“ปันหยี I Sea You” จากหมู่บ้านประมงสุดมหัศจรรย์กลางทะเล สู่แรงบันดาลใจในโลกภาพยนตร์ พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวประทับใจให้ได้ชม 8 ม.ค. 69 นี้

เกาะปันหยีหมู่บ้านชาวประมงลอยน้ำสุดมหัศจรรย์กลางอ่าวพังงา ที่โดดเด่นด้วยบ้านเรือนกว่า 300 หลังคาเรือน ซึ่งสร้างอยู่บนเสาไม้ปักลงกลางทะเล โดยมีฉากหลังเป็นหน้าผาหินปูนสูงชะลูด ได้รับการกล่าวถึงในฐานะฉากหลังอันงดงามและเรื่องราวสุดประทับใจ พร้อมโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มในภาพยนตร์เรื่อง “ปันหยี I Sea You” นำทีมโดยผู้กำกับผีมือดี อริญชัย รัตนวิจิตร นำแสดงโดย เซฟ ไซสวัสดิ์, กิ่ง อารียา ผลฟูตระกูล, สุ่ย สมใจ, ภัค วรายุส์ พูสมจิตรสกุล, ฟาง ธาริณ แก้วมณี, เต้ ณัฐภัทร มีสุข ฯลฯ

เกาะปันหยีไม่ได้มีแค่ทัศนียภาพที่แปลกตาและสวยงามเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวชีวิตและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ เสน่ห์ที่ดึงดูดใจผู้สร้าง ไม่ว่าจะเป็นทัศนียภาพอันน่าทึ่งหมู่บ้านลอยน้ำที่ดูคล้ายหลุดออกมาจากจินตนาการ เมื่อน้ำขึ้น ภาพบ้านเรือนกลางทะเลสีมรกตตัดกับฉากหลังของภูเขาหินปูนในอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา คือองค์ประกอบภาพที่ทรงพลังและงดงามอย่างยิ่ง หรือสนามฟุตบอล หนึ่งในไฮไลท์และสัญลักษณ์สำคัญที่กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกคือ สนามฟุตบอลลอยน้ำ (Floating Football Pitch) ที่สร้างจากความมุ่งมั่นของเด็ก ๆ ในชุมชน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดทีมฟุตบอลปันหยี เอฟซี รวมไปถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง เรื่องราวของชาวบ้านเชื้อสายอินโดนีเซีย (เกาะชวา) ผู้ซึ่งบรรพบุรุษนำโดย “โต๊ะบาบู” ได้มาปักธง (ปันหยี) และสร้างชีวิตผูกพันกับอาชีพประมงกลางทะเล รวมถึงวัฒนธรรมมุสลิมแบบดั้งเดิมและมีเสน่ห์ ซึ่งเป็นฉากหลังที่ลึกซึ้งและอบอุ่น

ภาพยนตร์เรื่อง “ปันหยี I Sea You” ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความมหัศจรรย์ของวิถีชุมชน ที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มีมัสยิดกลางเป็นศูนย์รวมจิตใจ และใช้ชีวิตตามขนบธรรมเนียมมุสลิม นอกจากนี้การเปลี่ยนผ่านของอาชีพจากการ ประมงหลัก สู่การ ค้าขายและบริการนักท่องเที่ยว (ร้านอาหารทะเล, โฮมสเตย์, ของที่ระลึก) กลายเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอันดามัน ซึ่งก็เป็นอีกแง่มุมของการปรับตัวและการเติบโตที่น่าสนใจ เกาะปันหยีจึงไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นศูนย์รวมของความมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ซึ่งทั้งหมดนี้พร้อมแล้วที่จะมอบความบันเทิงและแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมทั่วโลกผ่านภาพยนตร์ “ปันหยี I Sea You” รับชมพร้อมกันในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศในวันที่ 8 มกราคม 2569 นี้

ยิ้มไม่หุบ! “เอวา ปวรวรรณ” เผยคลิปสุดอบอุ่นของคนในครอบครัว

    ทำเอาแฟนๆ ยิ้มไม่หุบ กับคอนเทนต์สุดน่ารักของคุณหนูหมื่นล้าน “เอวา ปวรวรรณ วีระภุชงค์” ที่เธอได้ชวนคนในครอบครัวอย่างคุณพ่อคุณแม่คุณป้าและอาม่า มาร่วมทำคอนเทนต์ “ฉายาของแต่ละคนบนบ้าน 13 ชั้น”

โดยในคลิป “เอวา” ได้บอกถึงฉายาของแต่ละคนในบ้านเริ่มที่..

