โฮมโปร-เมกาโฮม ปิดภารกิจ “ซ่อมฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า” ขอบคุณคนไทยเลือก #ซ่อมก่อนทิ้ง และเป็นมิตรต่อโลกด้วย #แลกเก่าเพื่อโลกใหม่ สร้างปรากฏการณ์ความยั่งยืนตลอด 3 วันทั่วประเทศ

โฮมโปรและเมกาโฮม ประกาศความสำเร็จของกิจกรรม “ซ่อมฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า” ที่จัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 19–21 กันยายนที่ผ่านมา โดยได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม มีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก นำเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นพัดลม หม้อหุงข้าว เตารีด และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้าน เข้ารับบริการซ่อมฟรีมากกว่า 27,442 ชิ้น รวมถึงมีเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า ที่ไม่ใช้แล้ว เข้าสู่โครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” กว่า 4,327 ชิ้น สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยตื่นตัวกับการ “ซ่อมก่อนทิ้ง” เพื่อลดค่าใช้จ่าย และให้ความสำคัญกับการยืดอายุการใช้งานสินค้า

นายธีรพล รอดเฉื่อย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานจัดส่งและติดตั้ง บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” กล่าวว่า “ผลตอบรับครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคไทยกำลังมองหาทางเลือกที่คุ้มค่าและเชื่อถือได้ การที่ลูกค้านำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาซ่อมเป็นจำนวนมาก แสดงถึงความไว้วางใจในทีม‘ช่างโฮมโปร’ ที่ผ่านการฝึกอบรมจากศูนย์ฝึกอบรมช่าง ด้วยมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นใจและความพึงพอใจของลูกค้าทุกคน”

กิจกรรม “ซ่อมฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า” ในครั้งนี้ ยังสะท้อนกลยุทธ์ของโฮมโปรในการยกระดับผู้ค้าปลีกสินค้าและบริการเรื่องบ้าน สู่การเป็น “Home Solution & Living Experience” แบบครบวงจร ด้วยบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าแบบ “Personalized” ทุกเจเนอเรชัน ทั้งงานซ่อม ติดตั้ง ล้าง ทำความสะอาด หรือบริการฉุกเฉิน ที่พร้อมดูแลตั้งแต่ของใช้ขนาดเล็ก ไปจนถึงงานโครงสร้างหรืองานปรับปรุงขนาดใหญ่ โดยมีมาตรฐานและคุณภาพแบบเดียวกันทั่วประเทศ

อีกหนึ่งไฮไลต์ของกิจกรรมนี้ คือ การผสานแนวคิด Circular Economy เข้ากับกิจกรรม “ซ่อมฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า” ผ่านโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” ที่มอบทางเลือกให้กับลูกค้า ในกรณีที่สินค้าซ่อมไม่ได้ สามารถนำมาแลกรับส่วนลดเพื่อซื้อ “สินค้ารักษ์โลก” ในราคาพิเศษ ขณะเดียวโฮมโปรจะช่วยนำไปจัดการให้อย่างถูกวิธี ทำให้แนวคิดด้านความยั่งยืนเป็นเรื่องที่จับต้องได้จริง และสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผลตอบรับจากการมีสินค้าเก่ากว่า 4,327 ชิ้น เข้าสู่กระบวนการจัดการที่ถูกวิธี จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า โฮมโปรมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน บนพื้นฐานการสร้างสมดุลระหว่างความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม

“โฮมโปร เชื่อว่าความสำเร็จครั้งนี้ จะช่วยต่อยอดบริการที่ครบวงจรและยั่งยืนในระยะยาว การที่เราลงทุนพัฒนาคุณภาพทีม ‘ช่างโฮมโปร’ ให้เป็น ‘มือโปรประจำบ้านคุณ’ ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบบริการที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงง่าย ผ่านแอปพลิเคชัน CHANG HomePro – แอปเดียวครบ จบบริการเรื่องบ้าน รวมถึงการผนวกกลยุทธ์ Circular Economy เข้ากับกิจกรรมต่างๆ จะช่วยสร้างคุณค่าให้ทั้งลูกค้าและสังคมอย่างยั่งยืน” นายธีรพล กล่าว

#ซ่อมฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้ากับโฮมโปร #CHANGHomePro #ช่างโฮมโปร #มือโปรประจำบ้านคุณ #ช่างโฮมโปรมือโปรประจำบ้านคุณ #เรียกช่างง่ายบริการเร็ว #โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #เมกาโฮม #MegaHome #ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและงานช่าง #Homepropr

ไดกิ้น ส่งมอบ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น”ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลนิคมพัฒนา จ.ระยอง ต้นแบบอากาศสะอาดภาคตะวันออก สานต่อการสร้างอนาคตที่ดีแก่เยาวชน

ไดกิ้น เดินหน้าสานต่อโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” สู่ภาคตะวันออก ด้วยการส่งมอบห้องเรียนต้นแบบแห่งใหม่แก่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัยจากมลพิษทางอากาศ และยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของเยาวชนไทย ภายใต้เจตนารมณ์ส่งมอบอากาศสะอาด เพื่ออนาคตของชาติ

