สคส. สั่งเดินหน้า มอบสื่อสารองค์กรลุยจับมือพันธมิตรผ่านสื่อทั่วเมืองมุ่งเตือนสติประชาชนก่อนให้ข้อมูลเกินความจำเป็น

ปัจจุบัน อาชญากรรมออนไลน์มาในทุกรูปแบบ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรง และสร้างผลกระทบตลอดจนความเสียหายมาสู่พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC  ขยายบทบาทป้องกันเชิงรุก เดินหน้าร่วมมือหน่วยงานพันธมิตรหลายภาคส่วน รณรงค์ผ่านสื่อนอกบ้าน (Out of Home)  เพื่อเตือนสติให้ทุกคนระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนบุคคลเกินความจำเป็น  มุ่งสู่การลดอาชญากรรมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ

พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เผยว่า จากสถานการณ์อาชญากรรมทางออนไลน์ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน จึงผลักดันให้ ฝ่ายสื่อสารองค์กร เร่งเตือนสติประชาชนให้ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง นอกเหนือจากการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อสื่อสารให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้ โดยการรณรงค์ผ่านสื่อนอกบ้าน (Out of Home)  ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางเชิงรุกที่ช่วยให้

ประชาชนสามารถรับมือกับภัยคุกคามได้ทันเวลา ด้วยปัจจุบันสื่อดังกล่าว เป็นสื่อที่เดียวในบรรดาสื่อดั้งเดิมทั้งหมดที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรก 2568 มีมูลค่าประมาณ 7,041 ล้านบาท  ซึ่งการเติบโตของสื่อ Out of Home ประเภท Outdoor มีจุดเด่นของจอดิจิทัลคือสามารถเปลี่ยนเนื้อหาได้หลากหลาย เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย และนำเสนอคอนเทนต์ตามช่วงเวลาได้

โดย สคส. ได้เดินหน้าขยายบทบาทการทำงานในเชิงรุก ผ่านความร่วมมือกับ กรุงเทพมหานครฯ สมาคมธนาคารไทย ไปรษณีย์ไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพันธมิตรหลากหลายภาคส่วน เพื่อร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล ผ่านสื่อ Out of Home ซึ่งเป็นช่องทางที่ประชาชนเข้าถึงได้ในชีวิตประจำวันโดยตรง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นให้ผู้คนตื่นตัวในการป้องกันการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางออนไลน์

.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวย้ำต่อไปว่า การจับมือกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชนในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนเป็นอย่างดี สามารถประหยัดงบประมาณแผ่นดินไปได้มากกว่า 43 ล้านบาทต่อปี  โดย สคส. ต้องการเตือนสติให้กับประชาชนได้ระมัดระวังในเรื่องการให้ข้อมูลส่วนบุคคล เน้นการรณรงค์ที่เข้าใจง่ายและสามารถสื่อสารกับประชาชนได้ดีในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การเตือนสติขณะทำธุรกรรมผ่านตู้ ATM เพื่อให้ประชาชนมีสติก่อนการทำธุรกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการโอนเงิน หรือที่บริเวณตอม่อ รถไฟฟ้า และป้ายรถเมล์อัจฉริยะ ซึ่งเป็นจุดที่ประชาชนสามารถพบเห็นได้โดยง่าย รวมถึงการเร่งดำเนินการติดตั้งข้อความสำคัญในสื่อรูปแบบอื่น ๆ ทั้งป้ายประกาศ, จอภาพ LED เป็นต้น

สคส. ตั้งใจให้การสื่อสารเชิงรุกครั้งนี้เป็นมากกว่าการรณรงค์ทั่วไป แต่เป็นการเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นการส่งสารเตือนสติสั้น ๆ ที่เพียงพอจะหยุดยั้งการสูญเสียด้านทรัพย์สินและการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอย่างทันท่วงที  ขณะเดียวกันยังเชื่อมั่นว่าหากสังคมช่วยกันระมัดระวังและพูดเตือนกันอย่างต่อเนื่อง จะเป็นวิธีหนึ่งในการลดโอกาสตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่หมุดหมายของการลดข้อมูลรั่วไหลเป็น “0” ได้ในที่สุด

หากพบเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล สามารถติดต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) โทร. 02-111-8800 หรืออีเมล: saraban@pdpc.or.th

Finn School Partners with Swansea University and University of LeicesterTwo Leading UK Universities Open Global Education Pathways for Thai Students

Finn School (Finn) has officially signed partnership agreements with Swansea University and the University of Leicester, two of the United Kingdom’s top-ranked institutions, to secure clear pathways for Thai students to complete their final undergraduate year through an internationally recognized Top-up Degree system. This initiative removes limitations of traditional education systems and reduces overall costs, empowering Thai students to confidently earn their degrees from world-class universities.

Mr. Kawin Panprasittiwech Managing Director and Founder of Finn School of Business and Tourism, stated that Finn offers a fast-track route for Thai students to obtain a bachelor’s degree from leading universities in the UK and Switzerland within just three years. Under its 2+1 system, students complete Years 1 and 2 in Thailand with UK Level 4 & Level 5 Diplomas, then progress to their final year at one of over 27 partner universities abroad. Graduates receive their bachelor’s degree directly from the partner university.

This system enables Thai students to overcome barriers in the local education framework and significantly reduce costs compared to completing a full degree overseas. Students simply need to complete their studies at Finn with a “Pass” grade and an IELTS Overall Band of 6.0 to be eligible to progress to leading international universities in fields such as Business Administration and Hospitality & Tourism Management.

Founded in 2014, Finn’s vision is to elevate Thai students onto the world stage by delivering education that meets global standards through Ofqual-accredited curricula, taught by experienced faculty members with strong industry backgrounds. Today, Finn serves about 130 active students and has produced over 500 alumni in more than 11 years of operation—making it Thailand’s largest UK 2+1 pathway provider, with two campuses located in Bangkok and Phuket.

Mr. Kawin further emphasized Finn’s student-first commitment: “At Finn, students choose their university, not the other way around. We guarantee final-year placement with 27 partner universities from the moment students enroll, because we understand how important their future is to their families. Every step is clear from day one—we walk alongside our students through to graduation, and many even stay with us for guidance through master’s and doctoral studies, including tailored career guidance and job application strategies—both in Thailand and abroad.

In its mission to expand global education opportunities for Thai youth, Finn continues to build new international networks. This year, Finn signed new Memoranda of Understanding (MOUs) with two more leading UK universities:

  • Swansea University – Swansea University appears in the world’s Top 83 and the UK’s Top 10 for Business and Management (QS World University Rankings 2025) — on par with King’s College London.

  • University of Leicester – a high-ranking university with a long-standing reputation that has long been a top destination for Thai students seeking postgraduate study. Through this newly signed MOU, Finn is now able to guarantee undergraduate entry into the University of Leicester — marking a significant milestone in expanding higher education opportunities for students from Thailand.

