สคส. จับมือ Meta เปิดตัว DPA Casework Channel ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ผนึกกำลัง Meta เปิดตัว DPA Casework Channel ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกละเมิด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในโลกออนไลน์ปัจจุบัน เพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับปัญหาข้อมูลรั่วไหล และเสริมสร้างมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย

ภายในงานมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสององค์กรเข้าร่วมประชุม ณ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อาทิ นายเธียรชัย ณ นคร ประธานกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมด้วยกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล,กรรมการผู้เชี่ยวชาญ,พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการ PDPC, พ.ต.อ.ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะผู้บริหารจาก PDPC ทางฝั่ง Meta นำโดย Ms. Arianne Jimenez Head of Privacy and Data Policy พร้อมทีมผู้แทนจาก Meta ประเทศไทย

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการ สคส. กล่าวว่า ปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งานเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งบนโซเชียลมีเดีย DPA Casework Channel เป็นช่องทางใหม่ที่ช่วยให้ สคส. ประสานงานกับ Meta ได้โดยตรง ทำให้สามารถรับเรื่อง ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลได้

อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยช่องทางนี้จะช่วยจัดการปัญหาหลัก ได้แก่ บัญชีถูกแฮก (Account Hacking), ข้อมูลถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต และการแอบอ้างข้อมูลส่วนบุคคล

นอกจากการเปิดตัวช่องทางใหม่นี้ Meta ยังได้นำเสนอแนวทาง Meta’s Privacy Program         เพื่อส่งเสริมมาตรการด้านความปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม และร่วมกันวางแนวทางลดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา และผู้สูงอายุ เกี่ยวกับ วิธีใช้ข้อมูลให้ปลอดภัยในโลกออนไลน์

Ms. Arianne Jimenez, Head of Privacy and Data Policy กล่าวว่า “การเปิด DPA Casework Channel ในประเทศไทย จะช่วยให้ สคส. สามารถประสานงานกับ Meta ได้โดยตรง ทำให้สามารถตรวจสอบและแก้ไขเรื่องร้องเรียนด้านข้อมูลส่วนบุคคลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความปลอดภัยของผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มของเรา”

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวปิดท้ายว่า “การร่วมมือกับ Meta ในการส่งเสริมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลผ่าน Meta’s Privacy Program และ DPA Casework Channel จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน เพราะข้อมูลส่วนตัวจะได้รับการปกป้องอย่างเข้มแข็ง ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของ สคส. และประเทศไทย—มุ่งสู่ยุคที่ข้อมูลรั่วไหลเป็น ‘0’”

ทั้งนี้ หากประชาชนพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย หรือมีเหตุเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล สามารถแจ้งเบาะแส สอบถาม หรือร้องเรียนมายัง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) โทร. 02-111-8800 หรืออีเมล saraban@pdpc.or.th

LOAN DD ยอดทะลุเป้า! มูลค่าทรัพย์สินขายฝากพุ่งทะลุ 170 ล้านบาทคาดไตรมาสแรกแตะ 200 ล้านแน่นอน

LOAN DD ตอกย้ำบทบาทผู้นำแพลตฟอร์มตัวกลางด้านการขายฝากและจำนอง เดินหน้าสร้างสภาพคล่องให้กับ SME ไทยที่มีศักยภาพ ล่าสุดเผยตัวเลขเดือนมีนาคม ยอดขายฝากทะลุ 170 ล้านบาทภายในครึ่งเดือนแรก สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจที่ยังซบเซา พร้อมตั้งเป้าไตรมาสแรกแตะ 200 ล้านบาท

นายวรวุฒิ กิตติอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โลนด์ ดีดี จำกัด (LOAN DD) เปิดเผยว่า “ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย หนี้ครัวเรือนของไทยแตะระดับ 90% ของ GDP ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเผชิญกับข้อจำกัดด้านการเงิน ธุรกิจ SME จำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคาร เนื่องจากขาดหลักประกันที่ตรงตามเงื่อนไขหรือมีข้อจำกัดด้านเครดิตสกอร์ ทำให้หลายธุรกิจต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และบางส่วนกำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่สามารถช่วยให้พวกเขาเข้าถึงเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

LOAN DD ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับขายฝากและจำนองอสังหาริมทรัพย์ให้กับผู้ประกอบการ SME เป็นมูลค่ารวมกว่า 170 ล้านบาทแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเงินทุนที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและสภาพคล่องของหลายธุรกิจจะยังตึงตัว การเข้าถึงแหล่งเงินทุนแบบดั้งเดิมผ่านสถาบันการเงินยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ LOAN DD จึงเข้ามาเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการปลดล็อกสภาพคล่องและช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถใช้ทรัพย์สินของตนเองเป็นแหล่งเงินทุนเพื่อให้กิจการเดินหน้าต่อไปได้

นายวรวุฒิ กล่าวต่อว่า “LOAN DD เข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้ โดยให้บริการเป็นตัวกลางในการขายฝากและจำนองอสังหาริมทรัพย์ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำที่ดิน บ้าน หรือคอนโดมาเปลี่ยนเป็นเงินทุนได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมาย โดยปัจจุบัน LOAN DD ยังมีวงเงินรับขายฝากและจำนองที่สามารถช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับ SME ได้อย่างมีนัยสำคัญ”ในช่วงครึ่งแรกของเดือนมีนาคมที่ผ่านมา วงเงินที่เราอนุมัติไปแล้ว เกิน 100 ล้านบาท และหากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป เรามั่นใจว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ LOAN DD จะสามารถปล่อยกู้ได้ตามเป้าหมาย 200 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ SME ไทยจำนวนมากได้รับการสนับสนุนที่พวกเขาต้องการเพื่อเดินหน้าธุรกิจต่อไป”ปัจจุบัน หลายภาคส่วนกำลังจับตาสถานการณ์เศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด การชะลอตัวของการลงทุน การบริโภคที่ลดลง และหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจ SME เผชิญกับความท้าทายในการขยายกิจการและรักษาสภาพคล่อง LOAN DD จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถเข้ามาช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเข้าถึงเงินทุนได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ยุ่งยากเหมือนการขอสินเชื่อจากธนาคาร

โดยธุรกิจ “SME ไทยยังมีศักยภาพในการเติบโต แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้องและทันเวลา เราไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงแค่การปล่อยสินเชื่อ แต่ยังมุ่งเน้นการช่วยให้ธุรกิจบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว” นายวรวุฒิ กล่าวปิดท้าย