โครงการนี้ เกิดจากความร่วมมือระหว่าง ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) และสยามไดกิ้นเซลส์ พร้อมด้วยพันธมิตรภาครัฐและภาควิชาการ อย่าง กรมอนามัย กรมการปกครอง สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่ร่วมกันผลักดันแนวทางการจัดการคุณภาพอากาศในอาคารสถานศึกษา โดยมีเป้าหมายสร้างต้นแบบ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” แห่งแรกในภาคตะวันออก เพื่อมอบอากาศสะอาดให้กับเด็ก ๆ ในท้องถิ่นได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการเรียนรู้ พร้อมขยายผลต่อไปยังสถานศึกษาอื่น ๆ ได้ในอนาคต

นายคาสุฮิสะ ฮินาสึ กรรมการบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าโครงการนี้คือความตั้งใจของไดกิ้นที่เติบโตเคียงคู่สังคมไทยมานานหลายทศวรรษ ภายใต้แนวคิด Perfecting the Air – สร้างอากาศดีเพื่อคุณ”
เพราะบริษัทเชื่อว่าอากาศที่ดีไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ความเย็นสบาย แต่ต้องเป็นอากาศที่สะอาด ปลอดภัย และส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างแท้จริง โดยเฉพาะกับเด็กเล็กในศูนย์ฯ ที่อยู่ในห้องเรียนปิดเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการสะสมฝุ่น PM2.5
และก๊าซ CO2 ที่เกินมาตรฐาน การส่งมอบห้องเรียนปลอดฝุ่นครั้งนี้ จึงเปรียบเสมือนการวางรากฐานสุขภาพและการเรียนรู้ที่แข็งแรงให้กับเยาวชนไทย

ในการส่งมอบครั้งนี้ ไดกิ้นได้ติดตั้งระบบปรับอากาศและระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกินค่ามาตรฐาน พร้อมทั้งเสริมด้วยชุดเติมอากาศบริสุทธิ์ (Outdoor Air Processing Unit: OAPU) และเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ เพื่อให้ครูและผู้ดูแลสามารถเฝ้าระวังได้ทันทีผ่านระบบแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ ยังได้มอบเครื่องฟอกอากาศ Daikin จำนวน 2 เครื่อง เพื่อใช้งานในห้องเรียนจริง ถือเป็นการยกระดับคุณภาพอากาศในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งนี้อย่างครบวงจร

ความพร้อมด้านเทคโนโลยีเหล่านี้ ช่วยให้ไดกิ้นสามารถจัดการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศในพื้นที่เสี่ยง และดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานของเด็ก ๆ เยาวชนได้อย่างยั่งยืน ซึ่งในระยะยาว ไดกิ้นยังตั้งเป้าสร้างมาตรฐานการมอบอากาศสะอาด ด้วยการมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero Emissions by 2050) พร้อมพัฒนานวัตกรรมด้านการประหยัดพลังงานและสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบระบายอากาศ HRV และระบบปรับอากาศ VRV ที่ได้รับฉลากเบอร์ 5 ซึ่งไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน แต่ยังสนับสนุนนโยบายด้านพลังงานของประเทศอีกด้วย

การเปิดตัว “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ที่ระยองในครั้งนี้ จึงนับเป็นก้าวสำคัญที่สร้างความสำเร็จต่อเนื่องจากโครงการนำร่องที่จังหวัดเชียงราย และกำลังถูกวางให้เป็นต้นแบบในการขยายไปยังศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ ห้องเรียนแห่งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่การเรียนรู้ที่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวอย่างในการดูแลสังคมแบบที่ไดกิ้นตั้งใจ ในการสร้างสรรค์โซลูชันด้านอากาศที่ทันสมัย มีคุณภาพ จับต้องได้ และส่งผลดีต่ออนาคตของชาติอย่างแท้จริง

“การผลักดันโครงการห้องเรียนปลอดฝุ่น จะไม่ได้หยุดอยู่เพียงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งนี้ เพราะไดกิ้นและพันธมิตรกำลังเดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ด้านคุณภาพอากาศในสถานศึกษาไทย เราเชื่อว่าเด็ก ๆ ที่เติบโตในอากาศสะอาดและปลอดภัย จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่อนาคตได้อย่างยั่งยืน” นายคาสุฮิสะ กล่าวทิ้งท้าย

โฮมโปร เดินเกมรีเทลบ้าน ทุ่ม 40 ล้าน พลิกโฉม “สาขาพระราม 3”One Stop Shopping Store ยกระดับสู่ Total Home Solution & Living Experience เติมเต็มการอยู่อาศัยคนเมือง-วัยทำงาน-ครอบครัวยุคใหม่

โฮมโปร ตอกย้ำความเป็น ผู้นำค้าปลีกสินค้าและบริการเรื่องบ้าน เดินหน้าทุ่มงบกว่า 40 ล้านบาท รีโนเวท “สาขาพระราม 3” ครั้งใหญ่ ปรับโฉมใหม่สู่ One Stop Shopping สโตร์ พร้อมยกระดับสู่ Total Home Solution & Living Experience ที่เป็นมากกว่าศูนย์รวมสินค้าแต่งบ้านและซ่อมแซมบ้าน แต่ยังตอบโจทย์การอยู่อาศัยในทุกมิติ ทั้งการใช้ชีวิตของคนเมือง วัยทำงาน ครอบครัวยุคใหม่ และผู้สูงวัย โดยขยายพื้นที่ขาย โมเดลรูม และโซนไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมเพิ่มช่องทางเข้าถึงสะดวก สร้างประสบการณ์ช็อปปิ้งครบครัน ตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 90 ล้านบาทต่อเดือน พร้อมเปิดให้บริการ 20 ก.ย.68 นี้ 

นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” (HMPRO)
กล่าวว่า “ศักยภาพของ โฮมโปรสาขาพระราม 3 ในวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเติบโตของโครงการที่อยู่อาศัย แต่ยังสะท้อนกำลังซื้อที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มวัยคนรุ่นใหม่ วัยทำงานที่เลือกซื้อคอนโดมิเนียม และต้องการโซลูชันเรื่องบ้านแบบครบวงจรในที่เดียว ไปจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่พร้อมลงทุนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น โฮมโปรจึงเล็งเห็นโอกาส และยกระดับ โฮมโปรสาขาพระราม 3 ให้เป็นสโตร์ที่รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านอย่างครบวงจร ทันสมัย และสะดวกสบาย เพื่อเป็นศูนย์กลางฯ ของคนรักบ้านในย่านนี้”

การออกแบบ “โฮมโปร พระราม 3” โฉมใหม่ถูกวางบนคอนเซปต์ One Stop Shopping ที่ไม่ใช่แค่แหล่งซื้อสินค้าตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน แต่เป็นพื้นที่รวมทุกประสบการณ์ของการอยู่อาศัยไว้ในที่เดียว พร้อมยกระดับสินค้าและบริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การจัดหาสินค้าคุณภาพ ให้คำปรึกษาทุกเรื่องบ้าน รวมถึงบริการช่างโฮมโปร มือโปรประจำบ้านที่สร้างความมั่นใจให้ลูกค้า

พื้นที่สาขาโฉมใหม่ มีขนาดรวม 9,235 ตารางเมตร โดยพื้นที่ขายจะถูกปรับเพิ่มจากเดิม 6,231 ตารางเมตร เป็น 6,526 ตารางเมตร ทำให้สามารถจัดโซนสินค้าได้ลงตัวและมีมิติที่หลากหลายมากขึ้น ไฮไลต์เด่นคือ Model Room ที่ช่วยให้ลูกค้าเห็นการจัดวางและเลือกสไตล์แต่งบ้านได้ง่ายขึ้น อีกทั้งโซนชั้น 1 ยังเชื่อมต่อกับร้านอาหารชั้นนำหลายแห่ง มีที่จอดรถกว้างขวาง ทำให้สาขานี้ กลายเป็นจุดนัดพบที่ตอบโจทย์ทั้งคนเมือง วัยทำงาน และครอบครัวยุคใหม่โฮมโปร สาขาพระราม 3 ตั้งอยู่ทำเลใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ทั้งจากถนนพระราม 3 ใกล้สะพานพระราม 9 และสาทร อีกทั้งใกล้สถานี BRT สะพานพระราม 9 เพียง 800 เมตร และสามารถต่อรถจาก BTS มายังสาขาได้อย่างสะดวก ช่วยให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้สะดวก รวดเร็วขึ้น

พร้อมฉลองการเปิดสาขาใหม่ ด้วยกิจกรรมและโปรโมชั่นมากมาย มอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้า เฉพาะวันที่ 20 ก.ย. 68 วันเดียวเท่านั้น! ถึงก่อน มีสิทธิ์ก่อน พบกับกิจกรรม Talk of the Town ร่วมสนุกตอบคำถาม เพื่อรับคูปองช้อปสินค้าราคาพิเศษ จำนวนจำกัด! อาทิ ทีวีแอลอีดี 55 นิ้ว, เครื่องซักผ้าฝาหน้า 9.5 KG, พัดลมสไลด์ 16 นิ้ว และสินค้าอื่นๆ
อีกมากมาย และสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิกโฮมการ์ด

  • สมัครสมาชิกโฮมการ์ดใหม่ รับคูปองส่วนลดรวมสูงสุด 600 บาท : คูปองส่วนลด 300 บาท (ใช้เป็นส่วนลด สำหรับซื้อสินค้าตั้งแต่ 5,000.- ขึ้นไป/ใบเสร็จ จำกัด 100 สิทธิ์ /วัน) และส่วนลดท้ายใบเสร็จ 300 บาท
    เมื่อซื้อสินค้า 3,000 บาท ขึ้นไป
  • ใช้คะแนนแทนส่วนลด คะแนนโฮมการ์ด 800 คะแนน แลกรับส่วนลด 100 บาท
  • สิทธิพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำ !!