“เอวา” เด็กน้อย 3 ขวบ โตแล้วแต่อยากติ๊งต๊องอยู่

“คุณพ่อ” ATM ของบ้าน มีเท่าไหร่ให้แม่หมด

“คุณแม่” สายตีกอล์ฟสะสมถ้วยรางวัลเป็นชีวิตจิตใจ

“ป้าแอ๊ด” พี่เลี้ยงของทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นคุณพ่อจนรักเหมือนป้าแท้ๆ

“อาม่า” สายธรรมะทำบุญสวดมนต์ให้ครอบครัวทุกวัน

ซึ่ง “เอวา” ยังเอาวายังบอกอีกว่าเมื่อทุกคนมารวมตัวกัน ก็กลายเป็นสมาคมผู้สูงอายุในบ้าน 13 ชั้น นั่นเอง งานนี้เมื่อแฟนๆ ได้ดูจบจบก็ต่างคอมเมนต์เป็นเสียงเดียวกันว่า ครอบครัวนี้น่ารักและอบอุ่นมาก

“ลีน่า – หมิว” สร้างสถิติใหม่พา “รักสุดท้าย My Safe Zone”ขึ้นเทรนด์ X อันดับ 1 ประเทศไทย

แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่แล้ว สำหรับซีรีส์แซฟฟิกแห่งปี “รักสุดท้าย My Safe Zone The Series” ทางช่อง 3 ออกอากาศไปได้เพียง 3 ตอน ก็สร้างปรากฏการณ์แรงสนั่นโซเชียล กับโมเมนต์ความรักหลังจาก อลิน (ลีน่า ลลินา) เคลียร์ใจกับ เจน (หมิว ณัชชา) ทำเอาคนดูฮ็อบจนฟันกระเด็นแต่หลังจากตกลงคบกันได้ไม่นาน พาย (หญิง อาณดา) ก็เข้ามาเดินเกมเขย่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้สั่นคลอนจนบ้านแตก!  

              ทำเอาแฮชแท็ก #รักสุดท้ายEP3 พุ่งทะยานขึ้นติด อันดับ 1 เทรนด์ X ประเทศไทย พร้อมเสียงชื่นชมล้นหลามจากแฟน ๆ ทั่วเอเชียในขณะที่คีย์เวิร์ด LENAMIU MY SAFE ZONE EP3 ติด Worldwide อันดับ 10 และประเทศไทย อันดับ 3 สร้างสถิติ New High ทั้งในประเทศและระดับโลก นับเป็นการตอกย้ำความแรงของซีรีส์แซฟฟิกที่แฟน ๆ ให้ความสนใจอย่างล้นหลามและพูดถึงโมเมนต์ของสองนักแสดงนำ “ลีน่า–หมิว”

              หลังจากนี้ความสัมพันธ์ของ อลิน กัน เจน จะพาคนดูใจฟู หรือต้องเตรียมทิชชู่ไว้ซับน้ำตา รอให้กำลังใจไปพร้อมกันใน “รักสุดท้าย My Safe Zone The Series” ทุกวันศุกร์ เวลา 20.30 น. ทางช่อง 3  ดูย้อนหลังทั่วโลกทาง 3Plus พร้อม Subtitle ภาษาอังกฤษ สมาชิก 3Plus Premium ดูย้อนหลังทุกวันศุกร์ เวลา 22.30 น. ลูกค้าทั่วไปดูย้อนหลังทุกวันอังคาร

อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ผนึกกำลังภาคอุตสาหกรรมไทย จัดงาน “JGAB 2026”ผลักดันกรุงเทพฯ สู่ศูนย์กลางการค้าอัญมณีแห่งอาเซียน

อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาคอาเซียนกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสความนิยมของสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม และเทรนด์เครื่องประดับที่สะท้อนรสนิยมเฉพาะตัว โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตและการค้าอัญมณีที่สำคัญของโลก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการไทยและยกระดับอุตสาหกรรมสู่เวทีสากล อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย จับมือ กลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมการค้าอัญมณีและเครื่องประดับอาเซียน เตรียมจัดงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok (JGAB) 2026 ระหว่างวันที่ 22–25 เมษายน 2569 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) บนพื้นที่จัดแสดงกว่า 17,000 ตารางเมตร

งานในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “The Ultimate ASEAN Jewellery and Gemstone Sourcing Hub ศูนย์กลางแหล่งผลิตและจัดหาอัญมณีและเครื่องประดับของอาเซียน” มุ่งยกระดับงานแสดงสินค้าสู่เวทีสำคัญของภูมิภาค ที่เชื่อมโยงผู้ซื้อ ผู้ผลิต และแหล่งวัตถุดิบคุณภาพเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะ “ประตูสู่ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ภายในงานคาดว่าจะมีผู้ประกอบการกว่า 350 บริษัทจาก 15 ประเทศ เข้าร่วม จัดแสดงสินค้าและบริการครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อาทิ เครื่องประดับสำเร็จรูป (Fine Jewellery) เครื่องประดับเงิน (Silver) พลอยสี (Gemstone) เพชรแท้ (Diamond) เพชร สังเคราะห์ (Lab-Grown Diamond) เครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยี (Tools & Equipment) พร้อมคาดการณ์ผู้เข้าชมงานมากกว่าหนึ่งหมื่นสองพันราย รายจากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า“อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ วางตำแหน่งงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok (JGAB) ให้เป็นเวทีสำคัญของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาคอาเซียน เพื่อเชื่อมโยงผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกให้ได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมในภูมิภาคอย่างยั่งยืน”

“เราเชื่อมั่นว่า JGAB จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการจัดหาอัญมณีและเครื่องประดับ (Sourcing Hub) ที่สำคัญในอาเซียน โดยรวบรวมผู้ผลิตและผู้จำหน่ายชั้นนำของภูมิภาคให้เชื่อมโยงกับตลาดโลก สะท้อนถึงคุณภาพ ความประณีต และความเป็นเลิศด้านงานฝีมือที่ทำให้ไทยและอาเซียนโดดเด่นบนเวทีการค้าอัญมณีระดับนานาชาติ”