Dr. Prinn Sukriket Academic Director and Founder, Finn School of Business and Tourism, highlighted the challenge behind this achievement: “Leicester and Swansea are top-tier UK universities that have never run a Top-up Degree program with any Thai institution before. The negotiations were rigorous and lengthy. Both universities conducted comprehensive assessments of Finn’s curriculum, faculty quality, classroom standards, teaching systems, and alumni outcomes. The British Embassy in Thailand also collaborated in this vetting process to ensure Finn met international requirements.”

“We are proud to have passed this strict scrutiny and built this trust. It represents a vital step forward for Thai students to access global degrees without wasting extra time or money on redundant study. It is proof that Finn’s quality is real, tangible, and internationally credible,”  Dr. Prinn concluded.

The signing ceremony between Finn and the University of Leicester was attended by several key representatives, including Professor Nishan Canagarajah, President and Vice-Chancellor of the University of Leicester; Professor James Fitchett, Deputy Head of the College of Business; and    Mr. Paul Angrave, Director of Public Affairs — all from the University of Leicester. Also in attendance was Ms. Nantamas Chatraporn, Trade Manager for Education & Health at the British Embassy Bangkok, a key Thai education partner working closely with Finn to advance this collaborative program.

Many Finn students have confirmed that the program provides a strong foundation in English and academic skills, with dedicated support teams guiding them from enrollment through to university placement abroad. Students share that studying in a challenging yet engaging environment alongside diverse classmates broadens their business perspectives. “What impressed me most was the structured advice on choosing my final university, which boosted my confidence and set me up for future success.”

Finn School จับมือ Swansea University – University of Leicester สองมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งสหราชอาณาจักร เปิดเส้นทางใหม่นักเรียนไทยสู่การศึกษาระดับโลก

สถาบัน Finn (ฟินน์) ลงนามความร่วมมือกับ Swansea University และ University of Leicester สองมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหราชอาณาจักร การันตีโอกาสให้นักเรียนไทยเรียนต่อปริญญาตรีปีสุดท้าย ในระบบ Top-up Degree ด้วยมาตรฐานการเรียนการสอนระดับสากล ลดข้อจำกัดด้านระบบการศึกษาและต้นทุน พร้อมสนับสนุนนักเรียนไทยให้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับโลกได้อย่างมั่นใจ

            นายกวิน พันธ์ประสิทธิเวช กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งสถาบัน Finn เปิดเผยว่าสถาบัน Finn หรือ Finn School of Business and Tourism คือทางลัดสู่การจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในอังกฤษและสวิตเซอร์แลนด์ภายในเวลาเพียง 3 ปี โดยใช้ระบบการเรียนแบบ 2+1 นักเรียนจะเรียนปีที่ 1 และ 2 ที่ประเทศไทย กับหลักสูตรระดับสากล UK Level 4 & Level 5 Diploma และเลือกไปเรียนต่อปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยพาร์ทเนอร์กว่า 27 แห่งในต่างประเทศ ซึ่งจบแล้วได้รับวุฒิปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยนั้นโดยตรง

ระบบนี้ช่วยให้นักเรียนไทยก้าวข้ามข้อจำกัดของระบบการศึกษาเดิมที่จบมา และช่วยลดภาระต้นทุนกว่าการเรียนเต็มหลักสูตรในต่างประเทศ เพียงแค่เรียนที่ Finn และได้ผลการเรียนระดับ “Pass” พร้อมคะแนน IELTS Overall 6.0 ก็สามารถต่อยอดสู่มหาวิทยาลัยระดับโลกได้ทันทีครอบคลุมทุกสาขาในด้านบริหารธุกิจ และสาขาบริหารธุรกิจการโรงแรมและท่องเที่ยว

            Finn ก่อตั้งในปี 2557 ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะพาเด็กไทยก้าวสู่ระบบการศึกษาระดับโลก โดยมุ่งเน้นการเรียนการสอนที่เทียบเท่ามาตรฐานสากลผ่านหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจาก Ofqual หน่วยงานกำกับคุณวุฒิของรัฐบาลอังกฤษ สอนโดยอาจารย์ผู้มากประสบการณ์จากแวดวงธุรกิจจริง ปัจจุบัน Finn มีนักเรียนราว 130 คน และศิษย์เก่ากว่า 500 คนในรอบกว่า 11 ปีของการดำเนินงาน ถือเป็นสถาบันการศึกษาไทยที่มีนักเรียนมากที่สุดในระบบ UK 2+1 โดย Finn ได้เปิดการสอนทั้งหมด 2 แคมปัส ได้แก่ กรุงเทพฯ และภูเก็ต

นายกวิน ยังเสริมถึงความมุ่งมั่นของสถาบันอีกว่า “ที่ Finn นักเรียนเป็นผู้เลือกมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ มหาวิทยาลัยเลือกนักเรียน เราจึงการันตีการเข้าเรียนต่อปริญญาตรีปีสุดท้ายกับ 27 มหาวิทยาลัยให้นักเรียนตั้งแต่วันที่มาสมัครเรียน เพราะเรารู้ว่าอนาคตของนักเรียนคือสิ่งที่ทุกครอบครัวให้ความสำคัญ สถาบัน Finn จึงออกแบบทุกขั้นตอนให้ชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่นักเรียนเริ่มเรียน ร่วมเดินไปกับนักเรียนจนถึงวันสำเร็จการศึกษา และมีหลายๆเคสที่นักเรียนยังให้ Finn ดูแลต่อจนถึงระดับปริญญาโทและปริญญาเอก รวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำเทคนิคในการสมัครงาน ทั้งในไทยและต่างประเทศให้กับนักเรียนอีกด้วย

เพื่อต่อยอดความตั้งใจในการยกระดับโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย Finn ได้เดินหน้าสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ Finn ได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับอีกสองมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหราชอาณาจักร คือ

  • Swansea University – มหาวิทยาลัยที่ติดอันดับ Top 83 ของโลก และ Top 10 ของสหราชอาณาจักร ในสาขาบริหารธุรกิจ (จากการจัดอันดับโดย QS World University Rankings 2025) ซึ่งอยู่ในอันดับเดียวกับ King’s College London
  • University of Leicester – มหาวิทยาลัยเก่าแก่ชื่อดังและเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักศึกษาไทยหลายคนที่พยายามเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท แต่การทำ MOU ครั้งนี้ Finn สามารถการันตีการเข้าเรียนต่อใน University of Leicester ให้นักเรียนได้ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ถือเป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาครั้งสำคัญของประเทศไทย

ด้าน ดร. ปริญญ์ ศุกรีเขตร ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและผู้ร่วมก่อตั้งสถาบัน Finn กล่าวถึงความท้าทายของความร่วมมือครั้งนี้ว่า Leicester และ Swansea ถือเป็นมหาวิทยาลัยระดับท็อปของสหราชอาณาจักร และไม่เคยร่วมทำโปรแกรม Top-up Degree กับสถาบันใดในไทยมาก่อน ทำให้ขั้นตอนการเจรจาใช้เวลานานและมีความเข้มงวดอย่างมาก โดยทั้งสองมหาวิทยาลัยได้ส่งทีมวิชาการมาประเมินหลักสูตรของ Finn อย่างละเอียด รวมไปถึงตรวจวัดคุณภาพคณาจารย์ คุณภาพในชั้นเรียนจริง ระบบการเรียนการสอน และผลงานศิษย์เก่า อีกทั้งยังมีการตรวจสอบข้อมูลร่วมกับสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย จนได้ผลลัพธ์ที่มั่นใจว่าสถาบัน Finn มีมาตรฐานที่สอดคล้องกับข้อกำหนดในระดับสากล