“การรีโนเวทสาขาพระราม 3 คือ 1 สิ่งที่สะท้อนภาพลักษณ์ของโฮมโปรได้ดีที่สุด เพราะนี่คือการจับจังหวะเมืองที่กำลังขยายตัวและยกระดับการอยู่อาศัย ตอบโจทย์อินไซต์ผู้บริโภคในทุกเซกเมนต์ การลงทุน 40 ล้านบาทครั้งนี้จะสร้างความแตกต่างได้ทั้งด้านสินค้าและบริการ รวมถึงสามารถสร้างอนาคตของรีเทลเรื่องบ้านที่ตอบโจทย์ลูกค้าในยุคใหม่ได้พร้อมกัน” นายวีรพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย

#โฮมโปรพระราม3 #รีโนเวทสโตร์โฉมใหม่ #โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #homepropr

ซูเลียน ผนึกกำลัง ม.ปทุมธานี จุดไฟ ‘อนาคตที่ดีกว่า’มากกว่าธุรกิจ สานต่อพันธกิจเพื่อสังคม ปลอดควัน ปลอดทุจริต ก้าวสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน

บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมสร้างสีสันและพลังแห่งอนาคตกับกิจกรรมภายใต้โครงการ “ออกแบบอนาคตที่ดีกว่า ปลอดควัน ปลอดทุจริต ก้าวสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน” ณ ห้องประชุมบัวหลวง มหาวิทยาลัยปทุมธานี โดยซูเลียนไม่เพียงเข้าร่วมออกบูธชงชิมสินค้าเท่านั้น แต่ยังได้รับเกียรติเป็น ผู้สนับสนุนหลักของโครงการ พร้อมคว้าใบประกาศเกียรติคุณอันทรงเกียรติ ซึ่ง นางสาวอัยรินทร์             จุลล์จักรวงศา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นรับมอบจาก ดร.ชนากานต์ ยืนยง อธิการบดีมหาวิทยาลัยปทุมธานี อย่างภาคภูมิใจ

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความอบอุ่น และความคึกคัก ซูเลียนยกขบวนผลิตภัณฑ์ยอดนิยมมาให้คณาจารย์และนักศึกษาได้ลิ้มลองกันแบบจุใจ ไม่ว่าจะเป็น “ชาทีพลัส” ชารสเข้มกลมกล่อม ดื่มแล้วสดชื่นทันที หรือ “น้ำผลไม้เข้มข้นสควีซี่ รสแบล็คเคอเร้นท์” เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ งานนี้เรียกเสียงฮือฮาและความประทับใจจากผู้ร่วมงานได้อย่างล้นหลาม

นอกจากนี้ ซูเลียนยังไม่ลืมที่จะมอบความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้กับผู้เข้าร่วมงาน ด้วย ของที่ระลึกสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าผ้า วิตามินซี ชุดครีมอาบน้ำ–แชมพู และเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์งานนี้ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

นางสาวอัยรินทร์ จุลล์จักรวงศา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การมีส่วนร่วมในโครงการครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพของซูเลียน แต่ยังสะท้อนถึง ความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ของบริษัทในการขับเคลื่อน สังคมปลอดควัน ปลอดทุจริต ก้าวสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน พร้อมผลักดันเยาวชนไทยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่ดียิ่งกว่า และสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนร่วมกัน

CEA Announces the Success of “Content Project Market”Attracting 79 Leading Companies with 409 Business Matchings to Elevate Thai Content to the Global Stage

The Creative Economy Agency (Public Organization), or CEA, has announced the successful completion of the Content Project Market (CPM) 2025, held for the second consecutive year from 10 – 12 September 2025, at True Digital Park (East), 6th – 7th Floor. 
This year’s edition brought together 79 companies comprising producers, investors, and global streaming platforms, while also providing Thai filmmakers, series creators, and animators with a platform to showcase 54 projects. The event facilitated over 409 business matchings, underscoring CPM’s role as Thailand’s first dedicated content marketplace and a tangible gateway for expanding Thai creative works onto the international stage.

Dr. Chakrit Pichyangkul, Executive Director of the Creative Economy Agency, stated: “Hosting the Content Project Market for the second consecutive year highlights the potential of Thailand’s content industry as a soft power with strong commercial viability. CEA is committed to building a complete creative economy ecosystem — from talent development and incubation to providing platforms for business matching and global networking. Thai content is not only entertainment; it is a form of soft power that generates income, creates jobs, and enhances the country’s international image. Looking ahead, CEA aims to elevate Content Project Market into an international platform, reinforcing Thailand’s position as a future content hub of Asia.”

Content Project Market is a flagship program under the Content Lab 2025 project, designed to connect Thai creators with investors and industry partners through comprehensive activities such as pitching sessions, business matching, and networking receptions.

This year, leading global players joined the event, including Netflix, Viu, GDH, GMMTV, The One Enterprise, True CJ Creations, Kantana Group PCL, White Light Studio, Base Entertainment (Indonesia), Studio76 (Taiwan), and Skyline Media (Vietnam), along with partners from Singapore and the Philippines.

The 2025 edition recorded 409 business matchings from 79 participating companies and 54 projects, creating investment opportunities while opening doors to new international collaborations. Many participants remarked that CPM not only accelerates project financing and partnerships but also expands perspectives toward international markets. Global studios and platforms further emphasized that Thai content showcased at CPM demonstrated world-class potential, competitive quality, and long-term economic value while strengthening Thailand’s reputation as a regional creative hub.