กิจกรรมไฮไลต์ภายในงาน JGAB 2026 สะท้อนแนวคิด “The Ultimate ASEAN Jewellery and Gemstone Sourcing Hub” ครบทั้งด้านธุรกิจ การเรียนรู้ และแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการ อาทิ

  • Seminar & Workshop: เวทีสัมมนาและเวิร์กช็อปโดยผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ ถ่ายทอดเทรนด์ตลาดและองค์ความรู้เพื่อยกระดับผู้ประกอบการอาเซียน
  • The Next Gem Contest: เวทีประกวดนักออกแบบรุ่นใหม่ เปิดโอกาสให้โชว์ผลงานสร้างสรรค์ พร้อมผลักดันสู่ระดับนานาชาติ
  • Goldsmith Craftsmanship Competition 2026 (กิจกรรมใหม่): เวทีประชันฝีมือช่างทองไทยภายใต้แนวคิด
    “The Secret of Thai Legacy” สะท้อนความประณีตของศิลปะไทย และตอกย้ำศักยภาพของไทยในฐานะ
    Sourcing Hub ที่ครบทั้งวัตถุดิบและบุคลากรคุณภาพ
  • Jewellery & Gem ASEAN Summit: เวทีเสวนาพิเศษที่รวบรวมผู้นำในอุตสาหกรรม เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของภูมิภาค
  • JGAB Runway: แฟชั่นโชว์อัญมณีสุดตระการตา ผสานศิลปะ ความหรูหรา และนวัตกรรมของเครื่องประดับเอเชีย
  • Networking Night: งานพบปะของผู้ประกอบการ ผู้ซื้อ และผู้นำในวงการ เพื่อสร้างเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

มากกว่างานแสดงสินค้า Jewellery & Gem ASEAN Bangkok (JGAB) 2026 คือหัวใจของชุมชนอัญมณีแห่งอาเซียน ที่ซึ่ง ศิลปะงานฝีมือมาบรรจบกับนวัตกรรม และเป็นจุดเชื่อมโยงของความร่วมมือที่จุดประกายโอกาสทางธุรกิจอย่างไร้ขอบเขต
JGAB 2026
งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22–25 เมษายน 2569ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพฯ

สนใจจองพื้นที่ออกงานแสดงสินค้า https://www.jewellerygemaseanbkk.com/2026/en/Exhibit_RequestForm.asp

หรือติดต่อ คุณฐิติมา (แอน) โทร: +66 37 965 464 อีเมล thitima.s@informa.com

สนใจเข้าชมงาน สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://ers-th.informa-info.com/jgb26?cid=PR

หรือดูรายละเอียดและติดข่าวสารเพิ่มเติมได้ทาง

Website: https://jewellerygemaseanbkk.com

Facebook: https://www.facebook.com/JGABThailand

IG: https://www.instagram.com/jewelleryandgemaseanbangkok/

LinkedIn: https://www.linkedin.com/in/jewellery-and-gem-asean-bkk/

Line: https://lin.ee/cp9sd85

โฮมโปร–เมกาโฮม–มาร์เก็ต วิลเลจ เปิดพื้นที่ร้านค้าเช่า-ร้านอาหาร รองรับการใช้สิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” กว่า 250 ร้านค้าทั่วประเทศ

โฮมโปร ผู้นำสินค้าและบริการเรื่องบ้านครบวงจร ผนึกกำลังบริษัทในเครือฯ เมกาโฮม และมาร์เก็ต วิลเลจ (Market Village) เดินหน้าสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีของภาครัฐ ผ่านโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เปิดพื้นที่ “ร้านค้าเช่า-ร้านอาหาร” ภายในสาขา กว่า 250 ร้านค้า ทั่วประเทศ ให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิ ได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 31 ธันวาคม 2568 ผ่าน G-Wallet บนแอปฯ “เป๋าตัง” เพื่อร่วมกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงปลายปี เสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ และขับเคลื่อนรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยในทุกภูมิภาคอย่างยั่งยืน

นางสาวอุไรวรรณ ตันติพิริยะกิจ ผู้อำนวยการกลุ่มปฏิบัติการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร กล่าวว่า “โฮมโปรและบริษัทในเครือฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือกับภาครัฐ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากฐานราก โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่เป็นฤดูกาลจับจ่ายสำคัญของภาคครัวเรือนไทย จึงได้เปิดพื้นที่ “ร้านค้าเช่าและร้านอาหาร” ในเครือฯ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น HomePro, MegaHome หรือ Market Village เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์ ‘คนละครึ่ง พลัส’ ได้สะดวกทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชนแล้ว ยังเป็นการกระจายรายได้กลับสู่ผู้ประกอบการรายย่อยอย่างแท้จริง”

โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน และช่วยพยุงรายได้ของร้านค้ารายย่อย ผ่านกลไก “รัฐร่วมจ่าย” สูงสุด 2,000–2,400 บาทต่อคนตลอดโครงการ โดยประชาชนใช้จ่าย 50% และรัฐสมทบอีก 50% ภายในวงเงินและเงื่อนไขที่กำหนด

สามารถใช้สิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” ได้ที่ร้านค้าเช่า-ร้านอาหาร ที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในพื้นที่ของ โฮมโปร–
เมกาโฮม–มาร์เก็ต วิลเลจ ภายใต้เงื่อนไขดังนี้