“เราภูมิใจที่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดนี้และสร้างความเชื่อมั่นนี้ได้สำเร็จ เพราะนี่คือก้าวสำคัญที่ทำให้นักเรียนไทยมีเส้นทางสู่การศึกษาระดับโลกที่ชัดเจน ได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำโดยไม่ต้องเสียเวลาหรือเงินในการเรียนซ้ำ และเป็นการยืนยันคุณภาพของ Finn ในฐานะสถาบันที่สามารถพิสูจน์คุณภาพได้จริงและจับต้องได้” ดร. ปริญญ์ กล่าวทิ้งท้าย

โดยในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง Finn และ University of Leicester ได้มีผู้แทนสำคัญจากมหาวิทยาลัยและพันธมิตรเข้าร่วมมากมาย อาทิ Professor Nishan Canagarajah – President and Vice-Chancellor อธิการบดี University of Leicester, Professor James Fitchett – Deputy Head of the College of Business, Mr. Paul Angrave – Director of Public Affairs รวมถึงตัวแทนจากสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย Ms. Nantamas Chatraporn – Trade Manager, Education and Health ที่มีบทบาทร่วมผลักดันหลักสูตรร่วมกัน

สำหรับนักเรียนที่เข้ามาเรียนในสถาบัน Finn หลายคนพิสูจน์ตรงกันแล้วว่าหลักสูตรนี้ช่วยปูพื้นฐานภาษาอังกฤษและวิชาการอย่างมั่นคง และมีทีมที่ดูแลเรื่องการเรียนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเส้นทางการเรียนต่อ ซึ่งทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อต้องก้าวสู่มหาวิทยาลัยต่างประเทศ “การได้เรียนในบรรยากาศที่เข้มข้น แต่สนุกร่วมกับเพื่อนที่หลากหลาย ทำให้มีมุมมองธุรกิจกว้างขึ้น” “สิ่งที่ประดับใจที่สุด คือคำแนะนำเรื่องเส้นทางเรียนต่อแบบเป็นระบบ ช่วยสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยในปีสุดท้าย และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเป้าหมายในอนาคต”

สคส. เข้มเดินหน้าบังคับใช้ PDPA ลงโทษปรับหน่วยงานที่ปล่อยข้อมูลประชาชนรั่วไหล ไม่เว้นทั้งภาครัฐ-ภาคเอกชน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานแถลงข่าว “สคส. เข้มเดินหน้าบังคับใช้ PDPA ลงโทษปรับหน่วยงานที่ปล่อยข้อมูลประชาชนรั่วไหล ไม่เว้นทั้งภาครัฐ-ภาคเอกชน ซึ่งไม่จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม รวม 5 เรื่อง 8 คำสั่ง ตั้งแต่ประเทศไทยได้บังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 โดยมีมูลค่ารวมของโทษปรับทั้งสิ้นกว่า 21.5 ล้านบาท พร้อมขับเคลื่อนแนวทางป้องกันเชิงรุก เพื่อให้เป้าหมาย “ข้อมูลรั่วไหลต้องเป็นศูนย์” กลายเป็นเป้าหมายสำคัญของทุกองค์กรในสังคมไทย โดยมี พลเอก เดชา พลสุวรรณ, พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ, นายเขมทัตต์ พลเดช ร่วมแถลงข่าวด้วย ณ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน PDPA Center ถ.แจ้งวัฒนะ (วันนี้ 1/8/68)

CEA เตรียมเปิดตัว “Content Project Market” เวทีซื้อ-ขายโปรเจ็กต์และบทภาพยนตร์ ซีรีส์ แอนิเมชัน พร้อมดันนักสร้างสรรค์ไทยจับคู่ธุรกิจกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกว่า 70 บริษัท เดินหน้ายกระดับอุตสากรรมคอนเทนต์ไทยสู่ระดับสากล 10 -12 กันยายน 2568 ณ True Digital Park

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เดินหน้ายกระดับอุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยสู่เวทีสากล ด้วยการจัดงาน Content Project Market หรือตลาดซื้อขายคอนเทนต์ ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ภายใต้โครงการ “Content Lab 2025 สร้างสรรค์คอนเทนต์ไทย ดันไกลสู่สากล” จุดประกายเวทีซื้อขายและจับคู่ธุรกิจคอนเทนต์แห่งใหม่ ที่จะกลายเป็นหัวใจของการผลักดันคอนเทนต์ไทยสู่ระดับนานาชาติ พร้อมส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ โดยงาน Content Project Market จะจัดขึ้นในวัน 10 – 12 กันยายน 2568 ณ True Digital Park (East) ชั้น 6 – 7

ดร. ชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวว่า “Content Project Market คือ “ตลาดซื้อขายคอนเทนต์” ที่เปิดพื้นที่ให้นักสร้างสรรค์ไทย ทั้งกลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์ ซีรีส์ และแอนิเมชัน ได้นำเสนอผลงานของตนเอง รวมถึงไอเดีย เนื้อหา หรือคอนเซ็ปต์ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนพัฒนา กับค่ายผู้ผลิต นักลงทุนในแวดวงอุตสาหกรรมคอนเทนต์ ผู้จัดจำหน่าย และสตรีมมิงแพลตฟอร์ม ที่จะมาร่วมงานจากทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 70 บริษัท โดยจะมีทั้งการนำเสนอผลงาน (Pitching) การเจรจาธุรกิจแบบตัวต่อตัว (B2B Matching) กิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจ และในปีนี้ยังเพิ่มกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งผู้ผลิตคอนเทนต์สร้างสรรค์และผู้ที่สนใจทั่วไปสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้อีกด้วย”

“ทั้งนี้ CEA เล็งเห็นว่านอกจาก Content Project Market จะเป็นการสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรและครอบคลุมให้แก่นักสร้างสรรค์ของไทย และพัฒนาศักยภาพของผู้สร้างคอนเทนต์แล้ว ยังสร้างโอกาสในการต่อยอดผลงานของนักสร้างสรรค์สู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยให้ทัดเทียมระดับสากล รวมถึงสร้างการรับรู้ด้านศักยภาพของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยในระดับนานาชาติในอนาคต งานนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งความหวังและแรงบันดาลใจให้แก่นักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ตลอดจนผลักดันให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีส์ไทยสามารถเติบโตในตลาดโลกอย่างยั่งยืน”

“คอนเทนต์ไทยมีพลังมากกว่าแค่ความบันเทิง เพราะสามารถสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างการจดจำที่ผู้ชมมีต่อ “ความเป็นไทย” ในระดับนานาชาติได้ ภาพยนตร์และซีรีส์หลายเรื่องของไทยมีพลังดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนประเทศไทย ช่วยส่งเสริมให้สินค้าและบริการของไทยกลายเป็นที่ต้องการ เพราะปรากฏอยู่ในฉากของภาพยนตร์หรือซีรีส์ที่ฉายและได้รับความนิยมในต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้งาน Content Project Market ที่จัดขึ้น จึงไม่เพียงช่วยยกระดับผลงานของนักสร้างสรรค์ให้มีพื้นที่ในตลาดสากลมากยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว” ดร. ชาคริต กล่าวสรุปทิ้งท้าย

