสำคัญที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับ “บ้าน” มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปรับปรุงหรือแต่งเติมบ้าน เพื่อรีเฟรชบรรยากาศให้พร้อมรับหน้าฝน, อัปเดตเทรนด์แต่งบ้านครึ่งปีหลัง หรือมองหาไอเดียใหม่ๆ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตในระยะยาว โฮมโปรจึงได้จัดงาน ‘HomePro SUPER EXPO’ ขึ้นอีกครั้ง เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนรักบ้าน ภายใต้แนวคิด ‘ยืนหนึ่ง’ ที่สะท้อนความครบไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา โปรโมชัน และบริการ ที่ออกแบบมาให้ตรงใจกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ แบบครบ คุ้มทุกเรื่องบ้าน อย่างแท้จริง

“HomePro SUPER EXPO ครั้งนี้ ถูกออกแบบให้เป็นอีเว้นต์ไฮไลต์กลางปีที่คนรักบ้านไม่ควรพลาด ไม่ว่าคุณจะอยากแต่งมุมโปรดในบ้านให้เป็น “มินิมอลสไตล์-สุดอบอุ่น” หรือ “โมเดิร์นสไตล์-ที่สะท้อนตัวตน” หรือ แม้แต่ “มีแพลนรีโนเวทบ้านครั้งใหญ่” หรือ “มองหาของชิ้นใหญ่ในราคาที่ดีที่สุด” งานนี้คือคำตอบที่ใช่! เพราะโฮมโปรคัดสรรดีลพิเศษมาให้ พร้อมยกประสบการณ์ช้อปที่ครบครันและยืดหยุ่นได้ตามใจ จะช้อปหน้าร้านก็ได้ หรือจะคลิกช้อปออนไลน์ ก็สะดวกทุกที่ทุกเวลา เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความคุ้มค่าในแบบที่ตรงใจและตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในบ้าน”

มหกรรม HomePro SUPER EXPO จัดเต็มความคุ้มซูเปอร์ช็อค! #ยืนหนึ่ง สินค้าและบริการเรื่องบ้าน ที่คุ้มสุด และลดอย่างยิ่งใหญ่กลางปี #แรงส์ห้ามพลาด ไม่ว่าจะเป็น

  • SUPER PRICE สินค้าลดแรงสูงสุด 50% !!
  • ยืนหนึ่งความพิเศษ! เฉพาะสมาชิกโฮมการ์ดเท่านั้น สมัครสมาชิกใหม่โฮมการ์ดรับสิทธิ์ SUPER HOMECARD! รับคูปองส่วนลดทันที 300 บาท พร้อมลิสต์ซูเปอร์คุ้ม ยิ่งช้อป…ยิ่งปลดล็อกดีลเด็ด !!
  • SUPER COUPON รับคูปองส่วนลด 2 ต่อ รวมมูลค่า 1,500 บาท ผ่าน Line HomePro Connect (ช้อปครบ 10,000.-ขึ้นไป/ใบเสร็จ ลดทันที 500.- / ช้อปครบ 30,000.-ขึ้นไป/ใบเสร็จ ลดทันที 1,000.-)
  • SUPER PURCHASE รับคูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จ รวมมูลค่าสูงสุด 1,100 บาท (เพียงช้อปครบตามเงื่อนไข รับทันทีส่วนลด 500.- ซื้อสินค้าบิลถัดไป ตั้งแต่ 1,000.- ที่โฮมโปรทุกสาขา /  ส่วนลด 300.- ซื้อสินค้าบิลถัดไป ตั้งแต่ 3,000.- ที่โฮมโปรทุกสาขา / รับส่วนลด 300.- ซื้อสินค้าบิลถัดไป ตั้งแต่ 3,000.- ที่โฮมโปรออนไลน์)
  • SUPER CASHBACK รับเงินคืนเข้าโฮมโปร วอลเล็ต ผ่านโฮมการ์ดแอปฯ สูงสุด 160,000 บาท (เมื่อมียอดช้อปครบตามเงื่อนไขต่อใบเสร็จ/ภายในวัน สมาชิกโฮมการ์ด รับเงินคืนสูงสุด 100,000.- และสมาชิกบัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม รับเงินคืนสูงสุด 60,000.-)
  • SUPER DISCOUNT ลด+รับเพิ่มสูงสุด 18% !! สมาชิกโฮมการ์ด ลดทันที 5% เมื่อช้อปครบ 10,000.- ขึ้นไป (เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ), ช้อปผ่านบัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ลดเพิ่มทันที 3% และช้อปกับดีล SUPER BRAND รับส่วนลดเพิ่มอีกสูงสุด 10% เฉพาะแบรนด์และสินค้าที่ร่วมรายการ
  • SUPER POINT แลกคะแนนเท่ายอดซื้อ ได้ส่วนลด+รับเพิ่มสูงสุด 39% !! ลูกค้าโฮมการ์ด Regular ลด+รับเพิ่ม 15% ,ลูกค้า HomeCard Prestige ลด+รับเพิ่ม 18% และลูกค้าบัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ลด+รับเพิ่มรวมสูงสุด 28% พิเศษ…แถมความคุ้มแรงส์! โอนคะแนนได้ (จากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ)
  • SUPER ZERO ผ่อนน้อย…ผ่อนนาน จ่าย 0% ทั้งร้าน นานสูงสุด 10 เดือน! เริ่มต้น 500 บาทต่อเดือน เฉพาะบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ

สัมผัสประสบการณ์ช้อปเรื่องบ้าน กับอีเว้นต์ที่สุดแห่งปี ยืนหนึ่งเรื่องความคุ้ม !! HomePro SUPER EXPO #แรงส์ห้ามพลาด ที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ และโฮมโปรออนไลน์ วันที่ 24-28 ก.ค.68 นี้ ห้ามพลาด…5 วันเท่านั้น !!

#HomeProSUPEREXPO #SUPEREXPO #HomePro #โฮมโปร #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #Homepropr

PDPC ผนึกกำลังภาครัฐ-ภาคเอกชนปิดช่องโหว่สแกนม่านตา ลุยตรวจสอบแพลตฟอร์มดิจิทัล คุมเข้ม PDPA

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เปิดเวทีด่วน ผนึกกำลัง ETDA – กลต. – สอท – ปอท. – DSI และภาคเอกชน ร่วมกันวางแนวทางกำกับดูแลการเก็บและใช้ข้อมูลชีวมิติ ภายหลังเกิดกรณีกิจกรรม “สแกนม่านตาเพื่อรับสินทรัพย์ดิจิทัล” ที่มีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางความกังวลมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เปิดเผยว่า   สืบเนื่องจากกรณีประชาชนจำนวนมากเข้าสแกนม่านตาในกิจกรรมเพื่อรับสินทรัพย์ดิจิทัล จนมีความกังวลในประเด็นความปลอดภัยของข้อมูล หรือการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ตลอดจนความกังวลเรื่ิองการปฏิบัติตามกฎหมาย สคส. เชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าว เพื่อตรวจสอบ ติดตาม และวางแนวทางร่วมกัน ทั้ง หน่วยงานจากภาครัฐ และเอกชน ได้แก่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA), สำนักงาน ก.ล.ต., สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ,กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), ศูนย์ PDPC Eagle Eye พร้อมด้วยภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง อาทิ บริษัท ทีไอดีซี เวิลด์เวิร์ส จำกัด, บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด, บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน), บริษัท เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)

สาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้คือ การวางกรอบมาตรการที่ชัดเจนต่อการใช้ข้อมูลชีวมิติ (biometric data) โดยเฉพาะข้อมูลม่านตา ซึ่งถือเป็น “ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว” ตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) และมีเนื้อหาประเด็นร่วมของทุกหน่วยงาน ได้แก่