สำหรับผู้ที่ต้องการคำปรึกษาด้านการเงิน ต้องการขายฝาก จำนองที่ดิน บ้าน คอนโด หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ สามารถติดต่อ LOAN DD ได้ที่ โทร. 081-638-6966 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.loandd.co.th และ Line ID: @loan_dd

COSMAX Invests 1.5 Billion Baht in a New FactoryTripling Production Capacity to Elevate Thailand’s Cosmetics Industry to a Global Level

The cosmetics market is heating up as COSMAX (Thailand) Co., Ltd., a global leader in beauty product manufacturing with over 600 brands from South Korea, invests more than 1.5 billion baht in a world-class OEM/ODM cosmetics production facility in Thailand. Spanning 35,995 square meters, the new factory will triple its production capacity, incorporating advance cosmetic manufacturing technologies to enhance efficiency and support the growing demand in both domestic and international markets.

Mr. Mingoo Kang, Chief Executive Officer (CEO) of COSMAX (Thailand), emphasized that the beauty industry is experiencing rapid growth in Thailand and worldwide, driven by consumers’ increasing focus on personal care and the influence of social media, which encourages people to pay greater attention to beauty and personal appearance. According to Euromonitor, Thailand’s Beauty and Personal Care market is projected to reach 3.03 billion baht by 2025. The construction of COSMAX’s new factory marks a significant milestone in enhancing manufacturing capabilities to meet the demands of the fast-growing cosmetics market. It also strengthens Thailand’s position as ASEAN’s leading OEM/ODM beauty product manufacturing hub.

In 2024, COSMAX achieved a 65.4% growth rate, with an average five-year growth rate of 16.1%. Key factors behind this success include the increasing demand for cosmetics and the rise of new market players, such as influencers launching their own beauty brands and emerging cosmetics startups. Despite intensifying competition, COSMAX maintains its industry leadership through high-quality, standardized manufacturing processes and advance technology, ensuring product innovation that meets consumer needs.

COSMAX Thailand’s new 1.5 billion baht investment covers 35,995 square meters, including a 5,560-square-meter warehouse and a 30,435-square-meter production area. This expansion will triple the current production capacity, with construction expected to be completed by 2026. The new factory will play a crucial role in addressing the increasing demand in both domestic and international markets.

Mr. Mingoo Kang further highlighted that this expansion enables COSMAX Thailand to broaden its product offerings across all segments, including makeup, skincare, fragrances, and body care, catering to the continuously growing consumer demand. The factory will incorporate advanced smart technologies, such as Real-Time Management, SAP systems, robotics, and Automated Guided Vehicles (AGVs), to enhance production efficiency and minimize human errors.

Additionally, the factory will adhere to global quality control standards, including ISO 22716, ISO 9001, and ISO 14001, and receive certifications from certifications from the FDA, Halal, and Vegan organizations, ensuring that every product meets the highest safety and quality standards.

Sustainability is a core focus of COSMAX Thailand. The new facility will feature localized ventilation systems with carbon filters to reduce VOCs emissions, smart wastewater treatment systems for water recycling, and renewable energy solutions, such as solar panels and energy-efficient LED lighting with intelligent sensors. The company is also committed to Zero Water Waste, reusing wastewater from production processes and promoting waste recycling to minimize environmental impact. Furthermore, COSMAX is dedicated to Environmental, Social, and Governance (ESG) policies to ensure long-term business sustainability.

Beyond environmental efforts, COSMAX is committed to giving back to society by supporting community development initiatives, including skills training and job creation for local workers near the factory to enhance their quality of life. The company also prioritizes employee health, safety, and welfare to ensure a positive and secure working environment.

The opening of COSMAX Thailand’s new cosmetics manufacturing facility will also boost the economy and employment, creating over 400 new jobs and supporting local businesses through the procurement of raw materials from domestic suppliers, thereby stimulating the local economy. This production expansion is not only designed to accommodate the fast-growing beauty market but also to provide a solid foundation for brands looking to develop their own cosmetics sustainably, positioning COSMAX Thailand at the forefront of 2025 beauty trends.

For more information, explore:
📌 Facebook: Cosmax Thailand
📌 TikTok: cosmax_th
📌 Website: https://www.cosmax.co.th

COSMAX ทุ่มงบ 1,500 ล้านบาท สร้างโรงงานใหม่ ขยายกำลังการผลิต 3 เท่า ยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยสู่ระดับโลก

ตลาดเครื่องสำอางเดือด COSMAX หรือ บริษัท ซีโอเอสเอ็มเอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำด้านการผลิตสินค้าความงามระดับโลกมากกว่า 600 แบรนด์ จากประเทศเกาหลี ทุ่มงบประมาณกว่า 1,500 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเครื่องสำอาง OEM/ODM ระดับโลกในประเทศไทย ด้วยพื้นที่กว่า 35,995 ตารางเมตร สามารถเพิ่มกำลังการผลิตถึง 3 เท่า มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีการผลิตเครื่องสำอางที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางทั้งในประเทศและทั่วโลก

นายมินกู คัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอเอสเอ็มเอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ COSMAX ผู้นำด้านการผลิตสินค้าความงามระดับโลกมากกว่า 600 แบรนด์ จากประเทศเกาหลี เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมความงามทั้งในไทยและทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้ผู้บริโภคยังได้รับอิทธิพลของ Social Media ที่กระตุ้นให้ผู้คนใส่ใจในเรื่องความสวยความงามและบุคลิกภาพมากขึ้น โดยข้อมูลจาก Euromonitor คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตลาด Beauty and Personal Care ในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 3.03 แสนล้านบาท ดังนั้นการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ของ COSMAX จึงเป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับศักยภาพการผลิต เพื่อรองรับตลาดเครื่องสำอางที่เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมความงามของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในเวทีสากล และส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตสินค้าความงาม OEM/ODM ของอาเซียน

ในปีที่ผ่านมา COSMAX มีอัตราการเติบโต 65.4% และเติบโตเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี 16.1% ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ COSMAX ประสบความสำเร็จ และเติบโตอย่างต่อเนื่องคือ ความนิยมในการใช้เครื่องสำอางที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ตลาดเครื่องสำอางขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาด ไม่ว่าจะเป็น Influencers ที่สร้างแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง หรือแม้กระทั่งแบรนด์เครื่องสำอางน้องใหม่ ที่ก้าวเข้าลงทุนและแข่งขันในตลาดนี้ แม้จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นแต่ COSMAX ยังสามารถเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นคง ด้วยกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ โดยมีการใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการผลิต ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