งาน Content Project Market จะจัดขึ้นในวัน 10 – 12 กันยายน 2568 ณ True Digital Park (East) ชั้น 6 – 7 โดย CEA มุ่งเน้นการยกระดับอุตสาหกรรม “คอนเทนต์และสื่อสร้างสรรค์” (Creative Content & Media) ให้ตอบโจทย์ตลาดโลก งานนี้จะมีผู้ร่วมนำเสนอโครงการทั้งกลุ่มที่ผ่านการอบรมบ่มเพาะด้านภาพยนตร์ ซีรีส์ และแอนิเมชัน จากโปรแกรม Mid-Career: Project, Mid-Career: Story และ Mid-Career: Animation ภายใต้โครงการ “Content Lab 2025” ของ CEA จำนวน 34 ทีม รวมทั้งผู้ผลิตคอนเทนต์ภาพยนตร์และซีรีส์มืออาชีพที่ผ่านการคัดเลือก (Open Call) จำนวน 20 ทีม รวมทั้งสิ้น 54 ทีม

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ Content Lab 2025 และงาน Content Project Market ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก Content Lab

“ซูเลียน” ตอกย้ำพลังธุรกิจขายตรงไทย เปิดโรงงานใหญ่ปีนัง โชว์ศักยภาพการผลิตระดับโลกดันยอดขายครึ่งปีพุ่ง 18% พร้อมเดินหน้าดิจิทัล O2O ขยายตลาดอาเซียนยกระดับ CSR สะท้อนองค์กรแห่งโอกาสที่แท้จริง

บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำธุรกิจขายตรงของไทยและอาเซียน เปิดโรงงาน Zhulian ณ เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตสำคัญของกลุ่มบริษัทในระดับภูมิภาค เผยศักยภาพสายการผลิตสุดเข้มข้น ภายใต้การควบคุมคุณภาพระดับสากลที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงสินค้าสำเร็จรูป พร้อมเดินหน้าแผนรุกตลาดอาเซียนเต็มสูบ และขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่อตอกย้ำการเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจแห่งโอกาสที่ทุกคนเข้าถึงได้จริง

ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานกรรมการ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 28 ปี ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ความสำเร็จของซูเลียนเกิดจากความจริงใจในการดำเนินงาน การมอบโอกาสทางอาชีพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นคุณภาพสูง ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพ สร้างชีวิต” ปัจจุบัน ซูเลียนมีผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันครบทั้ง 4 กลุ่ม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ, ผลิตภัณฑ์เพื่อบ้านและที่อยู่อาศัย, ผลิตภัณฑ์เพื่อร่างกาย และผลิตภัณฑ์ประเภทเข็มขัด

จุดแข็งสำคัญที่ทำให้ซูเลียนโดดเด่นเหนือคู่แข่ง คือการมีโรงงานผลิตของตนเอง ไม่พึ่งพา OEM โดยเฉพาะ โรงงาน Zhulian ที่เมืองปีนัง ซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 30,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น โซนเครื่องดื่มผง 20,000 ตารางเมตร และโซนผลิตอาหารเสริมสุขภาพ 5,000 ตารางเมตร ในขณะเดียวกัน โรงงานโฮมแคร์ (AMAZING VESTRAX SDN BHD) มีพื้นที่ 15,000 ตารางเมตร และโซนผลิตขนาด 2,500 ตารางเมตร มีกำลังการผลิตเฉลี่ย

  • อาหารและเครื่องดื่ม: 800,000 ซองต่อวัน เช่น CoffeePlus Pack 84 ซอง ผลิตได้ราว 10,000 แพ็คต่อวัน
  • ผลิตภัณฑ์โฮมแคร์: ผงซักฟอก 7,000 กิโลกรัมต่อวัน และน้ำยาซักผ้า 6,000 ลิตรต่อวัน

ทุกกระบวนการผลิตอยู่ภายใต้มาตรฐานระดับโลก ได้รับการรับรองทั้ง GMP, HACCP, ISO9001:2015, ISO22000 และ HALAL การันตีคุณภาพด้วยระบบตรวจสอบที่เข้มข้น ทั้งการคัดเลือกวัตถุดิบ, กระบวนการผลิตแบบ semi-automated, การควบคุมคุณภาพด้วยเทคโนโลยี Bin Blenders, Auto Batching, ห้องแล็บตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงการฝึกอบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอ

Mr. Danny Teoh Chief Executive Director, ZHULIAN CORPORATION BERHAD (ZCB) กล่าวว่า ความสำเร็จของซูเลียนในไทยตลอด 28 ปี เกิดจากวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้นำอย่าง Mr. Teoh Beng Seng ผู้ก่อตั้ง และ Mr. Teoh Meng Keat Group CEO ประกอบกับความแข็งแกร่งด้านการผลิตและโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน อีกทั้งผลิตภัณฑ์คุณภาพ เช่น Zhulian CoffeePlus Ginseng Coffee, บียางค์ เครื่องดื่มธัญพืชผสมผักผลไม้ และ ยาสีฟัน Smile On ที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทยมาโดยตลอด

เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ซูเลียนได้ปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลด้วยกลยุทธ์ O2O (Offline to Online) ผสานช่องทางขายตรงแบบดั้งเดิมกับแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างครบวงจร ทั้งเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และ Social Commerce ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Facebook, LINE Official พร้อมเสริมทัพด้วยอินฟลูเอนเซอร์ Virtual Engagement และการวิจัยตลาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาสินค้าให้ตรงใจผู้บริโภคในทุกเจเนอเรชัน

ขณะเดียวกัน ยังมีแผนขยายตลาดสู่ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จากเดิมที่ส่งออกไปไทยและกัมพูชา พร้อมแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในตลาดศักยภาพ เสริมความแข็งแกร่งด้วยโปรโมชั่นรักษาฐานลูกค้า และโปรแกรมฝึกอบรมตัวแทนให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังยกระดับการตลาดด้วยการเพิ่มอัตราการจ่ายผลตอบแทนให้แก่นักธุรกิจจาก 68% เป็น 81% ของมูลค่า BV ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยของนักธุรกิจเพิ่มขึ้นถึง 20-30%

Mr. Danny Teoh เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ยอดขายครึ่งปีแรกของปี 2568 เติบโตขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากพลังของนักธุรกิจซูเลียนทั่วประเทศ และการตอบรับที่ดีจากตลาดอาเซียนซึ่งยังมีศักยภาพเติบโตอีกมาก ซูเลียนยังคงเดินหน้า CSR อย่างจริงจัง โดยยกระดับแนวคิด CSR ผ่านการเปิดตัวตำแหน่ง MRCD (Master Royal Crown Director) ซึ่งให้นักธุรกิจมีสิทธิ์บริจาคเงินสูงสุด 3,250,000 บาท ให้กับมูลนิธิหรือองค์กรสาธารณกุศลที่เลือกเอง นับเป็นการแปรความสำเร็จทางธุรกิจสู่การสร้างคุณค่าคืนสู่สังคมอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังส่งเสริมให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้เป็นวัฒนธรรมองค์กร และมีโปรแกรมให้ผู้นำบริหารเงินบริจาคเพื่อกระตุ้นให้ตัวแทนลงมือช่วยเหลือสังคมจริง