In addition to business matching, Content Project Market 2025 featured five in-depth forums with insights from 16 leading experts from Thailand and abroad. Discussions covered topics such as accessing Asian film funds, strategies for regional co-productions, and the future of Thai films and series on the global stage. Distinguished speakers included M.R. Chalermchatri Yukol (Former Chairperson of the Subcommittee on Films and Series, National Soft Power Strategy Committee), Mr. Ruben Hattari (Director, Public Policy in Southeast Asia, Netflix), Ms. Elisabeth Shackleton (Founder & Editor, Streamlined/Contributing Editor, Asia, Deadline), Ms. Hang Trinh (Filmmaker, Producer & Entrepreneur, Skyline Media), Ms. Vanridee Pongsittisak (Producer, GDH559), Mr. Puttipong Nakthong (Director of 4 Kings and 4 Kings 2), Mr. Arak Amornsupasiri (Director & Screenwriter of The Stone), and Mr. Nottapon Boonprakob (Director of the series Mad Unicorn). These sessions enriched industry knowledge, provided inspiration, and mapped out new directions for Thailand’s content sector.

Dr. Chakrit concluded: “CEA will continue to strengthen Thailand’s content industry by working hand-in-hand with creators, producers, investors, streaming platforms, and experts across the value chain. Content Project Market has proven to deliver tangible business opportunities, fueling the growth of Thai creative industries toward international standards and driving the nation’s creative economy sustainably.”

For more information about Content Lab 2025 and Content Project Market, visit the Content Lab Facebook page. 

5 สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ประกาศสร้างความสำเร็จใน BIDC 2025 ยกระดับไทยสู่เวทีดิจิทัลคอนเทนต์เอเชีย

โครงการ “บางกอกอินเตอร์เนชันแนล ดิจิทัลคอนเทนต์ เฟสติวัล 2025” (Bangkok International Digital Content Festival 2025 : BIDC 2025) ครั้งที่ 12 ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ และโรงภาพยนตร์ House สามย่าน โดยได้รับการตอบรับอย่างคึกคักจากผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ ตลอดจนผู้เข้าร่วมงานกว่า 3,500 คน ยอดรับชมผ่านออนไลน์ร่วม 30,000 ครั้ง ตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทยในการก้าวสู่ THAILAND: ASIA’S DIGITAL CONTENT DESTINATION

นายสุมิตร สีมากุล นายกสมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT) กล่าวในนามผู้แทนภาคอุตสาหกรรมและคณะทำงาน “BIDC 2025 เป็นเวทีที่สะท้อนพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้ง 5 สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ หน่วยงานภาครัฐ และพันธมิตรต่างประเทศ ที่ร่วมกันยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวสู่เวทีระดับภูมิภาค ความสำเร็จในปีนี้สะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็น ศูนย์กลางดิจิทัลคอนเทนต์แห่งเอเชีย อย่างมั่นคง”

ความสำเร็จในปีนี้เกิดจากความร่วมมืออย่างเข้มแข็งระหว่าง สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT), สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย(TACGA), สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA), สมาคมธุรกิจบางกอกเอซีเอ็มซิกกราฟ (BASA), สมาคมอีเลิร์นนิงแห่งประเทศไทย (e-LAT) และได้รับการสนับสนุนจาก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ ด้านภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน (THACCA), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) และ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) พร้อมด้วยพันธมิตรนานาชาติ เช่น Taiwan Creative Content Agency (TAICCA), สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย, Institut Français du Vietnam และ สมาคม France VFX

กิจกรรมที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการ BIDC 2025 ในปีนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้เข้าร่วมงานกว่า 3,500 คน และยอดรับชมผ่านออนไลน์ร่วม 30,000 ครั้งตลอดระยะเวลาของการจัดงาน โดย กิจกรรมจัดแสดงภาพยนตร์-แอนิเมชัน 4 เรื่อง และสัมมนา-เสวนา 16 หัวข้อ ที่จัดในรูปแบบออนไซต์ ในโรงภาพยนตร์ เฮาส์ สามย่าน มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญระดับแถวหน้าของไทยและผู้ทรงวุฒิระดับโลกมาเป็นวิทยากรเติมความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ ในรูปแบบออนไซต์ มีผู้มาลงทะเบียนสำรองที่นั่งกว่า 2,000 คน อาทิ หัวข้อ Insights of IP Management โดย
คุณสุภอร รัตนมงคลมาศ (Soupy) Vice President South Asia, Universal Pictures International Commercialization and management of IP ชวนอัปเกรดความรู้ ในการต่อยอดและบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ฉบับมืออาชีพ  หรือการชมแอนิเมชัน แล้วต่อด้วยสัมมนา ที่ได้รับเกียรติจาก คุณณัฐทพงศ์ รัตนโชคสิริกูล ผู้สร้างสรรค์คาแรคเตอร์อาร์ตทอย กรีนนี่กับเอลฟี่ (Greenie & Elfie) มาพูดคุย เจาะลึกเบื้องหลังผลงานเรื่องนาค

รวมถึงกิจกรรม Job Fair ที่โดนใจนิสิต – นักศึกษา หรือผู้ที่กำลังมองหางานในวงการอุตสาหกรรมนี้  สำหรับกิจกรรมการนำเสนอผลงาน (Pitching) และการสร้างเครือข่าย (Networking Event) รวม 5 กิจกรรม อาทิ
การนำเสนอผลงานของนักสร้างสรรค์หน้าใหม่ด้านดิจิทัลคอนเทนต์ RISING STAR ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษา
ผู้ประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงคนรุ่นใหม่อายุ 18 – 35 ปี ได้มีเวทีแสดงศักยภาพ