สำหรับก่อสร้างโรงงานใหม่ COSMAX Thailand ได้ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท บนพื้นที่รวมกว่า 35,995 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นพื้นที่คลังสินค้า 5,560 ตารางเมตร และพื้นที่ฝ่ายการผลิต 30,435 ตารางเมตร ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากเดิม คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในปี 2569 และการก่อสร้างโรงงานครั้งนี้มีบทบาทสำคัญในการรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตลาดในประเทศ และต่างประเทศที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว

นายมินกู คัง กล่าวต่อไปว่า นับเป็นก้าวสำคัญของ COSMAX Thailand เพื่อขยายกำลังการผลิตครอบคลุมในทุกเซกเม้นต์ เครื่องสำอาง Makeup ประเภทต่างๆ สกินแคร์ น้ำหอม และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโรงงานแห่งใหม่นี้จะนำเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ทันสมัยมาใช้ภายในโรงงาน เช่น ระบบ Real Time Management และ SAP รวมถึงหุ่นยนต์และ AGV (Automated Guided Vehicle) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานของมนุษย์

นอกจากนี้ยังมีมาตรการควบคุมคุณภาพระดับสากล เช่น ISO 22716, ISO 9001, ISO 14001 และการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ เช่น FDA, Halal และ Vegan certification เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่ออกจากโรงงานมีคุณภาพสูงและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค

COSMAX Thailand ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยโรงงานแห่งใหม่ติดตั้งระบบระบายอากาศเฉพาะจุดที่มีตัวกรองคาร์บอนเพื่อลดสาร VOCs รวมถึงมีระบบบำบัดน้ำเสียอัจฉริยะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้บริษัทยังใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น แผงโซลาร์เซลล์ และระบบไฟ LED พร้อมเซ็นเซอร์อัจฉริยะเพื่อลดการใช้พลังงาน รวมถึงการให้ความสำคัญกับแนวทาง Zero Water Waste โดยนำน้ำเสียจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ และส่งเสริมการรีไซเคิลขยะเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งดำเนินนโยบายด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) อย่างเข้มข้นเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจอีกด้วย

นายมินกู คัง กล่าวอีกว่า นอกจากการใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนแล้ว เรามุ่งมั่นการตอบแทนให้แก่สังคม ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาในชุมชน เช่น การพัฒนาทักษะและการสร้างงาน ส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงานในชุมชนรอบๆ พื้นที่โรงงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น การดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน รวมถึงสวัสดิการและความปลอดภัยในการทำงาน

การเปิดโรงงานผลิตเครื่องสำอางแห่งใหม่ของ COSMAX Thailand ยังส่งผลสำคัญด้าน เศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยเพิ่มตำแหน่งงานกว่า 400 ตำแหน่ง พร้อมส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นผ่านการซื้อวัตถุดิบจาก ผู้ผลิตในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น การขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วย รองรับตลาดความงามที่เติบโต แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้กับผู้ที่ต้องการผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ตัวเองอย่างยั่งยืน พร้อมตอบโจทย์ เทรนด์เครื่องสำอาง 2025 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สอบถามข้อมูล และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Facebook: Cosmax Thailand, TikTok: cosmax_th และ Website: https://www.cosmax.co.th

ค้าปลีกเรื่องบ้านที่ผู้บริโภคเชื่อมั่น! “โฮมโปร” คว้ารางวัล “2025 Thailand’s Most Admired Brand” แบรนด์ที่น่าเชื่อถือและได้รับความไว้วางใจสูงสุดในกลุ่ม Modern Trade วัสดุก่อสร้าง

ผู้นำค้าปลีกเรื่องบ้าน-โฮมโปร หรือ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัล “2025 Thailand’s Most Admired Brand” แบรนด์ที่ได้รับความน่าเชื่อถือและไว้วางใจจากผู้บริโภคสูงสุด ประจำปี 2568 ในกลุ่ม Modern Trade วัสดุก่อสร้าง ที่จัดโดยนิตยสาร BrandAge และ BrandAge Online จากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคทั่วประเทศ รางวัลนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วประเทศว่า โฮมโปรยังคงเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในตลาดสินค้าบ้านและที่อยู่อาศัยของไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสินค้าและบริการเรื่องบ้านครบวงจรอย่างแท้จริง

อินไซต์ผู้บริโภค ในปัจจุบัน ผู้บริโภคไม่เพียงแค่เลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังคาดหวังประสบการณ์การซื้อที่สะดวกสบายและไร้รอยต่อ รวมถึงการบริการที่มีความครบครันและคุ้มค่าตลอดทุกช่วงเวลาของการใช้งานสินค้านั้นๆ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การติดตั้ง ไปจนถึงบริการหลังการขายที่มีคุณภาพ การที่โฮมโปรได้รับรางวัลนี้เป็นการยืนยันว่าแบรนด์ได้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างครบถ้วน โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่เข้าถึงได้ทั้งช่องทางหน้าร้านและแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งตอบโจทย์ความสะดวกสบายและความมั่นใจในการเลือกซื้อสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน

รางวัลนี้สะท้อนถึงความสำเร็จและความมุ่งมั่นของโฮมโปรในการสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า และเรายังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโซลูชันที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดของเสีย และนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมและยินดีสนับสนุนแบรนด์ที่มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม

รางวัล “2025 Thailand’s Most Admired Brand” ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จ แต่เป็นแรงผลักดันให้โฮมโปรเดินหน้าพัฒนาและยกระดับการให้บริการต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดสินค้าบ้านและที่อยู่อาศัย พร้อมสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

#2025ThailandsMostAdmiredBrand #BrandAge #HomePro #โฮมโปร #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #Homepropr

ถิรไทย เดินแผนธุรกิจปี 68 กับ 4 คุณค่าองค์กร รักษารายได้ 3,000 ล้าน ก่อนสู่ Zero Carbon Footprint เต็มสูบ

บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ ก้าวสู่ปีที่ 40 เดินหน้า Green Business เล็งออกสินค้า Green Product ปูทางสู่ Zero Carbon Footprint ภายในปี 2065 ขณะที่แผนธุรกิจปี 68 ขอรักษารายได้ 3,000 ล้าน เติบโตน้อยกว่า 5% เหตุสถานการณ์โลกผันผวน-ตัวแปรกระทบมาก และอาจเกิดสงครามการค้าโลก จากปี 67 ที่ทำรายได้สูงสุดในรอบ 4 ปี ด้วยจำนวน 2,844.19 ล้าน พร้อมทำกำไรสุทธิ 222.65 ล้าน

นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ว่า เป็นปีที่กลุ่มบริษัทได้ดำเนินธุรกิจเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 ซึ่งยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจภายใต้ค่านิยม 4 ประการ ประกอบด้วย 1.การทำงานแบบทีมเวิร์ค (Team work) 2.การทำงานอย่างมีคุณภาพ (Quality) 3.การทำงานอย่างมีคุณธรรม (Integrity) และ 4.การทำงานโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customers Focus)

“กลุ่มบริษัทถิรไทย เราบริหารธุรกิจมาร่วม 40 ปี ภายใต้ 4 ค่านิยมหลักมาโดยตลอด  จากค่านิยมองค์กรดังกล่าว  การดำเนินงานจึงออกมาเพื่อสนับสนุนความต้องการของลูกค้าทุกอย่าง (Engineering-to-Order) บนสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ และเราเป็น 1 ใน 2 ผู้ผลิตหม้อแปลงรายใหญ่ในประเทศไทย และระดับภูมิภาค ที่สามารถผลิตหม้อแปลงขนาดใหญ่ระดับ 525 MVA ได้” นายสัมพันธ์ กล่าวและว่า

ส่วนทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทจะเดินหน้าตามนโยบายภาครัฐ กับแผนการก้าวสู่เป้าหมาย Zero Carbon Footprint ให้ได้ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065) ซึ่งช่วงปลายทศวรรษที่ 4 ได้เริ่มวางนโยบายและดำเนินธุรกิจแบบ Green Business และ Green Product ด้านการประหยัดพลังงานและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม จนทำให้ช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับรางวัล “อุตสาหกรรมดีเด่น ประจำปี 2567” หรือ THE PRIME MINISTER’S INDUSTRY AWARD 2024 ประเภทอุตสาหกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม การพัฒนาที่ยั่งยืน และบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อนำออกมาทำตลาดในอนาคตด้วย

ายสัมพันธ์ กล่าวอีกว่า ด้านผลการดำเนินงานในปี 2568 กลุ่มบริษัทได้ตั้งเป้าหมายทำรายได้รวม 3,000 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 2567 มีรายได้รวม 2,881.98 ล้านบาท และ บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Back log) จำนวน 1,394 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นยอดขายจากกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า จำนวน 1,254 ล้านบาท ส่วนยอดขายจำนวน 141 ล้านบาทเป็นกลุ่มที่ไม่ใช่ธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า สำหรับยอดขายรอรับรู้รายได้ดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายรับรู้รายได้ปี 2568 จำนวน​ 1,295 ล้านบาท และรับรู้รายได้ปี 2569 จำนวน​ 100 ล้านบาท

“เป้าหมายในปี 2568 กลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าวางเป้าหมายเติบโต 4% โดยคาดว่าจะมีกำไรขั้นต้น 18-20% ตามนโยบายที่ดำเนินมาโดยตลอด ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลงไฟฟ้าน่าจะเติบโต 9% มีกำไรขั้นต้น 18-20% เช่นเดียวกัน  ปัจจุบันงานที่เรากำลังดำเนินการเสนอราคา เพื่อเปลี่ยนเป็นคำสั่งซื้อมีมูลค่ารวม 13,878 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มหม้อแปลงไฟฟ้าจำนวน 11,655 ล้านบาท และไม่ใช่หม้อแปลงไฟฟ้าจำนวน 2,223 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสที่จะได้ใบคำเสนอราคากลับมาเป็นคำสั่งซื้อประมาณ 20%” นายสัมพันธ์ กล่าวและว่า

อย่างไรก็ตาม สำหรับเป้าหมายรายได้ในปีนี้ บริษัทได้กำหนดนโยบายรักษาการเติบโตให้เท่ากับปีที่ผ่านมา เพื่อรอดูจังหวะของตลาดและสร้างโอกาสที่ดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป แต่ยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจด้านความยั่งยืนและธุรกิจสีเขียว ซึ่งต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในโลกค่อนข้างมีตัวแปรเยอะมาก มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเยอะมาก ทำให้การมองเหตุการณ์หรือประเมินสถานการณ์ในอนาคตได้ยาก

ด้านนายกานต์ วงษ์ปาน เลขานุการบริษัท และผู้จัดการฝ่ายการเงินบัญชีและเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวถึงผลการดำเนินงานในรอบปี 2567 ที่ผ่านมาว่า​ กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 2,881.98 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 4 ปี แบ่งเป็นรายได้จากการขายและบริการ 2,844.19 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้น (Gross Profit) 639.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 100 ล้านบาท เป็นอัตรากำไรขั้นต้น 22.5% แม้ว่าจะต่ำกว่าปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 25.29% แต่เป็นไปตามนโยบายของบริษัทที่ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20% มี EBITDA จำนวน 443.35 ล้านบาท และ EBIT จำนวน 374.42 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 222.65 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.73% สูงสุดในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา

สำหรับรายได้รวมในปี 2567 จำนวน 2,881.98 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานภาครัฐ เช่น การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) บริษัทเอกชนทั่วไป และตลาดส่งออก จำนวน 2,617 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายกลุ่มลูกค้าภาครัฐและเอกชนในประเทศ จำนวน 2,204 ล้านบาท การส่งออก จำนวน 290 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจบริการ จำนวน 119 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง (Non-Transformer) เช่น แบตเตอรี่ลิเธียม, รถกระเช้า, รถเครน, และตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้า มีรายได้รวม 265 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนหน้า 120 ล้านบาท

ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า มีอัตรา 20% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 24% ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง มีอัตรากำไรขั้นต้น 46% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 44%

“PDPC ลุยเต็มสูบหนุนผู้นำชุมชน สร้างความตื่นรู้เรื่องข้อมูลส่วนบุคคล นำร่องอยุธยาที่แรก”