ความสำเร็จและคุณภาพของซูเลียนยังได้รับการยืนยันจากรางวัลระดับสากลหลายสาขา ได้แก่

  • Asia Halal Brand Awards 2019 (Best Innovation)
  • Golden Bull Award 2020 (Outstanding SME)
  • The Brandlaureate World Halal Best Brands E-Branding 2021
  • Export Excellence Award 2022 (Most Promising)
  • Best Employer Award 2023 จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ EPF

ดร.ปิยะวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตลอด 28 ปีที่ผ่านมา ซูเลียนยึดมั่นในหลักการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บทเรียนจากวิกฤตน้ำท่วมปี 2554 และโควิด-19 สอนให้ซูเลียนจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ พร้อมลงทุนในทรัพยากรบุคคล และขับเคลื่อนการตลาดด้วยดิจิทัลอย่างเต็มกำลัง

“ความยั่งยืนทางธุรกิจไม่ได้วัดแค่ยอดขาย แต่ต้องมอบความหมายให้ชีวิตผู้คนได้จริง เราโปร่งใสทั้งสินค้า ระบบ และโอกาสทางธุรกิจ พร้อมเคียงข้างนักธุรกิจซูเลียนทุกคน เดินหน้าด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และการสนับสนุนที่ทันสมัย เพื่อก้าวสู่ความมั่นคงและยั่งยืนร่วมกัน”

ไดกิ้น พลิกโฉมนวัตกรรมแอร์ “มอบความเย็นสบายพร้อมใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ”เดินหน้าสู่เป้าหมาย Carbon Neutral อย่างครบวงจร

บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำจุดยืนในฐานะผู้นำนวัตกรรมระบบปรับอากาศระดับโลก เดินหน้ายกระดับมาตรฐานความเย็นสบายควบคู่การประหยัดพลังงานอย่างแท้จริง ด้วยการเปิดตัวแนวคิด “การสร้างความเย็นสบายควบคู่กับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ” (Energy-Efficient Comfort) ในงานสัมมนา Eco Synergy Seminar 2025 หัวข้อRisks and Opportunities in ESGซึ่งจัดขึ้นโดย Sumitomo Mitsui Banking Corporation (SMBC) สาขากรุงเทพฯ โดยงานนี้ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรชั้นนำภาครัฐและเอกชน ร่วมเจาะลึกประเด็นโอกาสและความเสี่ยงของภาคธุรกิจในบริบท ESG และการเปลี่ยนแปลงกฎหมายสิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดเวทีนำเสนอเทคโนโลยีด้านความยั่งยืนจากทั้งบริษัทญี่ปุ่นและไทย รวมถึงกิจกรรม Business Matching และ Networking อย่างเข้มข้น

โดยในงาน “ไดกิ้น” ได้เผยแนวคิดและเทคโนโลยีเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะ ที่สามารถควบคุมทั้งอุณหภูมิและความชื้นอย่างแม่นยำ ช่วยลดภาระการใช้พลังงานโดยไม่ลดทอนความเย็นสบาย พร้อมนำเสนอการเดินหน้าโครงการรีไซเคิลแบบครบวงจร (Horizontal Recycling) ที่เน้นการนำสารทำความเย็นและชิ้นส่วนจากเครื่องปรับอากาศเก่ากลับมาใช้ใหม่อย่างครบวงจร เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการสร้างสังคมหมุนเวียนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในประเทศไทย

นายคาสุฮิสะ ฮินาสึ กรรมการบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะโรงงานหลักของไดกิ้นในภูมิภาคอาเซียน เรามุ่งมั่นตอบสนองความต้องการของประเทศไทยด้วยนวัตกรรมที่ผสานทั้งประสิทธิภาพการใช้พลังงานและคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในภูมิอากาศร้อนชื้นของอาเซียน ซึ่งผู้ใช้งานมักตั้งอุณหภูมิแอร์ต่ำเกินไปเพื่อชดเชยความชื้นจากอากาศภายนอก ส่งผลให้เกิดการใช้พลังงานมากเกินความจำเป็นและค่าไฟฟ้าสูง”

เพื่อลดปัญหาดังกล่าว ไดกิ้นจึงพัฒนา Energy-Saving Ventilation System ที่สามารถลดความชื้นของอากาศก่อนนำเข้าสู่อาคาร พร้อมระบบแลกเปลี่ยนความร้อนกับอากาศภายใน ช่วยให้สามารถตั้งอุณหภูมิสูงขึ้นที่ 26–27°C ได้โดยยังรู้สึกเย็นสบาย และลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้มากกว่า 35% เมื่อเทียบกับระบบเดิม และหากใช้งานร่วมกับแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์และระบบ Heat Recovery จะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้สูงสุดถึง 60%

นายคาสุฮิสะ ให้ข้อมูลต่อว่า เพื่อยืนยันประสิทธิภาพของระบบ ไดกิ้นได้ทดลองติดตั้งจริงที่อาคารสำนักงาน R&D ขนาด 200 ตารางเมตร ผลการใช้งานพบว่าสามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 38% หรือคิดเป็นมูลค่าค่าไฟฟ้าราว 47,600 บาทต่อปี ขณะเดียวกันระดับความพึงพอใจของผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นจาก 61% เป็น 86% สะท้อนว่าความเย็นสบายไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยการใช้พลังงานเกินจำเป็น

นอกจากนี้ นายคาสุฮิสะ ยังกล่าวถึงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในประเด็น “สารทำความเย็น” ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีการควบคุมหรือกฎหมายรองรับ ส่งผลให้มีการปล่อยสารทำความเย็นสู่ชั้นบรรยากาศมากกว่า 2,000 ตันต่อปี ไดกิ้นจึงร่วมมือกับ Iwatani และ Toyota Tsusho Thailand พัฒนาระบบกู้คืนและรีไซเคิลสารทำความเย็นอย่างจริงจัง พร้อมริเริ่มทดลองระบบ Horizontal Recycling” ที่นำชิ้นส่วนจากเครื่องปรับอากาศเก่ากลับเข้าสู่สายการผลิตใหม่ เพื่อสร้างการหมุนเวียนทรัพยากรอย่างเป็นรูปธรรม

“การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คือหัวใจของความยั่งยืน เราจึงไม่เพียงพัฒนาเทคโนโลยีแอร์ให้เย็นสบายและประหยัดไฟเท่านั้น แต่ยังวางรากฐานการรีไซเคิลแบบครบวงจร เพื่อให้การเติบโตของอุตสาหกรรมไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutral อย่างเป็นรูปธรรม” นายคาสุฮิสะ กล่าวทิ้งท้ายบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด พร้อมให้คำปรึกษาและบริการด้านการติดตั้งหรืออัปเกรดระบบปรับอากาศที่ทันสมัย เย็นสบาย และประหยัดพลังงานอย่างแท้จริง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน

เอเซอร์ปิดฉาก “Acer Day 2025” อย่างยิ่งใหญ่ ตอกย้ำแบรนด์ไอทีเข้าใจคนรุ่นใหม่ ภายใต้ธีม #BreakALimit

กรุงเทพฯ, สิงหาคม 2568 – ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่สำหรับงาน Acer Day 2025 กับยอดผู้เข้าร่วมงานทะลุเจ็ดพันคน ตลอดทั้งวันที่ 1-3 สิงหาคม ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ สะท้อนความสำเร็จของแบรนด์ไอทีที่เข้าใจไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ภายใต้ธีม #BreakALimit ที่จุดกระแสไวรัลบนโลกออนไลน์และปลุกพลังสร้างสรรค์ในกลุ่มวัยรุ่นได้อย่างน่าจับตา

นายเจฟ ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวสรุปถึงความสำเร็จของงานว่า

Acer Day 2025 ไม่ได้เป็นเพียงงานแสดงเทคโนโลยีหรือกิจกรรมการตลาด แต่คือเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้สัมผัสนวัตกรรมอย่างใกล้ชิด จุดประกายแรงบันดาลใจ และค้นพบศักยภาพใหม่ในตัวเอง เอเซอร์เชื่อว่าแบรนด์ไอทีที่แข็งแรง ไม่ได้มุ่งแค่ยอดขาย แต่ต้องเข้าใจผู้ใช้ และมีบทบาทในการส่งเสริมให้นำเทคโนโลยีไปต่อยอด สร้างคุณค่าใหม่ในชีวิตและสังคมซึ่งนั่นคือหัวใจของการจัดงาน Acer Day และเป้าหมายที่เราจะเดินหน้าต่อไป

กิจกรรม Acer Day 2025 ได้รับเสียงตอบรับจากกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา และครีเอเตอร์รุ่นใหม่เป็นอย่างดี โดยหลายคนบอกว่านี่คือหนึ่งในอีเวนต์ที่ “สนุก แปลกใหม่ และได้แรงบันดาลใจ” มากที่สุดแห่งปี โดยเนรมิตพื้นที่ให้กลายเป็น “Playground แห่งแรงบันดาลใจ” ด้วยการจัดโซนกิจกรรมที่ตอบโจทย์ทุกความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น

 Unlocked Game เกมปลดล็อกรหัสลับ ลุ้นรับโน้ตบุ๊กฟรีกลับบ้าน!

 Sport Challenge แข่งเกมสนุก ๆ รับของรางวัลมากมาย

 โซนทดลอง AI และนวัตกรรมใหม่ล่าสุดจาก Acer และ Predator

 ส่วนลดและของแถมมายมายภายในงาน

โมเมนต์ไฮไลต์ ที่กลายเป็น Talk of the Town

ซึ่งในวันที่ 2 สิงหาคม: “น้องเนย Butterbear” ปรากฏตัวพร้อมชวนออกกะละมังกายลดพุงสุดคิ้วท์ ที่ทำให้เหล่ามัมหมี-พ่อหมีหลั่งไหลมาร่วมเต้นกันแน่นพื้นที่ สร้างความสดใสจนโลกโซเชียลแทบแตก

และวันที่ 3 สิงหาคม: มินิคอนเสิร์ตสุดพลังจากวง PROXIE ที่ขนเพลงฮิตมาระเบิดพลังเวที พร้อมส่งข้อความ “กล้าที่จะแตกต่าง และเปล่งประกายในแบบของตัวเอง”

แคมเปญฉลอง AcerDay 2025 ยังไม่จบ!

พบโปรโมชั่น โปรสุดปัง ทั้งลดทั้งแถม ตลอดเดือนสิงหาคม 2568

ลดสูงสุด 9,000 บาท
ผ่อน 0% นานสูงสุด 15 เดือน
รับฟรี! Acer Wireless Earphone มูลค่า 990 บาท
เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ Acer หรือ Predator มูลค่าตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป
(จำกัด 1 ชิ้นต่อเครื่องต่อใบเสร็จ สำหรับลูกค้า 300 ท่านแรก)

ระยะเวลาโปรโมชั่น: 1 – 31 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่าของแถมจะหมด
ช่องทางจัดจำหน่าย: ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเอเซอร์ทั่วประเทศ
ลงทะเบียนรับของแถมผ่าน LINE Official Account : @AcerThailand

ติดตามข่าวสารและกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่
🌐 www.acerthailand.com
📱 Facebook / Instagram / X: @AcerThailand

สองยักษ์ใหญ่ “gamescom asia x Thailand Game Show” ผนึกกำลังเพื่อสร้างงานเกมระดับโลก ใจกลางกรุงเทพฯ 16-19 ตุลาคม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

กรุงเทพฯ ประเทศไทย,  4 สิงหาคม 2025 – เปิดหน้าประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ของอุตสาหกรรมเกมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เมื่อสองงานเกมยักษ์ใหญ่อย่าง gamescom asia สุดยอดแพลตฟอร์มธุรกิจเกม ผนึกกำลังครั้งสำคัญกับงานเกมระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Thailand Game Show ร่วมสร้างปรากฏการณ์สุดยิ่งใหญ่เพื่อมอบประสบการณ์เกมที่หลากหลายและทรงพลังที่สุดแห่งภูมิภาค ในงาน “gamescom asia x Thailand Game Show” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “World of Gaming”  ที่จะพาทุกคนพุ่งสู่โลกแห่งเกม  ปลดล็อกทุกประสบการณ์เกมแบบสุดขีด กับมหกรรมเกมระดับโลก!  ใจกลางกรุงเทพ! แบ่งออกเป็น โซน เพื่อตอบโจทย์ทุกมิติของอุตสาหกรรมเกม ประกอบด้วยโซนความบันเทิง -จัดแสดงเกมสุดมันสำหรับบุคคลทั่วไป ครอบคลุมทั้งเกม เทคโนโลยี อีสปอร์ต และป๊อปคัลเจอร์ ที่เต็มทุกรูปแบบ ในปีนี้โซนความบันเทิงพิเศษกว่าที่ผ่านมา