ขณะที่ การประกาศรางวัล BIDC AWARDS รวม 33 รางวัล ยกย่องผลงาน แอนิเมชัน วิชวลเอฟเฟกต์ เกม คาแรคเตอร์ และอีเลินนิ่ง รวมถึงรางวัลพิเศษจากทาง CEA และ depa สร้างความภาคภูมิใจให้แก่เจ้าของผลงานหรือผู้ได้รับรางวัล

และอีกหนึ่งไฮไลต์ ที่มีขึ้นในปีนี้ คือ นิทรรศการดิจิทัลคอนเทนต์ ที่รวบรวมผู้ประกอบการกว่า 70 ราย 75 บูท มารวมพลังจัดแสดงผลงานบนพื้นที่กว่า 900 ตารางเมตร ดึงดูดผู้เข้าชมและผู้ประกอบการร่วมกิจกรรมอย่างคึกคัก

รวมถึงกิจกรรมสำคัญ คือ การเจรจาธุรกิจการค้า ระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการต่างชาติ ปีนี้ได้ขยายเครือข่าย เกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจมากถึง 909 คู่ สร้างมูลค่าเจรจาทางการค้ารวมกว่า 1,435 ล้านบาท สร้างโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เชื่อมโยงกับนักลงทุนและพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

งาน BIDC 2025 คือบทพิสูจน์ถึงความสำเร็จที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานภาครัฐ สมาคมอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ พันธมิตรต่างชาติ ผู้ประกอบการ ศิลปิน นักศึกษา และผู้เข้าร่วมงานทุกคน ที่ร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น THAILAND: ASIA’S DIGITAL CONTENT DESTINATION อย่างยั่งยืน

โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดประสบการณ์ “LISTEN TO YOUR HEART” นิทรรศการสุขภาพผ่านศิลปะ และเวิร์กชอปเพื่อหัวใจที่อบอุ่น

โรงพยาบาลพระรามเก้า เชิญชวนทุกท่านมาร่วมสัมผัสประสบการณ์อบอุ่นใจครั้งแรกกับกิจกรรม “LISTEN TO YOUR HEART” นิทรรศการสุขภาพที่ถ่ายทอดเรื่องราวของหัวใจ ผ่านมุมมองศิลปะ และเวิร์กชอปสร้างแรงบันดาลใจ ระหว่างวันที่ 24 – 29 กันยายน 2568 เวลา 09.00 – 15.00 น. ณ โรงพยาบาลพระรามเก้า ชั้น1 อาคาร A โดยเปิดให้เข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

เพราะหัวใจไม่เพียงทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย แต่ยังสะท้อนอารมณ์ ความรู้สึก และพลังใจที่คอยขับเคลื่อนชีวิต กิจกรรมครั้งนี้จึงถูกออกแบบขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ “ฟังเสียงหัวใจของตนเอง” ทั้งในมิติของสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความหมายเชิงสัญลักษณ์ ว่าแท้จริงแล้วหัวใจแต่ละดวงต่างมีเรื่องราวที่ทรงคุณค่าและควรค่าแก่การรับฟัง

Workshop เติมพลังใจผ่านศิลปะ

  • Color Your Heart – เติมสีให้หัวใจ
    ระบายสีและวาดลวดลายลงบนกระเป๋าผ้า ถ่ายทอดความรู้สึก คลายความเครียด พร้อมเก็บกระเป๋าผลงานกลับไปเป็นที่ระลึก
  • Letters to My Heart – จดหมายถึงหัวใจของฉัน
    เขียนบอกเล่าความในใจที่อยากส่งถึงหัวใจ แล้วนำไปติดบน Heart Wall เพื่อแบ่งปันแรงบันดาลใจและกำลังใจให้กับผู้คนรอบข้าง
  • Heartbeat Sync – ฟังเสียงหัวใจของตัวเอง
    ใช้ Stethoscope ฟังจังหวะหัวใจ และถ่ายทอดความหมายของทุกการเต้น ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลกจนถึงวันนี้

กิจกรรมพิเศษ วันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2568 เนื่องวันหัวใจโลก

ที่เติมเต็มทั้งความรู้และพลังใจ โรงพยาบาลพระรามเก้าได้เตรียมกิจกรรมเสวนาและการฝึกทักษะสำคัญ ได้แก่

  • 09.30 – 12.00 น. CPR Training เรียนรู้การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (รับจำนวนจำกัด ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย)
  • 12.45 – 13.30 น. Doctor Talk หัวข้อ “Toxic Relationship: บาดแผลในหัวใจ” โดย นพ.ธนานันต์นุ่มแสง จิตแพทย์ โรงพยาบาลพระรามเก้า และ นิ้วกลม ดำเนินรายการโดย นพ.วิทยา วันเพ็ญ จิตแพทย์ โรงพยาบาลพระรามเก้า
  • 13.30 – 14.15 น. Doctor Talk หัวข้อ “เจาะลึกอาการใจสั่นและภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ” โดย นพ.ธัชพงศ์ งามอุโฆษ แพทย์เฉพาะทางด้านภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ​ จาก โรงพยาบาลรามาธิบดี​ และดำเนินรายการโดย พญ.อัณณาช์ เตรียมอนุรักษ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านอายุรศาสตร์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลพระรามเก้า