  • ใช้สิทธิได้ที่
    • ร้านอาหาร เครื่องดื่ม คาเฟ่ เบเกอรี่
    • ร้านค้าไลฟ์สไตล์และบริการอื่นๆ ที่เป็น “ร้านค้าเช่า (Tenant)” และลงทะเบียนร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส”
  • ไม่สามารถใช้สิทธิได้ที่
    • สินค้าและบริการที่จำหน่ายโดย “โฮมโปร เมกาโฮม และมาร์เก็ต วิลเลจ” โดยตรง เช่น สินค้าเรื่องบ้าน วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ สุขภัณฑ์ เครื่องนอน หรือสินค้าในระบบของห้างหลัก
  • วิธีสังเกตร้านค้าที่เข้าร่วม
  • ร้านค้าภายในพื้นที่สาขาที่เข้าร่วมจะมีป้ายหรือสัญลักษณ์แสดงว่า “รับสิทธิคนละครึ่ง พลัส” ติดบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ชำระเงินอย่างชัดเจน

เงื่อนไขหลักของโครงการ – ประชาชนที่ได้รับสิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” สามารถใช้จ่ายในร้านค้าที่เข้าร่วมทั่วประเทศ รวมถึงร้านค้าเช่าในโฮมโปร เมกาโฮม และมาร์เก็ต วิลเลจ ภายใต้เงื่อนไขสำคัญ ดังนี้

  • ใช้สิทธิผ่าน G-Wallet บนแอปฯ “เป๋าตัง” เท่านั้น
  • เริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่ วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568 ระหว่างเวลา 9.00–21.00 น. ของทุกวัน
  • ลักษณะการร่วมจ่าย
    • กลุ่มยื่นภาษี ได้รับวงเงินร่วมจ่ายจากรัฐสูงสุด 2,400 บาท ตลอดโครงการ
    • กลุ่มทั่วไปที่ไม่อยู่ในระบบภาษี ได้รับวงเงินสูงสุด 2,000 บาท ตลอดโครงการ
    • จำกัดวงเงินใช้จ่ายร่วมจ่ายไม่เกิน 200 บาท/วัน แต่ยอดที่ใช้ไม่เต็มสามารถสะสมไปใช้ในวันถัดไปภายในระยะเวลาโครงการได้
  • ผู้ได้รับสิทธิต้อง “ใช้จ่ายครั้งแรก” ภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เวลา 23.00 น. หากไม่ใช้ตามกำหนดจะถูกตัดสิทธิ์ออกจากโครงการ
  • ยกเว้นพื้นที่ขายภายในสาขา

ในส่วนของพื้นที่ร้านค้าเช่าภายในโฮมโปร เมกาโฮม และมาร์เก็ต วิลเลจ มีร้านค้าที่ลงทะเบียนและพร้อมให้ใช้สิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” แล้วรวมกว่า 250 ร้านค้า ครอบคลุมทั้งร้านอาหาร เครื่องดื่ม คาเฟ่ เบเกอรี่ ไปจนถึงร้านค้าไลฟ์สไตล์ประเภทต่างๆ ยกเว้นพื้นที่ขายภายในสาขา

การเปิดพื้นที่ร้านค้าเช่าให้ใช้สิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” ในโฮมโปร เมกาโฮม และมาร์เก็ต วิลเลจ ช่วยเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าที่ต้องมาซื้อสินค้าเรื่องบ้านหรือใช้บริการในสโตร์ สามารถใช้สิทธิรัฐ เพื่อลดภาระค่าครองชีพด้านอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าไลฟ์สไตล์ควบคู่กันไป ขณะเดียวกันยังเป็นการช่วยกระจายรายได้ไปยังผู้ประกอบการรายย่อยภายในพื้นที่ศูนย์การค้าอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของโครงการที่ต้องการให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงไปถึงฐานรากจริง ๆ

สำหรับประชาชนที่ได้รับสิทธิคนละครึ่ง พลัส สามารถตรวจสอบร้านค้าเช่าที่เข้าร่วมโครงการได้ผ่านหลากหลายช่องทาง พร้อมสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่จุดบริการลูกค้าของโฮมโปร เมกาโฮม และมาร์เก็ต วิลเลจ ในแต่ละสาขา

#คนละครึ่งพลัส #โฮมโปร #HomePro #BetterLiving #homepropr #เมกาโฮม #Megahome #MarketVillage #มาร์เก็ตวิลเลจ

โฮมโปร x เจบีพี  เดินหน้าต่อยอด โมเดล Circular Economy เปลี่ยนของเก่าสู่ “บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก” ภายใต้สินค้ารักษ์โลก หรือ “Circular Priducts” จากโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” ยกระดับเศรษฐกิจหมุนเวียน สู่เป้าหมาย Net Zero 2050

โฮมโปร เดินหน้า ต่อยอดโมเดล Circular Economy จากโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” สู่การพัฒนา “สินค้ารักษ์โลก หรือ Circular Products” ร่วมกับผู้นำนวัตกรรมสีทาอาคารเพื่อความยั่งยืน “เจ.บี.พี. อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์” โดยนำชิ้นส่วนพลาสติกจากของใช้แล้วกลับมารีไซเคิลใหม่เป็นบรรจุภัณฑ์ PCR (Post-Consumer Recycled) ลดการพึ่งพาพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) ขยายทางเลือกสินค้ารักษ์โลกให้ผู้บริโภค ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนพลังของพันธมิตรที่มีเป้าหมายร่วมกัน แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจบนยุทธศาสตร์ความยั่งยืนสู่เป้าหมาย Better Living และสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050