  • สคส. จะเข้าตรวจสอบขั้นตอนการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลให้เป็นไปอย่างชัดแจ้ง รวมถึงการแจ้งวัตถุประสงค์และสิทธิในการเพิกถอนข้อมูล หากพบการฝ่าฝืนจะดำเนินการตามกฎหมาย PDPA ทันที
  • ETDA ร่วม PDPC Eagle Eye  จะตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มที่ใช้อยู่ใน world app ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามเกณฑ์จะต้องยุติการใช้งาน
  • กลต. จะตรวจสอบหากพบว่ามีการใช้แอปต่างประเทศเพื่อหารายได้ในระบบ จะดำเนินการตามระเบียบกฎหมายตลาดทุน
  • ตำรวจไซเบอร์ ยืนยันว่าจะดำเนินคดีในทันที หากพบการนำข้อมูลชีวมิติไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือมีการหลอกลวงให้สแกนม่านตาโดยจงใจ

ทางด้านตัวแทนบริษัทที่ดำเนินกิจกรรมดังกล่าวชี้แจงว่า การเก็บข้อมูลม่านตามีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อยืนยันตัวตนว่าเป็นมนุษย์ (Proof of Humanity) โดยไม่มีการจัดเก็บถาวร และข้อมูลจะถูกลบอย่างถาวรหลังการใช้งาน พร้อมส่งหลักฐานให้ สคส. ตรวจสอบ

นอกจากนี้ บริษัทยังให้คำมั่นจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติม คือ จะจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจก่อนเข้าร่วมกิจกรรม โดยเตือนภัยเรื่องการรับจ้างสแกน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเงินที่มาจากการกระทำผิด และยืนยันว่าแต่ละบัญชีสามารถใช้สิทธิ์ได้เฉพาะเจ้าของเท่านั้น

พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวอีกว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของ สคส. และหน่วยงานพันธมิตรรัฐในการสร้างกลไกร่วมดูแลการใช้เทคโนโลยีชีวมิติในภาคประชาชน โดยเน้นย้ำว่า “เทคโนโลยีต้องไม่ละเมิดสิทธิ” และ “ข้อมูลส่วนบุคคลต้องอยู่ภายใต้ความยินยอมที่แท้จริง” การสแกนม่านตา หรือการใช้ข้อมูลชีวมิติในอนาคต ไม่ว่าจะในรูปแบบ Digital ID, AI-based KYC หรือ Blockchain-based Identity จะต้องได้รับการกำกับดูแลอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบนิเวศดิจิทัลไทยต่อไป

หากประชาชนหรือผู้ประกอบการมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือต้องการแจ้งเหตุอันอาจละเมิดสิทธิ สามารถติดต่อ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)

โทร. 02-111-8800 หรือทางอีเมล saraban@pdpc.or.th

โฮมโปร-เมกาโฮม ผนึกกำลัง TOA มอบวัสดุและอุปกรณ์ซ่อมแซมห้องน้ำและอาคาร ส่งต่อความอบอุ่นให้ “บ้านพิงพัก”

นางสาววรรณี จันทามงคล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (HomePro) ผนึกความร่วมมือพันธมิตร “ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย)” ส่งต่อการดูแลคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้ป่วย “บ้านพิงพัก” โรงพยาบาลเพื่อโรคมะเร็งขนาดเล็ก โดยมอบวัสดุและอุปกรณ์สำหรับปรับปรุง ซ่อมแซมห้องน้ำและอาคาร รวมมูลค่ากว่า 3 แสนบาท อาทิ อุปกรณ์ห้องน้ำ สีทาอาคาร ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง ระบบระบายอากาศ และเครื่องมือช่าง เพื่อใช้ในการปรับปรุง ซ่อมแซมห้องน้ำและอาคารผู้ป่วยที่ชำรุด เสื่อมสภาพ ให้กลับมาพร้อมใช้งาน ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจภายในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและอบอุ่น ในช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิต ณ บ้านพิงพัก มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ เมื่อเร็วๆ นี้

#โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #เมกาโฮม #MegaHome #ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและงานช่าง #Homepropr #บ้านพิงพัก #มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ

เอเซอร์ร่วมกับสมาคมกีฬาอีสปอร์ตคนพิการไทย จัดฝึกอบรม อาชีพในสายงานอีสปอร์ต นำเสนอทางเลือกในอาชีพใหม่ให้ผู้พิการ

นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “สืบเนื่องจากเอเซอร์ได้มีการจัดแข่งขันอีสปอร์ตในทัวร์นาเมนต์ “Predator League” ซึ่งจัดต่อเนื่องทุกปีมาตั้งแต่ปี 2018

ในการนี้เอเซอร์ได้เปิดโอกาสให้นักศึกษามหาวิทยาลัยเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานในชื่อโครงการ “Predator League Trainee Program” โดยการจัดฝึกอบรมที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีปทุม และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษาที่มาความสนใจในสายงานอาชีพด้านอีสปอร์ต ได้เข้ามาเรียนรู้ ฝึกงานและได้ประสบการณ์จริงจาก การจัดแข่งขันอีสปอร์ตระดับนานาชาติที่มีความซับซ้อน ทำให้เด็กได้มีความเข้าใจและสามารถต่อยอดเป็นอาชีพหลังสำเร็จการศึกษาได้

ทั้งนี้ทางเอเซอร์ยังเล็งเห็นและให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้พิการที่มีความสามารถ และสนใจอาชีพในสายงานอีสปอร์ต จึงได้ร่วมมือกับสมาคมกีฬาอีสปอร์ตคนพิการไทย และจัดการฝึกอบรมครั้งนี้ขึ้น โดยผู้เข้าฝึกอบรมที่เป็นผู้พิการจะได้เข้าใจถึงอาชีพในสายงานนี้ ว่าไม่ใช่แค่เพียงเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายอาชีพทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลัง เช่น นักพากย์ ช่างตัดต่อ ทำโมเดล 3 มิติ และอื่น ๆ

“อย่าปล่อยให้ความพิการเป็นข้อจำกัดในการเลือกสายงานอาชีพใหม่ ๆ ที่เหมาะกับคุณ” นายนิธิพัทธ์ กล่าวเสริม

ทั้งนี้ได้จัดการฝึกอบรมขึ้นวันที่ 21 กรกฏาคม 2568 ที่ โรงเรียนศรีสังวาลย์ จังหวัดนนทบุรี โดยมีผู้พิการเข้าร่วมกว่า 50 คน

#PL2026 #PredatorLeague2026 #AcerThailand #PredatorGamingThailand #ItLiesWithin #IntelGaming

ปักหมุดวันช้อป! #ยืนหนึ่ง เรื่องบ้าน คุ้มที่สุดแห่งปี HomePro SUPER EXPO กลับมาเสิร์ฟใหญ่ อัดลิสต์โปรเด็ดสุดช็อค 5 วันเต็ม 24-28 ก.ค. 68นี้

เตรียมตัวให้พร้อม ถึงเวลายืนหนึ่งเรื่องบ้าน กับมหกรรมวันช้อป! คุ้มที่สุดแห่งปีกับ “HomePro SUPER EXPO” เปิดม่านดีล #แรงส์ห้ามพลาด 5 วันเต็ม ตั้งแต่ 24 – 28 กรกฎาคม 2568 นี้ จัดหนักจัดเต็มรับกลางปี เสิร์ฟสินค้าและของแต่งบ้านครบครันทุกความต้องการ พร้อมส่วนลด SUPER PRICE ช้อปคุ้ม ลดแรงสูงสุด 50% !! และข้อเสนอสุดพิเศษเอาใจทุกไอเดียเติมเต็มบ้าน ทั้งสายตกแต่ง สายรีโนเวท หรือสายสะสมความคุ้มก็ช้อปได้แบบไม่ต้องลังเล ทั้งสาขาและออนไลน์ ด้วยขบวนลิสต์โปรเด็ดซูเปอร์ช็อค !!