กิจกรรม “LISTEN TO YOUR HEART” ไม่เพียงชวนให้ทุกคนหันมาใส่ใจการดูแลหัวใจ แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งการรับฟังและแบ่งปันเสียงของหัวใจ ที่จะเต้นไปพร้อมกับเรื่องราว ความทรงจำ และความรู้สึกดี ๆ ที่ถูกถ่ายทอดผ่านศิลปะและบทสนทนา เพื่อเตือนให้เรารับฟังหัวใจของตนเองและผู้อื่น เพราะ “หัวใจทุกดวง ล้วนมีคุณค่า และเสียงของมันสำคัญเสมอ”

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “LISTEN TO YOUR HEART” ระหว่างวันที่ 24-29 กันยายน สามารถ เข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย  สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 1270 หรือ Website: www.praram9.com / Line: lin.ee/vR9xrQs หรือ @praram9hospital และ Facebook: Praram9 Hospital โรงพยาบาลพระรามเก้า HEALTHCARE YOU CAN TRUST เรื่องสุขภาพ…ไว้ใจเรา #Praram9Hospital อย่าลืมชวนคนที่คุณรัก มาร่วม “โอบกอดสุขภาพดีไปด้วยกัน” เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นในทุก ๆ วัน

CEA เปิดเวที “Content Project Market” ต่อเนื่องปีที่ 2 ดันคอนเทนต์ไทยสู่เวทีโลก ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ยั่งยืน

นายไชยยง รัตนอังกูร ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมด้วย ดร.ชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผู้บริหารและตัวแทนจากหน่วยงาน ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีส์ ร่วมกันเปิดงาน “Content Project Market” (CPM) ต่อเนื่องปีที่ 2 แพลตฟอร์มซื้อ-ขายโปรเจ็กต์ และบทภาพยนตร์ ซีรีส์ แอนิเมชัน ภายใต้โครงการ “Content Lab 2025” เพื่อผลักดันนักสร้างสรรค์ไทย กับผู้ซื้อ นักลงทุน และแพลตฟอร์มชั้นนำจากต่างประเทศกว่า 70 บริษัท  คาดว่าจะเกิดการเจรจาจับคู่ธุรกิจมากกว่า 300 คู่ พร้อมเดินหน้ายกระดับอุตสาหกรรมคอนเทนต์ ไทยสู่ระดับสากล ในระหว่างวันที่ 10 – 12 กันยายน 2568 ณ True Digital Park (East) ชั้น 6 – 7 กรุงเทพมหานคร

โฮมโปร แจ้งเตือน “กรณีมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อโฮมโปร เพื่อหลอกลวงการคืนเงิน”

เรื่อง      โฮมโปร แจ้งเตือน “กรณีมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อโฮมโปร เพื่อหลอกลวงการคืนเงิน”

เรียน      สื่อมวลชน

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ขอเรียนชี้แจงให้ทราบว่า ขณะนี้มีผู้ไม่หวังดีทำการติดต่อไปหาลูกค้าโดยตรง โดยแอบอ้างว่าเป็นพนักงานโฮมโปร เพื่อสร้างความเข้าใจผิด หลอกลวงให้ลูกค้าหลงเชื่อ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล อีกทั้งยังมีการปลอมแปลงเอกสารของทางราชการประกอบและมีการปลอมแปลงบัตรพนักงานขึ้นมา รวมถึงหลอกให้เพิ่มเพื่อนทางไลน์ (Add Line) หรือหลอกให้โอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือทุกรูปแบบ พร้อมทั้งอ้างว่าบริษัทฯ จะดำเนินการเรียกคืนสินค้าและคืนเงินให้แก่ลูกค้า รวมถึงมีการสร้างข้อความเท็จในลักษณะดัดแปลงข้อมูลและเปลี่ยนแปลงข้อความ จากประกาศแจ้งเตือนบนสื่อออนไลน์ของบริษัทฯ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายและสร้างความเข้าใจผิดต่อลูกค้าและประชาชนทั่วไปนั้น

โฮมโปร ขอแจ้งให้ทราบว่า บริษัทฯ มิได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้ดำเนินการตรวจสอบและรวบรวมข้อมูล เพื่อแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมประกาศแจ้งเตือนภัยแก่ผู้บริโภคต่อเนื่องผ่านช่องทางสาขาทั่วประเทศ และทุกช่องทางออนไลน์อย่างเป็นทางการของบริษัทฯ

บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้

  1. โฮมโปรไม่มีนโยบาย เรียกคืนสินค้าและคืนเงินผ่านช่องทางบุคคลภายนอกโดยเด็ดขาด
  2. จากการตรวจสอบยืนยันแล้วว่า ไม่มีข้อมูลรั่วไหลจากระบบของบริษัทฯ แต่อย่างใด ข้อมูลลูกค้าทุกท่านยังคงปลอดภัย
  3. บริษัทฯ ได้ดำเนินการประกาศแจ้งเตือนภัยแก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางสาขาทั่วประเทศ และทุกช่องทางออนไลน์อย่างเป็นทางการของบริษัทฯ