คุณธีระพงศ์ สัมพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานจัดซื้อ Construction  กล่าวว่า “หัวใจของโฮมโปร คือการยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้าให้ดีขึ้นไปพร้อมกับการดูแลโลก เราจึงได้นำเอาแนวคิด Circular Economy มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้านำของเก่าที่ไม่ใช้แล้วมาแลก ผ่านโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” โดยโฮมโปรจะนำของเก่าเหล่านี้ไปจัดการอย่างถูกวิธี เข้าสู่กระบวนการคัดแยกและรีไซเคิลอย่างถูกวิธี พร้อมนำวัสดุที่ได้กลับมาผลิตเป็น “สินค้ารักษ์โลก หรือ Circular Products” – การร่วมมือกับ เจบีพี ครั้งนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ‘ความยั่งยืน’ ไม่ใช่เพียงแนวคิด แต่คือการลงมือทำจริง เพราะทั้งสององค์กรได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ในชีวิตประจำวันและมีส่วนร่วมในการลดขยะได้จริง”

โฮมโปรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อน เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านความร่วมมือต่อเนื่องกับพันธมิตรของโฮมโปร เพื่อเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์จากวัสดุหมุนเวียนในกลุ่มสินค้ารักษ์โลก หรือ Circular Products ในหลากหลายหมวดหมู่ ช่วยยกระดับมาตรฐานการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานที่ง่ายขึ้น และช่วยลดการใช้ Virgin Plastic ทำให้ “ของเก่ากลับมามีชีวิตใหม่” อีกครั้ง สอดคล้องกับแนวคิดการจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พร้อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยของภาวะโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม

ด้าน คุณสรพรรณ รัชนกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.บี.พี. อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด กล่าวว่า “เจบีพี มุ่งมั่นยกระดับอุตสาหกรรมสีไทยให้เติบโตควบคู่ไปกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมระดับสากล ความร่วมมือกับโฮมโปร เพื่อผลิตสินค้ารักษ์โลก จากโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” จึงไม่ใช่เพียงการนำสินค้ารักษ์โลกออกสู่ตลาด แต่คือการสร้างคุณค่าใหม่ให้กับผู้บริโภคและสังคม เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมดูแลโลกไปพร้อมกับการสร้างบ้านและอาคารที่มีคุณภาพ”

สำหรับสินค้ารักษ์โลก (Circular Products) ของ เจบีพี ที่วางจำหน่ายในโฮมโปรและเมกาโฮม พัฒนาเป็นบรรจุภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิล Post-Consumer Recycled (PCR) ภายใต้ชื่อรุ่น “JBP SMART SHIELD-X 2in1” (เจบีพี สมาร์ทชิลด์เอ็กซ์ ทูอินวัน) ซึ่งได้วัตถุดิบจากเครื่องใช้ไฟฟ้าในโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” นำมาผ่านกระบวนการรีไซเคิลกลับมาเป็นบรรจุภัณฑ์ใหม่ ช่วยลดขยะพลาสติกและการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิต โดยยังคงคุณภาพและความทนทานที่ตอบโจทย์ทั้งช่างมืออาชีพและเจ้าของบ้านยุคใหม่

ลูกค้าสามารถเลือกช้อปสินค้ารักษ์โลก (Circular Products) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สีอาคาร จาก เจบีพี ได้แล้ววันนี้ ที่โฮมโปรและเมกาโฮมทุกสาขา รวมถึงช่องทางออนไลน์ เข้าถึงสีคุณภาพสูงด้วยการเลือกสินค้ารักษ์โลกที่ได้คุณภาพ และร่วมเปลี่ยนของเก่าให้กลับมามีคุณค่าไปกับการดูแลบ้านอย่างมีคุณภาพ

#สินค้ารักษ์โลก #CircularProducts #โฮมโปร #HomePro #BetterLiving #Homepropr #JBP #JBPPaintThailand

PDPC -CIB ผนึกกำลัง ตัดวงจรสแกมเมอร์ จับ 6 ผู้ต้องหาขายข้อมูลประชาชน รวมกว่า 9 ล้านรายชื่อ

วันนี้ ( 7 พฤศจิกายน 2568 ) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)หรือ PDPC นำโดย พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แถลงผลปฏิบัติการร่วมกับตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จับกุมขบวนการซื้อขายข้อมูลประชาชน ที่ถูกนำไปใช้สนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์และ สแกมเมอร์

จากการเฝ้าระวังเชิงรุกของ PDPC Eagle Eye ได้ตรวจพบพฤติกรรม ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อนำไปใช้ หรือให้บุคคลอื่นนำไปใช้ในการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งเป็น ต้นตอสำคัญ ที่เอื้อต่อการหลอกลวงประชาชน จึงได้ผนึกกำลังตำรวจสอบสวนกลาง ดำเนิน ปฏิบัติการ “Cut Down Scam – สยบเครือข่ายค้าข้อมูลส่วนบุคคล”  เพื่อสืบสวน ขยายผล และจับกุมขบวนการดังกล่าว