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เดินหน้าเชิงรุกสร้างความรู้สู่ชุมชน ให้เกิดความเข้าใจและเห็นความสำคัญของข้อมูลของตนเอง เพราะการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลกำลังเป็นประด็นใหญ่ ที่ปลุกกระแสตื่นตัวของคนในสังคมปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ สคส.จึงเชิญผู้นำในจังหวัดอยุธยา เป็นตัวแทนสร้างความตระหนักรู้สู่ประชาชนในพื้นที่ ถึงสิทธิความเป็นส่วนตัวและการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง เป็นการจุดประกายครั้งสำคัญที่ทำให้ทุกคนเห็นคุณค่าของข้อมูลตนเอง ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด โดยเริ่มต้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นจังหวัดแรก และจะขยายไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศในอนาคต

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการ สคส. กล่าวว่าปัจจุบันประชาชนจำนวนมากยังไม่เห็นถึงความสำคัญกับข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ กระทบต่อผู้คนในวงกว้าง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การหลอกรักออนไลน์ ( Romance Scam) การหลอกลวงทางออนไลน์ (Phishing) การฉ้อโกงทางธุรกรรม (Transaction fraud) หรือการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในวัตถุประสงค์ที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบโดยตรง การเดินหน้าจุดประกายจาก สคส. ในครั้งนี้ จะช่วยให้ประชาชนตื่นรู้ถึงการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง ลดความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล

ดังนั้นทาง สคส. จึงเดินหน้าจัดประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มประชาชนให้มากที่สุด พร้อมดึงเอาผู้นำชุมชน ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดในพื้นที่ ที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้  ในการจัดกิจกรรม“PDPC สร้างความรู้สู่ชุมชน เพื่อมุ่งหวังให้ประชาชนตระหนักรู้และร่วมกันลดความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลและช่วยให้ประชาชนสามารถปกป้องข้อมูลได้ด้วยตนเอง ถือเป็นส่วนสำคัญในการทำให้ข้อมูลรั่วไหลเป็น “0”

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การดึงเอาผู้นำชุมชน หรือ อินฟลูเอนเซอร์จังหวัด มาในกิจกรรมนี้ จะเป็นการส่งต่อชุดข้อมูลความรู้ ในการสร้างความเข้าใจ ว่าข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่มีมูลค่า ซึ่งคนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยผลักดันให้เห็นถึงความสำคัญของข้อมูลส่วนบุคคล”

ภายในงานมีการให้คำปรึกษาและตอบข้อซักถามเกี่ยวกับสาเหตุการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล โดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจาก สคส. และมีผู้นำชุมชนจากหน่วยงานต่าง ๆ เป็นตัวแทนส่งต่อความรู้ให้กับประชาชนในชุมชน  นอกจากนี้ยังมีสื่อรณรงค์ในรูปแบบต่างๆ ให้ทุกคนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน โดยจัดเป็น กระเป๋าชุดข้อมูลความรู้ PDPC รู้แล้วรอด” เครื่องมือที่ช่วยให้เข้าใจแนวทางการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลอย่างง่าย และใช้ได้จริง  ณ บริเวณหน้าวัดไชยวัฒนาราม ถนนอู่ทอง แหล่งการค้าที่สำคัญของจังหวัด

สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล www.pdpc.or.th หรือ Facebook Fanpage PDPC Thailand

ข้อมูลรั่วไหลเป็น “0”

ซูเลียน ยกทัพสมาชิกกว่า 300 คน บินลัดฟ้าสู่ไต้หวันตอกย้ำความสำเร็จของกองทุนท่องเที่ยว ด้วยการเดินทางสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าตอกย้ำความสำเร็จครั้งใหญ่ พร้อมมอบรางวัลพิเศษให้แก่สมาชิกที่ทุ่มเทและผ่านคุณสมบัติกองทุนท่องเที่ยวต่างประเทศ (Travel Incentive Fund) ด้วยการจัดทริปสุดหรูไปยังประเทศไต้หวัน เพื่อเป็นการตอบแทนความสำเร็จและการทำงานทุ่มเทของนักธุรกิจซูเลียน ทริปสุดพิเศษนี้ไม่เพียงแต่เป็นการฉลองความสำเร็จของสมาชิกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของซูเลียนในการมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับผู้ที่ทุ่มเทในกองทุนท่องเที่ยว ทำให้สมาชิกกว่า 300 คน ได้มีโอกาสสัมผัสกับวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวอันงดงามของไต้หวัน ในบรรยากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการตอบแทนความทุ่มเทของสมาชิกทุกท่าน แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความสำเร็จของกองทุนท่องเที่ยวที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมเรามีความภาคภูมิใจที่จะมอบประสบการณ์สุดพิเศษนี้ให้แก่สมาชิกทุกท่านที่ช่วยสร้างความสำเร็จให้กับเรา ซึ่งเราภูมิใจที่ได้พาสมาชิกซูเลียนกว่า 300 ท่าน มาสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษในครั้งนี้ ทุกคนทำงานหนักและมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายและเราต้องการตอบแทนความสำเร็จของพวกเขาด้วยประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้เราหวังว่าทริปนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนก้าวสู่เป้าหมายใหม่ในปีต่อไป และซูเลียนจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนสมาชิกทุกท่านให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน”

บรรยากาศการเดินทางทริปนี้ เป็นไปอย่างพิเศษและอบอุ่นสุดๆ โดยมีการนำทีมโดย ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมผู้บริหารระดับสูง พร้อมด้วย ณัฐชานนท์ จุลล์จักรวงศา (CMO), ภูมิวรพล จุลล์จักรวงศา (COO กัมพูชา), วลัญช์ภร จุลล์จักรวงศา (ผู้จัดการฝ่ายการตลาดระดับภูมิภาค),         ธนเมศฐ์ จุลล์จักรวงศา (ผู้จัดการฝ่ายการตลาด) พร้อมพาสมาชิกซูเลียนกว่า 300 ท่าน ร่วมเปิดประสบการณ์การเดินทางสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

เริ่มต้นความสนุกด้วยการตะลุยแลนด์มาร์คสุดฮิตของไต้หวัน เริ่มต้นการเดินทางด้วยการเยี่ยมชมอุทยานธรณีเย่หลิว ไฮไลต์สำคัญคือ “หินเศียรราชินี” อันโด่งดังที่มีอายุกว่า 100 ปี ก่อนเข้าร่วมกิจกรรมสุดพิเศษ ปล่อยโคมขอพรตามประเพณีไต้หวัน เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลและโชคดี ต่อด้วยการจิบชาอู่หลงแท้ๆ ในโรงน้ำชาชื่อดัง พร้อมดื่มด่ำกับเสน่ห์แห่งไต้หวัน ปิดท้ายวันแรกด้วยการเดินเล่นที่ถนนโบราณจิ่วเฟิ่น แหล่งรวมร้านค้าของกินขึ้นชื่อ

สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ สมาชิกซูเลียนได้รับเกียรติเข้าเยี่ยมชมรัฐสภาไต้หวันในฐานะแขกพิเศษ ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยาก พร้อมเสริมสิริมงคลที่วัดซานชิงกง รับน้ำมนต์จากเทพมังกรเสริมดวงเฮง ก่อนเดินทางสู่โรงกลั่นเหล้า Kavalan แหล่งผลิตวิสกี้ระดับโลก เรียนรู้กระบวนการผลิตและสัมผัสรสชาติสุดพรีเมียมด้วยตัวเอง

ขอพรความสำเร็จ เช็คอินสะพานแห่งความรัก เอาใจสมาชิกสายมูพาไหว้พระที่วัดหลงซาน วัดเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทเป ต่อด้วยการเดินทางสู่สะพานแห่งความรักตั้นสุ่ย จุดชมวิวสุดโรแมนติกที่มีชื่อเสียงของไต้หวัน ให้ทุกท่านได้สัมผัสบรรยากาศอันงดงาม

มาเที่ยวไต้หวันทั้งที นักธุรกิจซูเลียนต้องไปเช็คอินแลนด์มาร์คสำคัญ เยี่ยมชมอนุสรณ์สถานเจียง ไคเชค สถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญของไต้หวัน และต่อด้วยการเช็คอินที่ตึกไทเป 101 ตึกที่สูงที่สุดในไต้หวัน สูงถึง 508 เมตร อีกหนึ่งจุดที่ต้องมาเก็บภาพความประทับใจ

ปิดท้ายทริปสุดหรู ณ บ้านพักอดีตประธานาธิบดีเจียง ไคเชค! สัมผัสบรรยากาศสวนสวยสไตล์ยุโรป เงียบสงบ และโรแมนติก เหมาะแก่การพักผ่อน ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย

หากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษแบบนี้กับเรา อย่ารอช้า! เข้าร่วมเป็นสมาชิก      ซูเลียน เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยโอกาส ร่วมเดินทางสู่ความสำเร็จที่ไม่เหมือนใคร และเป็นส่วนหนึ่งของความภาคภูมิใจในการสร้างอนาคตที่ดีกับซูเลียน

“ไอโมด พลัส” ขึ้นแท่นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตเครื่องประดับกวาดรายได้กว่า 70 ล้าน ในปีที่ผ่านมา พร้อมตั้งเป้า 120 ล้าน ในปี 2568

บริษัท ไอโมด พลัส จำกัด ผู้จำหน่ายและให้บริการเครื่องจักรในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ ประกาศความสำเร็จในการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ในปี 2567 กวาดรายได้กว่า 70 ล้าน พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเครื่องประดับ พร้อมตั้งเป้ารายได้ที่ 120 ล้านในปี 2568 โดยใช้กลยุทธ์“ให้บริการอย่างจริงใจ ยึดมั่นความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง”

นางสาวรุ่งอรุณ  สุวรรณชาโต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอโมด พลัส จำกัด ได้กล่าวว่า บริษัท เริ่มต้นธุรกิจในปี 2550 โดยการให้บริการรับยิงเลเซอร์บนโลหะ โดยในปีแรกที่เริ่มต้นธุรกิจ บริษัทประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่หลังจากนั้นมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ทางบริษัทจึงตัดสินเปลี่ยนแนวธุรกิจจากงานบริการ เป็นจำหน่ายเครื่องจักร โดยมุ่งเน้นการเป็นผู้ให้บริการที่สามารถนำเสนอการใช้เครื่องจักรในกระบวนการผลิตเครื่องประดับได้อย่างครบวงจร

นางสาวรุ่งอรุณ สุวรรณชาโต กล่าวต่อว่า ในปี 2553 บริษัทเริ่มเข้าสู่การจำหน่ายเครื่องจักรและพัฒนาแนวทางการขายใหม่ โดยเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาเครื่องจักรให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย ปัจจุบัน บริษัท ไอโมด พลัส มีลูกค้าหลักเป็นบริษัทเครื่องประดับและสถาบันการศึกษา  สัดส่วนไทย 90% ต่างประเทศ 10%

ภาพรวมธุรกิจของบริษัทเติบโตเฉลี่ยปีละ 5-10% แต่ในปี 2567 บริษัทเติบโตสูงขึ้นถึง 40% โดยมียอดรายได้กว่า 70 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2568 ที่ 120 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัท ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางด้านเครื่องจักรของอุตสาหกรรมเครื่องประดับในภูมิภาคเอเชีย ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ช่วยให้การผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด และลดการใช้แรงงาน โดยเฉพาะในการควบคุมคุณภาพ

ในด้านการทำตลาด บริษัทได้ใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, TikTok และ Line  เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า แต่การขายยังเน้นแบบออฟไลน์ เนื่องจากความเป็นนวัตกรรม จึงจำเป็นต้องเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า โดยบริษัทมีแผนการออกงานแสดงสินค้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย เช่น กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย พม่า และเวียดนาม ซึ่งในปีนี้เราได้เข้าร่วมงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2025 (JGAB) งานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับแห่งภูมิภาคอาเซียน ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 23-26 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

โดยการเข้าร่วมงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้พบปะและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจกับพันธมิตรใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนำเสนอสินค้าคุณภาพระดับโลกให้กับผู้ซื้อ นักลงทุน และผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เราคาดหวังว่างาน JGAB 2025 จะเป็นเวทีที่ช่วยส่งเสริมศักยภาพของ ประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับในระดับสากล เราพร้อมนำเสนอนวัตกรรมการออกแบบ เทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัย และมาตรฐานคุณภาพระดับสูง เพื่อช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอัญมณีไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก และเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทย ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาคอาเซียน

GAC เผยโฉม AION UT และ M8 PHEV ครั้งแรกในไทย พร้อมประกาศนโยบาย ONE GAC ในงาน Motor Show 2025