  • SUPER CASHBACK รับเงินคืนเข้าโฮมโปร วอลเล็ต รวมสูงสุด 160,000 บาท
  • SUPER COUPON กดปุ๊ป ลดเลย! รับคูปองส่วนลด รวมมูลค่า 1,500 บาท
  • SUPER PURCHASE รับคูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จ รวมมูลค่า 1,100 บาท
  • SUPER POINT แลกคะแนนเท่ายอดซื้อ ได้ทั้งส่วนลด+รับเพิ่มสูงสุด 39% แรงส์สุด โอนคะแนนได้!!
  • SUPER DISCOUNT ลดเพิ่มสูงสุด 18% !!
  • SUPER DAY สินค้าลดแรงวันเดียว
  • SUPER ZERO ผ่อนน้อย…ผ่อนนาน 0% ทั้งร้าน นานสูงสุด 10 เดือน !! เฉพาะบัตรที่ร่วมรายการ
  • สมัครสมาชิกใหม่โฮมการ์ด รับคูปองส่วนลด 300 บาท เพียงดาวน์โหลด HomeCard Application

ปักหมุดกดแจ้งเตือน ยืนหนึ่งช้อปคุ้มพร้อมกัน กับงาน HomePro SUPER EXPO ที่โฮมโปรทุกสาขา หรือเลือกหลบฝนช้อปผ่านออนไลน์ ได้ที่ www.homepro.co.th และบนแอปพลิเคชัน HomePro

#HomeProSUPEREXPO #SUPEREXPO #HomePro #โฮมโปร #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #Homepropr

โรงพยาบาลพระรามเก้า ฉลองครบรอบ 33 ปี ภายใต้แนวคิด “Good Health Grows With Care” เปิดตัว “9 SMART” ยกระดับสู่การเป็นพันธมิตรสุขภาพยุคดิจิทัล

โรงพยาบาลพระรามเก้า ฉลองครบรอบ 33 ปี แสดงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านการแพทย์ โดยเฉพาะการดูแลรักษาโรคซับซ้อน พร้อมเดินหน้าสู่การเป็น “พันธมิตรสุขภาพ” ที่      ทุกคนเข้าถึงได้ ภายใต้แนวคิด “Good Health Grows With Care สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการดูแลอย่างใส่ใจ” พร้อมเปิดตัว “9 SMART” ที่เชื่อมต่อการดูแลสุขภาพระหว่างแพทย์และผู้ใช้บริการแบบ        ไร้รอยต่อ ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ทุกที่ ทุกเวลา

นพ.เสถียร ภู่ประเสริฐ กรรมการผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า “ตลอด 33 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลพระรามเก้าไม่เคยหยุดพัฒนาทั้งในด้านนวัตกรรมการแพทย์ การบริการ และระบบที่เข้าถึงง่าย ปลอดภัย และคุ้มค่า เรายังคงยึดมั่นในคำมั่นสัญญา ‘Healthcare You Can Trust’ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์คุณภาพสูงได้อย่างเท่าเทียม ในราคาที่สมเหตุสมผล”

แนวคิด “ดูแลอย่างใส่ใจ” ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่เป็นหัวใจขององค์กรที่สะท้อนผ่านทุกกระบวนการ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการฟื้นฟูสุขภาพ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และความเข้าใจบริบทเฉพาะของแต่ละบุคคล เพื่อมอบประสบการณ์การดูแลที่ “เข้าใจจริง” และ “เข้าถึงได้จริง”

โรงพยาบาลพระรามเก้ายังมีจุดแข็งด้านการดูแลโรคยากและซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นโรคไต หัวใจ มะเร็ง โรคกระดูกและข้อ รวมถึงการผ่าตัดแผลเล็ก (Minimal Invasive Surgery) โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย ครอบคลุมการดูแลสุขภาพทุกมิติ ผ่านกลยุทธ์หลัก 4 ด้าน ได้แก่

• Global Standard – ยกระดับมาตรฐานการรักษาสู่ระดับสากล

• World-Class Hospitality – มอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าการรักษา

• Efficiency with Cooperation – สร้างความร่วมมือเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