โดยระบบ PDPC Eagle Eye ได้พบความผิดปกติในการซื้อขายข้อมูล จนนำไปสู่ปฏิบัติการบุกจับผู้ต้องหา 6 ราย พร้อมรายชื่อข้อมูลประชาชนกว่า 9 ล้านรายชื่อ โดยมีประชาชนถูกหลอกแล้วกว่า 4,000 คน ความเสียหายกว่า 290 ล้านบาท

พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าวย้ำว่า สคส. พร้อมเดินหน้าเอาจริงในการ “ตัดวงจรสแกมเมอร์” ทั้งต้นทางและปลายทาง การซื้อขายข้อมูลไปใช้กระทำผิดถือเป็นความผิดตามพ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีโทษสูงสุดจำคุก 5 ปี พร้อมยืนยันว่าจะเดินหน้าปราบปรามอย่างต่อเนื่องเพื่อคุ้มครองข้อมูลประชาชนอย่างเต็มที่

พ.ต.อ.สุรพงศ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ” จากกรณีการถูกหลอกลวงที่ผ่านมาพบว่า ข้อมูลส่วนบุคคลชุดสุดท้ายที่ถูกนำไปใช้ให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ส่วนมากหลุดมาจากเจ้าของข้อมูลนั้นเอง ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนทุกคนได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่หลงเชื่อ ไม่หลงโหลด ไม่หลงโอน หรือหลงทำธุรกรรมใดๆที่มีเหตุต้องสงสัย  และระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ควรเปิดเผยให้กับคนที่ไม่รู้จักหรือไม่เห็นหน้า ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลเกินจำเป็น และไม่ควรเปิดเผยข้อมูลที่อาจจะทำให้ผู้อื่นเสียหาย”

ทั้งนี้หากประชาชน มีข้อกังวลสงสัย หรือประสบความเดือดร้อนจากการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล สามารถแจ้งเหตุหรือร้องเรียนมายังสำนักงานฯ ได้ ทั้งนี้ PDPC มีการดำเนินการทั้งเชิงรุกและเชิงรับ และพร้อมให้บริการด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน อย่างเต็มศักยภาพตามที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

#PDPC

#PDPA

#สคส

#ข้อมูลส่วนบุคคล

#ข้อมูลรั่วไหลเป็นศูนย์

#กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

“ซูเลียน” พาผู้บริหารและนักธุรกิจระดับเพชร บินลัดฟ้าสู่กรีซ สัมผัสประสบการณ์เอ็กซ์คลูซีฟ กับ ZHULIAN INTERNATIONAL DIAMOND FORUM 2024

สุดยอดรางวัลแห่งความภาคภูมิใจจาก บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด (Zhulian Thailand)   เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่กับโปรแกรมท่องเที่ยวต่างประเทศของเหล่านักธุรกิจระดับเพชร “ZHULIAN INTERNATIONAL DIAMOND FORUM QUALIFY 2024” เส้นทางกรีซสุดอลังการ ที่จะพาผู้ผ่านคุณสมบัติปี 2024 บินลัดฟ้าไปสัมผัสความงดงามของ เกาะซานโตรินี (Santorini) และ กรุงเอเธนส์ (Athens) ดินแดนแห่งอารยธรรมโลก ตลอดระยะเวลา 9 วันเต็ม ระหว่างวันที่ 20–28 ตุลาคม 2025 (Group A) และ 21–29 ตุลาคม 2025 (Group B)

การเดินทางสุดหรูครั้งนี้ถูกวางแผนอย่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียด เพื่อมอบประสบการณ์ระดับโลกแก่เหล่านักธุรกิจเพชรของซูเลียน ตั้งแต่การออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิด้วยสายการบินพรีเมียม     การจัดทีมเจ้าหน้าที่และไกด์ท้องถิ่นมืออาชีพคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ไปจนถึงการคัดสรรที่พักสุดหรู El Greco Resort Hotel และโรงแรมชั้นนำในเครือ เพื่อให้ผู้ร่วมทริปได้สัมผัสความสบายในทุกช่วงเวลา

ทันทีที่เดินทางถึง เกาะซานโตรินี เกาะในฝันที่เปรียบเสมือนสวรรค์บนผืนน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผู้ร่วมทริปได้เยือนหมู่บ้าน Oia ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องทิวทัศน์พระอาทิตย์ตกงดงามที่สุดในโลก เดินเล่นท่ามกลางบ้านสีขาวหลังคาโดมสีฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ ถ่ายภาพเก็บความทรงจำกับวิว คาลเดรา ที่สวยดั่งภาพวาด ก่อนต่อด้วยการสำรวจเกาะทั้งวัน ชมพิพิธภัณฑ์เก่าแก่ ชายหาดทรายแดง (Red Beach) และโบสถ์ Nektarios Church สัญลักษณ์แห่งความสงบงามของเกาะ

ตลอดการเดินทาง ทีมงานได้จัดโปรแกรมผสมผสานทั้งความรู้ วัฒนธรรม และความบันเทิง ผู้ร่วม ทริปได้สัมผัสเสน่ห์ของ กรุงเอเธนส์ เมืองหลวงแห่งอารยธรรมกรีก เยี่ยมชมโบราณสถานระดับโลก เช่น         อะโครโพลิส (Acropolis) และ วิหารพาร์เธนอน (Parthenon) สัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของอารยธรรมตะวันตก พร้อมปิดท้ายด้วยการเดินชม สนามกีฬาโบราณ Panathenaic Stadium สนามหินอ่อนที่ใช้จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรกในปี 1896