กรุงเทพฯ – วันที่ 24 มีนาคม 2568) GAC ผู้นำด้านยานยนต์อัจฉริยะระดับโลก เผยโฉม AION UT และ M8 PHEV อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมประกาศนโยบาย ONE GAC ซึ่งเป็นแนวทางการบริหารระดับโลกเพื่อยกระดับโครงสร้างองค์กรให้แข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียว ภายในงาน Bangkok International Motor Show 2025 ที่กำลังจัดขึ้น ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ภายในงาน Bangkok International Motor Show 2025 ซึ่งเปิดฉากขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 6 เมษายน 2025 GAC ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยการเผยโฉม AION UT รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด และ M8 PHEV รถยนต์ MPV เครื่องยนต์ Plug-in Hybrid เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยนอกจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่แล้ว GAC ยังได้จัดแสดงนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยี Intelligent Flying Car ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของงานคือการประกาศนโยบาย ONE GAC 2.0 ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการบริหารองค์กรระดับโลกที่มุ่งเน้นการสร้างเอกภาพของแบรนด์ GAC AION ในทุกตลาดทั่วโลก ภายใต้นโยบายนี้ GAC Group กำลังเดินหน้าขยายตลาดในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย GAC มุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก

คุณ Mr. WAYNE WEI – ประธานกรรมการบริหาร GAC INTERNATIONAL ได้กล่าวว่า “GAC มุ่งมั่นดำเนินกลยุทธ์แบบครบวงจรในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ในปี 2024 ที่ผ่านมา เราได้เห็นความก้าวหน้าและการเติบโตของ GAC ในประเทศไทยอย่างชัดเจน ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ บริการ ช่องทางจำหน่าย และการผลิต ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภคชาวไทย เราได้สร้างสถานีชาร์จ 25 แห่ง และมีการจ้างงานบุคลากรไทยจำนวนมาก เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ในประเทศ

ความสำเร็จของ GAC ในประเทศไทย ถือเป็นต้นแบบของการสร้างแบรนด์จีนสู่เวทีระดับโลก GAC จึงเดินหน้าสู่กลยุทธ์ “ONE GAC 2.0” อย่างเป็นทางการ โดยยึดหลัก 1 วิสัยทัศน์, 1 เป้าหมาย, 1 ภาพลักษณ์, 1 แผนปฏิบัติการเชิงพื้นที่ และ 5 มาตรการสำคัญ

  • มาตรการด้านผลิตภัณฑ์: ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค พร้อมตอบสนองความต้องการในทุกมิติ
  • มาตรการด้านช่องทางการขาย: ขยายเครือข่ายศูนย์บริการให้ครอบคลุม พร้อมยกระดับประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
  • มาตรการด้านบริการ: ยกระดับคุณภาพการบริการสู่มาตรฐานระดับโลก เน้นความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า
  • มาตรการด้านการผลิตอัจฉริยะ: เดินหน้าการผลิตภายในประเทศ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย
  • มาตรการด้านระบบพลังงานและการเดินทาง: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน พร้อมสร้างระบบนิเวศด้านการเดินทางที่ครบวงจร

ในปัจจุบันเราขับเคลื่อน “ภารกิจประเทศไทย” อย่างเต็มที่ ผ่านการเปิดตัว AION UT และ M8 PHEV และเตรียมนำรถยนต์ไฮบริด (HEV) รุ่นแรกเข้าสู่ตลาดไทยภายในปีนี้ พร้อมเป้าหมายขยายโชว์รูมเป็น 80 แห่งภายในปี 2025 และ GAC ยังคงเดินหน้าแผน “100 เมือง 1,000 สถานีชาร์จ” อย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ ONE GAC 2.0 คือคำมั่นสัญญาที่เรามอบให้กับผู้บริโภคชาวไทย เราจะไม่หยุดพัฒนา เพื่อส่งมอบคุณภาพ นวัตกรรม และประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดให้กับทุกคน

AION UT

AION UT รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยและสมรรถนะเหนือระดับ สร้างสรรค์นิยามใหม่ของยนตรกรรมไฟฟ้าให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่มองหารถยนต์ไฟฟ้าที่ทั้งโดดเด่นและเปี่ยมประสิทธิภาพ

AION UT เปิดจองสิทธิ์ให้คุณเป็นเจ้าของแล้ว ในราคาเริ่มต้นที่ 51x,xxx บาท พร้อมรับสิทธิประโยชน์ เมื่อจองรถ AION UT ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ราคาพิเศษเพียง 49x,xxx บาท

UTMost Design
AION UT ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะเมืองมิลาน (Milan Design Aesthetics) ผสานเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย สร้างสรรค์รูปแบบที่สะท้อนความหรูหราและสไตล์ระดับพรีเมียม โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ Winky Headlight ที่มีเส้นสายลื่นไหลให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา และ Matrix Cube Light ที่ออกแบบด้วยดีไซน์คิวบิก ผสมผสานความทันสมัยและฟังก์ชันที่ลงตัว ให้แสงสว่างที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน

UTMost Comfort
ภายในห้องโดยสารของ AION UT มาพร้อมพื้นที่ด้านหลังขนาดกว้างถึง 1,385 มม. และพื้นที่วางขาสบายมากขึ้นถึง 905 มม. ตอบโจทย์การเดินทางแบบครอบครัวหรือการใช้งานที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น เบาะที่นั่งสามารถปรับพับได้เต็มที่ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ใช้งานได้หลากหลาย ขณะที่เบาะ Butterfly-shaped Seat ใช้วัสดุระดับพรีเมียม รองรับสรีระอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกหรูหราและสบายตลอดการเดินทาง

UTMost Tech
AION UT มาพร้อมระบบ L2 Intelligent Driving ช่วยให้การขับขี่สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนทางหลวงหรือในเมือง เสริมความปลอดภัยด้วยระบบ RCTB พร้อมระบบ Voice Control รองรับการสั่งงานด้วยเสียงทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ครอบคลุมทั้งที่นั่งด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่มความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตลอดเส้นทาง

UTMost Safety
AION UT ถูกออกแบบให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ด้วยโครงสร้างตัวถังเหล็กกล้าความแข็งแรงสูง 71% และหลังคาที่สามารถรับแรงกดได้เกือบ 7 ตัน พร้อมแบตเตอรี่ Magazine Battery 2.0 ที่ผ่านการทดสอบการบิดตัว 180 องศา โดยไม่เกิดประกายไฟหรือความร้อนสะสม เสริมความมั่นใจในทุกเส้นทาง ด้วยระบบเบรกอัตโนมัติด้วยระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) อีกทั้งยังรองรับการชาร์จเร็วที่สามารถเพิ่มพลังงานจาก 30% เป็น 80% ได้ภายใน 24 นาที