ทั้งนี้ โฮมโปรขออภัยอย่างสูงในความไม่สะดวกที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเข้าใจถึงความกังวลของท่าน พร้อมขอแนะนำให้ลูกค้าเพิ่มความระมัดระวัง ไม่หลงเชื่อข้อความ โทรศัพท์ หรือข้อเสนอ ที่ไม่ได้มาจากช่องทางการของโฮมโปร รวมถึงหลีกเลี่ยงการกดลิงก์ที่ไม่น่าไว้ใจ ไม่ตอบกลับอีเมล์หรือข้อความที่น่าสงสัย และไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หรือรหัส OTP กับบุคคลอื่น เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อบริษัทฯ ในการทำธุรกรรมต่างๆ

นอกจากนี้ ขอเน้นย้ำให้ท่านรับข้อมูลข่าวสารจากช่องทางอย่างเป็นทางการของโฮมโปรเท่านั้น และโปรดระมัดระวังการแอบอ้างจากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ตัวแทนของโฮมโปร หากพบข้อความหรือการติดต่อที่น่าสงสัย สามารถสอบถามและยืนยันข้อมูลได้โดยตรงผ่านโฮมโปร และเมกาโฮม ทุกสาขาใกล้บ้าน, โซเชียลมีเดียทางการของบริษัทฯ ได้แก่ Facebook : HomePro Thailand, LINE Official : @HomePro และเว็บไซต์ : www.homepro.co.th และ Call Center โทร. 1284 (เวลา 9.00-21.00 น.)

โฮมโปรขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกสำนักข่าวที่ช่วยเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นประโยชน์แก่ประชาชน และขอยืนยันถึงความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าทุกท่าน พร้อมยึดมั่นในการส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าคนสำคัญของเราเสมอมา

ขอแสดงความนับถือ

สำนักสื่อสารองค์กร | บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร”

วันพุธที่ 17 กันยายน 2568

สคส. ขับเคลื่อนนโยบาย PDPA สู่ท้องถิ่น สัญจร 5 จังหวัดใหญ่ สร้างมาตรฐาน Data Protection ภาครัฐ

สำนักคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) โดยสำนักส่งเสริมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เปิดโครงการ “พัฒนากลไกสร้างความเข้าใจและส่งเสริมมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” ลงพื้นที่สัญจร 5 จังหวัดใหญ่ทั่วประเทศ เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา อุบลราชธานี และภูเก็ต ระหว่างเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568 มีผู้เข้าร่วมอบรมกว่า 584 คน ยกระดับความตระหนักรู้และศักยภาพของหน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้สอดคล้องกับกฎหมาย PDPA และมาตรฐานสากลด้านความมั่นคงไซเบอร์

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวว่า “การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลคือกลไกสำคัญด้านความมั่นคงไซเบอร์ และเป็นรากฐานของความเชื่อมั่นจากประชาชน หน่วยงานรัฐและท้องถิ่นต้องยกระดับมาตรฐานการจัดการข้อมูลให้เป็นไปตามกฎหมายและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล”

โครงการ “พัฒนากลไกสร้างความเข้าใจและส่งเสริมมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” ลงพื้นที่สัญจร 5 จังหวัดใหญ่ทั่วประเทศ เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา อุบลราชธานี และภูเก็ต มุ่งสร้างความเข้าใจเชิงลึก

เกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์และแนวทางรับมือหากเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล พร้อมแนะนำ Best Practices ในการทำงานของหน่วยงานรัฐและ อปท. ในฐานะ ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) ภายใต้กฎหมาย PDPA

บทบาทของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในฐานะ Data Controller มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากต้องทำหน้าที่กำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนในพื้นที่ อปท. จำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์กฎหมายอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่การจัดทำมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล การขอความยินยอมที่ถูกต้อง การบริหารสิทธิของเจ้าของข้อมูล ไปจนถึงการรายงานเหตุข้อมูลรั่วไหลอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยต่อการให้บริการสาธารณะของท้องถิ่น

การสัญจรครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่น และคณะผู้บริหาร สคส. พ.ต.อ.ณัทกฤช พรหมจันทร์ รองเลขาธิการ (ด้านส่งเสริมและกำกับดูแล), พ.ต.อ.ดร.ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองเลขาธิการ (ด้านกฎหมาย) และ พลตรี เฉลิมศักย์ ดาสะอาด ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมฯ ที่ร่วมผลักดันการขับเคลื่อนมาตรฐาน Data Protection สู่ระดับพื้นที่

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการสัญจร 5 จังหวัด จะเป็นกลไกเชิงรุกที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภาครัฐ มุ่งเน้นการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และเครือข่ายความร่วมมือในระดับพื้นที่ นำไปสู่ ระบบกำกับดูแลข้อมูลภาครัฐที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเชื่อถือได้ สอดคล้องกับเป้าหมาย ข้อมูลรั่วไหลต้องเป็น “0”