หนึ่งในไฮไลต์สุดพิเศษคือ “งานเลี้ยงเกียรติยศแห่งเพชรซูเลียน” ที่จัดขึ้นในค่ำคืนอันหรูหรา ณ กรุงเอเธนส์ เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จของนักธุรกิจเพชรผู้มากความสามารถ บรรยากาศภายในงานอบอวลด้วยความภาคภูมิใจและมิตรภาพอันแน่นแฟ้น ผู้ร่วมงานต่างแต่งกายตามธีมที่กำหนด ทั้งชุดประจำชาติและแฟชั่นสุดสร้างสรรค์ ถ่ายทอดความหลากหลายของวัฒนธรรมและจิตวิญญาณแห่งความสำเร็จในแบบซูเลียน

ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  “ZHULIAN INTERNATIONAL DIAMOND FORUM QUALIFY 2024 ไม่ใช่เพียงรางวัลสำหรับความสำเร็จทางธุรกิจ แต่เป็นโอกาสให้ผู้บริหารและนักธุรกิจเพชรของเราได้สัมผัสประสบการณ์ระดับโลก สร้างแรงบันดาลใจ และเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อเติบโตไปสู่อนาคตที่มั่นคงและเปล่งประกายเหมือนเพชรแท้”

โปรแกรม “ZHULIAN INTERNATIONAL DIAMOND FORUM QUALIFY 2024” ไม่เพียงเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จ แต่ยังเป็นการยืนยันถึงพลังและความมุ่งมั่นของนักธุรกิจเพชรซูเลียนทั่วประเทศ ที่ร่วมสร้างสรรค์ความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร และก้าวไปสู่อนาคตที่เปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม ดั่งเพชรที่งดงามไม่มีวันหม่นแสง

นี่คือการเดินทางแห่งเกียรติยศ ที่จะกลายเป็นความทรงจำอันยิ่งใหญ่ในหัวใจของทุกคน เพราะ       “ซูเลียน” ไม่ได้มอบเพียงทริปท่องเที่ยว… แต่คือการมอบ “ประสบการณ์ชีวิตระดับเพชร” ที่สะท้อนคุณค่าของผู้นำตัวจริงในทุกมิติ

“โฮมโปร” ก้าวสู่มาตรฐานแห่งตลาดทุน คว้า 2 รางวัลเกียรติยศ OUTSTANDING CFO – IR จากเวที IAA Awards for Listed Companies 2025 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการบริหารเงิน-สื่อสารนักลงทุน อย่างยั่งยืน

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” (HMPRO) คว้า 2 รางวัลเกียรติยศ ได้แก่ รางวัล OUTSTANDING CFO และรางวัล OUTSTANDING IR จากเวที “IAA Awards for Listed Companies 2025” จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (Investment Analysts Association: IAA) รางวัลอันทรงเกียรตินี้ สะท้อนถึงการยอมรับจากนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญในตลาดทุนไทย ต่อวิสัยทัศน์การบริหารการเงินที่รอบคอบ โปร่งใส และคุณภาพการสื่อสารกับนักลงทุนที่ได้มาตรฐานระดับสากลของโฮมโปร

เวที IAA Awards for Listed Companies ถือเป็นหนึ่งในรางวัลสำคัญของตลาดทุนไทย ที่คัดเลือกและยกย่องผู้บริหารและทีมงานของบริษัทจดทะเบียนซึ่งมีผลงานโดดเด่น โดยพิจารณาจากการโหวตของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ครอบคลุมทั้งวิสัยทัศน์ ความสามารถด้านการบริหารจัดการธุรกิจและการเงิน ควบคู่ไปกับความโปร่งใส ความสม่ำเสมอในการสื่อสารให้ข้อมูลกับตลาดทุน และศักยภาพในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืน

สำหรับรางวัล OUTSTANDING CFO ที่มอบให้แก่ นางวรรณี จันทามงคล รองกรรมการผู้จัดการ – กลุ่มธุรกิจการเงินและการลงทุน สะท้อนบทบาทผู้นำที่โดดเด่นในการบริหารการเงินอย่างมีวินัย ควบคุมโครงสร้างเงินทุน และสภาพคล่องอย่างรอบคอบ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่ท้าทายต่อเนื่อง โฮมโปรยังคงเดินหน้าแผนลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอย่างมั่นคง พร้อมบริหารความเสี่ยงบนกรอบแนวคิด “การพัฒนาที่ยั่งยืน”

ขณะเดียวกัน รางวัล OUTSTANDING IR ที่มอบให้แก่ นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ – กลุ่มงานนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์ และความยั่งยืนองค์กร สะท้อนความโดดเด่นด้านการบริหารงานนักลงทุนสัมพันธ์ (IR) ที่มุ่งเน้นการสื่อสารข้อมูลเชิงลึกอย่างชัดเจน ถูกต้อง ทันเวลา และตรงประเด็น สร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจที่ดีให้กับนักวิเคราะห์ นักลงทุน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ส่งผลให้ตลาดทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลของโฮมโปรได้อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และน่าเชื่อถือ