M8 PHEV

M8 PHEV นิยามใหม่ของยนตรกรรม MPV ระดับพรีเมียมในประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์ Plug-in Hybrid ผสานพลังการขับเคลื่อนที่ทรงพลังเข้ากับความประหยัดพลังงาน โดดเด่นด้วยดีไซน์หรูหราระดับลักชัวรี และมอบประสบการณ์การเดินทางที่เหนือระดับ สัมผัสความสะดวกสบายขั้นสุด รองรับระยะทางสูงสุดมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ต่อการเติมพลังงานหนึ่งครั้ง มอบอิสระในการเดินทางอย่างไร้ขีดจำกัด

M8 PHEV เปิดจองสิทธิ์ให้คุณเป็นเจ้าของแล้ว ในราคาไม่เกิน 2,5xx,xxx บาท พร้อมรับ Luxury Package Upgrade รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท เมื่อจองรถ M8 PHEV ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 6 เมษายน 2568

M8 PHEV Luxury Package Upgrade

  • 17.3 Inches Rear Roof-mounted Suction Screen
  • Dynaudio High-end Custom Sound System
  • Starry Sky Roof

Master Experience
M8 PHEV ถูกออกแบบให้สะท้อนความประณีตและหรูหราในทุกรายละเอียด โดดเด่นด้วย Master Design ที่ผสานศิลปะเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย เติมเต็มเสน่ห์แห่งการเดินทาง ขณะที่ Timeless Headlight ไฟหน้าดีไซน์เหนือกาลเวลา ส่องสว่างทุกเส้นทาง พร้อม Floating Hubcaps ฝาครอบล้อสุดล้ำที่ช่วยเสริมความโดดเด่นให้กับทุกมุมมอง และ Luxurious Leather Seat เบาะหนัง Semi-Aniline คุณภาพสูง ให้สัมผัสนุ่มสบายระดับพรีเมียม

High-end Performance
M8 PHEV ขับเคลื่อนด้วยระบบ 2.0TM Intelligent PHEV ผสานพลังงานระหว่างเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมระบบเกียร์อัจฉริยะ DHT 2 สปีด ให้สมรรถนะทรงพลังควบคู่กับความประหยัด รองรับการเดินทางระยะไกล ด้วย 1,000+ km Ultimate Range ที่สามารถขับขี่ได้ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อการเติมพลังงานหนึ่งครั้ง ขณะที่ L2 Intelligent Driving มอบระบบขับขี่อัจฉริยะที่ช่วยให้ทุกการเดินทางเป็นเรื่องง่ายขึ้น ปิดท้ายด้วย SDC Electromagnetic Suspension ระบบกันสะเทือนอัจฉริยะที่ปรับตัวตามสภาพถนน ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลและมั่นใจยิ่งขึ้น

Deluxe Lifestyle
M8 PHEV มอบความยืดหยุ่นสูงสุดให้กับทุกไลฟ์สไตล์ ด้วย Dynamic Space ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบที่นั่งได้หลากหลาย ทั้งสำหรับการเดินทางเพื่อธุรกิจหรือทริปครอบครัว อีกทั้งยังรองรับ Family Exclusive Trip ที่ให้คุณเพลิดเพลินไปกับทุกช่วงเวลาแห่งความสุข ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไกลหรือทริปสั้น ๆ พร้อมฟังก์ชัน V2L ที่รองรับการใช้งานพลังงานจากตัวรถ ให้คุณเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ทุกที่

การเข้าร่วมงานครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ GAC ในการขยายตลาดยานยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทย และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าชมและทดลองขับ AION UT และ M8 PHEV รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ จากแบรนด์ AION และ HYPTEC ได้ที่ บูธ GAC (A22) ภายในงาน Bangkok International Motor Show 2025 ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Website : https://www.aionauto.com/
Facebook : https://www.facebook.com/AIONthailand
Instagram : https://www.instagram.com/aion_thailand/
Twitter (X) : https://x.com/AION_TH
Tiktok : https://www.tiktok.com/@aion_thailand

เกี่ยวกับ GAC Group
GAC Group เป็นบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลกที่มุ่งมั่นสร้างคุณค่าให้กับอุตสาหกรรม ผ่านผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง นวัตกรรมล้ำสมัย บริการที่ยอดเยี่ยม และยังเป็นบริษัทแม่ของ GAC AION อีกด้วย โดย GAC Group ได้รับการจัดอันดับใน Fortune Global 500 ต่อเนื่องถึง 12 ปี โดยในปี 2024 อยู่ที่อันดับ 181 มีบุคลากรระดับแนวหน้ากว่า 100,000 คน จาก 15 ประเทศทั่วโลก รวมถึงทีมวิจัยและพัฒนา 6,000 คน ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ด้วยสิทธิบัตรกว่า 18,600 รายการ และนวัตกรรมที่จดสิทธิบัตรกว่า 7,600 รายการ พร้อมศักยภาพด้านการผลิตที่แข็งแกร่ง ด้วยยอดขายกว่า 2.5 ล้านคันในปี 2023 ติดอันดับ 4 ของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน โดยในปัจจุบัน GAC Group มีแบรนด์รถยนต์ในเครือที่แยกเป็นอิสระ 3 แบรนด์ ได้แก่ AION, HYPTEC และ GAC Motor นอกจากนี้ GAC Group ยังเป็นพันธมิตรระยะยาวกับ HONDA และ TOYOTA ผ่านบริษัทร่วมทุน GAC HONDA และ GAC TOYOTA พร้อมสร้างเครือข่ายธุรกิจครบวงจร ตั้งแต่การผลิตและพัฒนา R&D Centers ในจีน สหรัฐฯ และอิตาลี ไปจนถึงการขยายตลาดสู่ 74 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ ด้วยการใช้ Big Data ขับเคลื่อนโซลูชันพลังงานอัจฉริยะ พร้อมระบบ AI สำหรับการขนส่งที่มีความแม่นยำสูงถึง 95% GAC Group ไม่เพียงเป็นผู้นำด้านยานยนต์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรม ความเป็นเลิศ และความมุ่งมั่นในการสร้างอนาคตแห่งการเดินทางที่ล้ำหน้าให้กับผู้บริโภคทั่วโลก