ครั้งแรก!  ของการยกโซนอินดี้เกมที่มีเกมให้ได้ทดลองเล่นกว่า 80 เกม และกองทัพเกมที่ทุกคนรอคอยพร้อมพาร์ทเนอร์จากค่ายเกมและแบรนด์ดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Synnex, CAPCOM, Hoyoverse, Bandai Namco Ent., UBISOFT,JCIA และครั้งแรกของค่ายเกมจากหลากหลายประเทศ อาทิ STAIKA, Epic Games Store,  CHUNGNAM CONTENT AGENCY,  4Divinity, Pokemon Company, MYTONA , MISTIL GAMES ,VNGGAMES & NCVGAMESxNC และ Adisoft เป็นต้น อุปกรณ์เกมมิ่งเกียร์เปิดตัวสินค้าใหม่และจัดโปรโมชั่นจัดเต็มพร้อมของแถมมากมายเฉพาะในงานนี้กับ Nintendo Switch 2, GeForce Now │ by bro.game, AMD, Predator, SIGNO E-Sport, SteelSeries, XBOX, Intel และแบรนด์ดังชั้นนำอย่าง AEON, เถ้าแก่น้อย, โก๋แก่ , Maxbit , Xsolla และอีกมากมายที่รอให้ทุกคนได้สัมผัส  พร้อมด้วยการแข่งขันอีสปอร์ต, กิจกรรม Meet & Greet กับ  ครีเอเตอร์ชื่อดัง, การประกวด Cosplay เพื่อชิงเงินรางวัลกว่า 300,000  บาท, การประกาศรางวัล Thailand Game Awards 2025 และกิจกรรม Zone Zean Game  กับการขอท้าดวลเหล่าเซียนในเกม Street Fighter 6 ชิงเงินรางวัล 30,000 บาท  ตลอดจนกิจกรรมบนเวทีหลักตลอด 3 วันเต็มอิ่ม  สำหรับเพลงธีมในงานในปีนี้ คว้าโปรดิวเซอร์มือทองอย่าง “ แอ้ม อัจฉริยา ”  ที่เคยสร้างความประทับใจจนเพลงฮิตติดหูให้กับงาน Thailand Game Show 2018 ก็กลับมาเสกเพลงให้ได้ติดหูกันอีกครั้งอย่างแน่นอน และได้ 
“ พลอยชมพู ”
 ร่วมถ่ายทอดความสนุกผ่านเพลงในปีนี้อีกด้วย  ความสนุกที่โซนความบันเทิง – จัดแสดงเกมนี้จะเปิดตั้งแต่วันที่ 17–19 ตุลาคม ควบคู่กับโซนธุรกิจเต็มรูปแบบและการประชุมระดับอุตสาหกรรม เป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนและความร่วมมือระดับโลกในอุตสาหกรรมเกม โซนนี้ต้อนรับผู้จัดจำหน่ายเกม นักพัฒนา นักลงทุน และผู้ให้บริการจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจและพันธมิตรทางธุรกิจและการติดตามเทรนด์ใหม่ๆ การแข่งขันพรีเซนต์ผลงาน (Pitch Competition) การแสดงผลงานจากนักพัฒนาเกมรุ่นใหม่ในโครงการ Thailand Game Talent Showcase ซึ่งนำเสนอผลงานจากนักศึกษาชั้นนำของประเทศไทย ไฮไลต์สำคัญคือเซสชันพิเศษโดย Glen Schofield นักออกแบบเกมมากประสบการณ์และผู้ก่อตั้ง Sledgehammer Games ผู้พัฒนา Dead Space, Call of Duty และ The Callisto Protocol ที่จะมาแบ่งปัน “10 Ways to Find Inspiration”  พร้อมเผยเบื้องหลังและเรื่องราวที่น่าสนใจจากแฟรนไชส์ระดับตำนานที่เขามีส่วนร่วมสร้างสรรค์ นอกจากนั้นยังได้พบกับวิทยากรมากกว่า 70 คนจาก 20 ประเทศ อาทิ Playstack จากประเทศอังกฤษ, Marvel Games และ Santa Monica Studio จากสหรัฐอเมริกา, Pocketpair จากประเทศญี่ปุ่น, Gearbox จากประเทศแคนาดา และ Jumbo Jumps จากประเทศไทย เป็นต้น  โซนธุรกิจนี้เปิดระหว่างวันที่ 16–17 ตุลาคมนี้ 

นายปรากาศ รามาจิลลู  ผู้จัดการทั่วไป เอเชียแปซิฟิก โคโลญเมสเซ่ กล่าว “งานในปีนี้ถือเป็นบทใหม่ที่กล้าท้าทาย ไม่เพียงแค่สำหรับ gamescom asia เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเศรษฐกิจเกมระดับโลกด้วย”

นายพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โชว์ ไร้ขีด จำกัด กล่าว gamescom asia x Thailand Game Show เป็นการร่วมมือครั้งสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนวงการเกม ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นระดับนานาชาติ โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขอบคุณทาง gamescom asia ที่มาร่วมจัดมหกรรม  gamescom asia Thailand Game Show ทำให้งานในครั้งนี้เป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างเกมเมอร์ ผู้พัฒนาเกม และผู้ประกอบการเกมระดับนานาชาติเข้าด้วยกัน ซึ่งสะท้อนความแข็งแกร่งของวงการเกมไทย และขยายโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมในเวทีโลก

ด้านนายวินท์รดิศ กลศาสตร์เสนี ประธานฝ่ายดิจิทัลมีเดีย บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “ออนไลน์  สเตชั่น ในเครือทรู เราเป็นหนึ่งในฐานะผู้จัดงาน gamescom asia x Thailand Game Show  ปีนี้เราภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันอุตสาหกรรมเกมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเรายังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอตัวงานนี้ให้คุณภาพหรือเทียบเท่างานเกมระดับโลกเพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้เกมเมอร์ชาวไทยกับทุกกิจกรรมภายในงาน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม Meet & Greet กับครีเอเตอร์ชื่อดัง กิจกรรม OS on Stage และปีนี้พิเศษจริงๆ เรามีโซนอินดี้เกม ที่เราไม่เคยมีมาก่อนก็ยกมาให้เหล่าเกมเมอร์ได้เข้ามารับประสบการณ์ใหม่ๆ กว่า 80 เกม และเรายังได้รับเสียงตอบรับที่ดีเช่นเคยจากหลายๆ ค่ายเกมที่ทุกคนเรียกร้องและแบรนด์กว่า 200 ราย โดยปีนี้เราคาดหวังที่จะดึงดูดผู้เข้าชมงานมากกว่า 200,000 คน เพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จของวงการเกมไทยที่สามารถก้าวสู่เวทีโลก และเพื่อเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของงานในการส่งเสริมในเรื่องของเกม ที่เป็น Soft Power ของไทย”

สำหรับบัตรเข้างาน gamescom asia x Thailand Game Show
โซนบันเทิงและจัดแสดงเกม ประเภทเข้างาน 1 วัน ราคา 200 บาท
เปิดขายบัตรพร้อมกัน 1 กันยายน 2568 ที่ https://www.zipeventapp.com และ
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: www.gamescom.asia/thailandgameshow และ https://www.facebook.com/thailandgameshow 
โซนธุรกิจ จำหน่ายบัตรได้ที่: https://gamescom.asia/tickets

เตรียมตัวให้พร้อมแล้วไปท่องโลกแห่งเกมไปพร้อมกันได้ตั้งแต่ วันที่ 16-17 ตุลาคมนี้ ในโซนธุรกิจ ที่ Plenary Hall ชั้น 1  และ วันที่ 17-19 ตุลาคมนี้ ในโซนความบันเทิงและจัดแสดงเกม Exhibition Hall 2-4 ชั้น G ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