• Digital Transformation – พลิกโฉมการดูแลสุขภาพด้วยเทคโนโลยี

นพ.วิทยา วันเพ็ญ รองกรรมการผู้อำนวยการ สำนักงานแผนยุทธศาสตร์ กล่าวว่า “ตลอด 33 ปี        ที่ผ่านมา เรามองเห็น Pain point ต่างๆ จากประสบการณ์จริงของผู้รับบริการ จึงออกแบบและพัฒนา 9 SMART ผ่าน LINE Application ซึ่งเป็นแอปที่ผู้ใช้งานคุ้นเคยอยู่แล้ว ลดความยุ่งยากในการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใหม่ โดยออกแบบภายใต้แนวคิด 3 แกนหลัก คือ Decentralized บริการสุขภาพไม่ต้องเริ่มที่โรงพยาบาลอีกต่อไป, Personalized ทุกคนจะได้รับบริการสุขภาพที่ปรับให้เหมาะความต้องการเฉพาะบุคคล และ Seamless เชื่อมต่อทุกขั้นตอนแบบไร้รอยต่อ สะดวก รวดเร็ว เพื่อให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายและเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา

สำหรับ “9 SMART” ประกอบด้วย 5 ฟังก์ชันหลัก ได้แก่

  • เปิดประวัติและนัดหมายออนไลน์ได้ผ่านมือถือ
  • ตรวจสอบคิวและสถานการณ์ให้บริการแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องนั่งรอ
  • ดูผลตรวจสุขภาพและผลตรวจภาพวินิจฉัย เช่น ผลเลือด X-ray ข้อมูลยา ได้ทันที
  • จัดการแพ็กเกจสุขภาพของคุณได้ ไม่ว่าจะนัดหมายเอง หรือส่งต่อเป็นของขวัญให้คนที่รักได้อย่างสะดวก
  • สะสมแต้มและแลกรางวัลผ่านระบบสมาชิก

นอกจากนี้ ระบบยังถูกออกแบบภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล โดยใช้กระบวนการระบุตัวตนและยืนยันตัวตน (Identification & Authentication) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตนเองได้อย่างปลอดภัยและถูกต้อง โดยผู้ใช้ต้องลงทะเบียนด้วยเลขบัตรประชาชน จากนั้นระบบจะมีขั้นตอนยืนยันตัวตนก่อนเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลสุขภาพจะถูกเข้าถึงได้เฉพาะเจ้าของข้อมูลเท่านั้น

นางสาวขมาภรณ์ ธัมพิพิธ รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน กล่าวเสริม ในไตรมาส 1/2568 โรงพยาบาลพระรามเก้าสามารถทำรายได้รวมสูงถึง 1,251.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 200.5 ล้านบาท เติบโตแข็งแกร่ง 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 โรงพยาบาลมีแผนขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้ป่วย ด้วยการรีโนเวทพื้นที่เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงอีก 20 เตียง รวมถึงปรับปรุงหอผู้ป่วยหนัก (ICU) โดยจัดตั้ง หน่วย Stroke Unit จำนวน 9 เตียง พร้อมทั้งขยายแผนกฟอกไตจาก 17 เตียง เป็น 20 เตียง นอกจากนี้ ยังมีแผนลงทุน

ในเครื่องมือทางการแพทย์ อาทิ เครื่อง MRI รุ่นใหม่ระดับ 3 Tesla ซึ่งช่วยให้ในตรวจวินิจฉัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มความสะดวกสบายแก่ผู้รับบริการ รวมถึงการติดตั้ง Cath Lab เพื่อเสริมศักยภาพในการรักษาเส้นเลือดหัวใจและสมอง พร้อมทั้งวางแผนจัดตั้งศูนย์บริการใหม่ในระยะยาว โดยมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้และอัตรากำไร (Margin) อย่างยั่งยืน

นางสาวขมาภรณ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลพระรามเก้าได้วางเป้าหมายสู่การเป็น AI-Driven Hospital ด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในกระบวนการดูแลรักษาอย่างเต็มศักยภาพ ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับประเด็น Climate Change ผ่านแนวคิด การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction) และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การลดการใช้กระดาษ ไฟฟ้า และน้ำ โดยตั้งเป้าหมายสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ภายในปี 2065 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน 

“โรงพยาบาลพระรามเก้า จะไม่เป็นเพียงสถานที่รักษาอีกต่อไป แต่คือ ‘พันธมิตรด้านสุขภาพ’ ที่ผู้คนไว้วางใจได้ พร้อมอยู่เคียงข้างทุกคนในทุกช่วงชีวิต”