“Regalos – รีกาลอส” ฉลองครบรอบ 7 ปี ทุ่มงบกว่า 50 ล้าน มอบของขวัญขอบคุณแก่ลูกค้าและสังคม พร้อมดึง “นนน กรภัทร์” เสริมทัพร่วมแคมเปญใหญ่ “ว้าว 7 ปี แฮปปี้ Regalos” นำรายได้ส่วนหนึ่งช่วยเหลือ “มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ”

Regalos – รีกาลอส แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพเกรดพรีเมียมในกลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด (PFG – Pataya Food Group) ผู้ผลิตเดียวกับแบรนด์ นอติลุส ฉลองครบรอบ 7 ปีแห่งความสำเร็จ ตอกย้ำการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ด้วยการเดินหน้าจัดแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ “ว้าว 7 ปี แฮปปี้ Regalos” เพื่อถ่ายทอดความสุข ความผูกพัน และความตั้งใจส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีไปสู่ลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้พันธกิจหลัก “ส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคแบบองค์รวม” ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมประกาศนำรายได้ส่วนหนึ่งจากแคมเปญไปช่วยเหลือ “มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ”

นายปริติ เกียรติศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นอติลุสฟู้ด กล่าวว่าแบรนด์ Regalos – รีกาลอส เริ่มต้นธุรกิจจากแนวคิดหลัก “มอบอาหารเป็นของขวัญ เพื่อดูแลสัตว์เลี้ยงของคุณ” โดยพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2562 ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่ผลิตจากปลาทูน่า วัตถุดิบธรรมชาติคุณภาพดี ปราศจากเกลือและวัตถุกันเสีย มีสารอาหารครบถ้วนถูกหลักโภชนาการ มีรสชาติอร่อยและหลากหลาย เพื่อให้น้องหมาและน้องแมวซึ่งเป็นเหมือนคนในครอบครัว ได้รับของขวัญที่ดีที่สุดจากมือเรา

ในช่วง 4 ปีแรก Regalos – รีกาลอส ได้มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารแมวอย่างหลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่  เนื้อปลาทูน่าในเยลลี่ อาหารแมวในเกรวี่ ขนมครีมแมวเลีย และ ขนมปลาชิ้น เพื่อรองรับความต้องการของแมวทุกช่วงวัย ตั้งแต่ลูกแมว แมวโต จนถึงแมวสูงอายุ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2566 แบรนด์ได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์สู่ตลาดอาหารสุนัข โดยยังคงยึดมั่นในมาตรฐาน Human Grade – ใช้วัตถุดิบเดียวกับอาหารคน  มาพัฒนาเป็นอาหารสุนัขจากปลาทูน่าเนื้อขาว ที่อร่อยและอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ทั้งในแบบอาหารเปียกใน เยลลี่ และ ขนมสุนัขซูเปอร์ฟู้ด ช่วยบำรุงขนและผิวหนัง เหมาะสำหรับสุนัขที่มีอาการแพ้เนื้อสัตว์บางชนิด   จนสินค้าได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน Regalos – รีกาลอส ได้เดินหน้าวางแผนพัฒนาสินค้าควบคู่กับการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง จนครอบคลุมกว่า 500 จุดทั่วทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 Regalos – รีกาลอส ได้ทุ่มงบกว่า 50 ล้านบาท ตอบแทนความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างยิ่งใหญ่จัดแคมเปญ “ว้าว 7 ปี แฮปปี้ Regalos” เพียงซื้อสินค้ารีกาลอสครบ 499 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ รับทันที 1 สิทธิ์ เพื่อลุ้นของรางวัลสุดพิเศษมากมาย อาทิ Samsung Galaxy S25 Ultra 256 GB, ทองคำ และสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ “นนน กรภัทร์” พรีเซนเตอร์ของแบรนด์อย่างใกล้ชิด จำนวน 50 ท่าน โดยกิจกรรมเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2568 นี้

นอกจากกิจกรรมส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าแล้ว “Regalos – รีกาลอส ยังเดินหน้าตอบแทนสังคม ด้วยการบริจาครายได้ส่วนหนึ่งจากแคมเปญ ให้แก่ “มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ” เพื่อช่วยเหลือสุนัข และ แมวที่ถูกทอดทิ้ง พร้อมมุ่งหวังให้แคมเปญ มีส่วนช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คนรักสัตว์เลี้ยงได้มองเห็น และ ตระหนักถึงปัญหาการเพิ่มจำนวนของสัตว์ไร้บ้าน เพื่อร่วมกันหันมาให้ความสนใจรับอุปการะสัตว์จากศูนย์พักพิงมากขึ้น

นายปริติ กล่าวต่อว่า Regalos – รีกาลอส ตั้งเป้าให้กิจกรรมทั้งหมดนี้ ไม่เพียงแค่เฉลิมฉลองการครบรอบ 7 ปีของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม และ ลดปัญหาขยะจากซองอาหารเหลือทิ้ง โดยวางแผนจัดกิจกรรม “รีกาลอส เปลี่ยนซองอาหารใช้แล้วสร้างของเล่นให้น้อง ๆ” ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรหลัก คือ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผ่าน “GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม” ระบบการบริหารจัดการพลาสติกแบบครบวงจร  มีเป้าหมายรวบรวมซองอาหารใช้แล้ว จำนวน 150,000 ซอง เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง ให้กลับมาสร้างคุณค่าใหม่อีกครั้ง กลายเป็นเครื่องเล่นอัพไซเคิลใน Pet Playground ด้วยการออกแบบและผลิตที่คำนึงถึงความปลอดภัย เหมาะกับน้องหมา น้องแมว ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ แล้วยังสามารถช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อมอีกด้วย  โดยได้เปิดรับบริจาคซองอาหารใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2568 นี้ และจะส่งมอบของเล่นเพื่อตั้งในสนามเด็กเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Zone – พื้นที่กลางแจ้ง) ของโครงการที่พักอาศัยในกลุ่มเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท ภายในไตรมาส 4 นี้”

 “จากความสำเร็จในการสร้างรากฐานที่มั่นคงของแบรนด์ Regalos – รีกาลอส ในประเทศไทย สำหรับแผนงานในอนาคต เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายในการเป็น Global Brand อย่างเต็มตัว จากนวัตกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงระดับ Human Grade ซึ่งเป็นจุดแข็งหลักของแบรนด์ ปัจจุบัน บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพระดับ Global Standard พร้อมวางแผนขยายตลาดไปยังประเทศจีน และ เวียดนาม รวมถึงการมองหาโอกาสสร้างการเติบโตไปยังประเทศอื่นๆ ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการให้น้องหมาน้องแมวได้รับ ของขวัญที่ดีที่สุด พร้อมสร้างความประทับใจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ Regalos – รีกาลอส ก้าวสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจของพ่อแม่สัตว์เลี้ยงต่อไป” นายปริติ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับผู้ที่สนใจเป็นครอบครัวเดียวกับ Regalos – รีกาลอส สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: Regalos Pet Food

พร้อมติดตามโฆษณา Regalos ได้ที่

YouTube: https://youtu.be/ixJpvBH1JiI

TIKTOK: https://www.tiktok.com/@regalospetfood

FACEBOOK: https://www.facebook.com/Regalospetfood