การได้รับ 2 รางวัลเกียรติยศของโฮมโปรในครั้งนี้ ทั้งในด้าน OUTSTANDING CFO และ OUTSTANDING IR ไม่เพียงตอกย้ำถึงศักยภาพของทีมผู้บริหารและทีมงานโฮมโปรเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงมาตรฐานการบริหารจัดการธุรกิจและการเงินขององค์กร ที่ยึดมั่นในความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล และมุ่งสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และสังคมในระยะยาว พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการเรื่องบ้านสู่การเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต

#IAAAwardsforListedCompanies2025 #OUTSTANDINGCFO #OUTSTANDINGIR #โฮมโปร #HomePro #BetterLiving

“60 ปี แห่งความสำเร็จ รุ่งเจริญ จิวเวลรี่” จากพลังศรัทธาและฝีมือช่างทองไทย สู่แฟชั่นเหนือยุค ดีไซน์ที่ส่องประกายบนเวทีโลก

“รุ่งเจริญ จิวเวลรี่” ครองใจคนไทยมากว่า 60 ปี ด้วยความเชี่ยวชาญในการออกแบบและรังสรรค์เครื่องประดับและวัตถุมงคลที่ผสานศรัทธาในฝีมือดั้งเดิมเข้ากับดีไซน์ทันสมัย ทุกชิ้นงานสะท้อนความงดงาม ศักดิ์สิทธิ์ และสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมรังสรรค์แฟชั่นไทยให้โดดเด่นเหนือระดับ เตรียมขยายตลาดสู่สายตาชาวโลกด้วยแนวคิด “พลังศรัทธาสู่แฟชั่นที่ทันสมัย” ผสานนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และคุณภาพระดับลักชัวรี ทำให้ “รุ่งเจริญ” เป็นแบรนด์เครื่องประดับไทยที่ทั้งสวยงาม ทรงคุณค่า และพร้อมสร้างแรงดึงดูดในตลาดระดับโลก

นางสาวน้ำฝน บ่อแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และนักออกแบบจิวเวลรี่ กล่าวว่า      “รุ่งเจริญ จิวเวลรี่ คือเรื่องราวของความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความเชื่อมั่นที่สืบต่อมากว่า 60 ปี เริ่มต้นจากครอบครัวช่างฝีมือผู้บุกเบิกที่อพยพจากประเทศจีนมาสู่ประเทศไทย ภายใต้ชื่อแรกว่า
‘โอ้วเซ่งฮวด’ โดยเริ่มต้นจากการทำนาค (Pink Gold) ผลิตเข็มขัดนาคส่งให้ร้านทองทั่วไป เมื่อเวลาผ่านไปและความนิยมของนาคลดลง ครอบครัวจึงปรับตัวสู่การทำทองแท้ทั้งทอง 90% และทอง 100% โดยอาศัยความรู้ดั้งเดิมในการผสมและรีดทอง การเปลี่ยนผ่านครั้งนั้นถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดและเติบโตอย่างมั่นคง”

“กว่า 6 ทศวรรษที่ผ่านมา รุ่งเจริญได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการผสานศรัทธาเข้ากับแฟชั่นและนวัตกรรมการออกแบบคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ เราเริ่มจากครอบครัวช่างฝีมือผู้บุกเบิก และสร้างชื่อเสียงด้วยการผลิตเข็มขัดนาค ก่อนพัฒนาสู่ทองแท้และเครื่องประดับคุณภาพสูง จนเกิดเป็นแบรนด์รุ่งเจริญที่มีเอกลักษณ์และความโดดเด่นในตลาด เป็นที่ยอมรับของทั้งชาวไทยและต่างชาติ”

นางสาวน้ำฝน กล่าวต่อว่า “สิ่งที่ทำให้รุ่งเจริญแตกต่าง คือความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุมงคล เราเริ่มต้นด้วยกลยุทธ์การร่วมมือกับวัด เพื่อนำวัตถุมงคลชื่อดังมาเลี่ยมกรอบทองและส่งต่อให้นักท่องเที่ยว ซึ่งกลายเป็นจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ หรือ ‘Grand Core’ ที่เรายึดถือมาจนถึงทุกวันนี้ ผลิตภัณฑ์ของเราไม่ใช่เพียงกรอบพระธรรมดา แต่ถูกออกแบบให้สวยงาม เหมาะกับคนยุคใหม่ และบางชิ้นยังผ่านพิธีปลุกเสกเพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมโยงพลังศรัทธาสู่ดีไซน์ที่สร้างมูลค่าให้ผู้สวมใส่ เช่น ชุดพระ 12 นักษัตร ซึ่งถือเป็นสินค้าซิกเนเจอร์ของแบรนด์ สิ่งเหล่านี้ทำให้วัตถุมงคลดั้งเดิมของไทยมีชีวิตชีวาและสามารถเข้าถึงตลาดสากลได้อย่างลงตัว”

รุ่งเจริญดำเนินงานในฐานะโรงงานผลิตโดยตรง สามารถผลิตได้สูงสุดถึง 10,000 ชิ้นต่อวัน และรับงานสั่งทำพิเศษ (Make to Order/OEM) ตามความต้องการของลูกค้า ทั้งงานฝังเพชรหรือวัตถุมงคลเฉพาะทาง โรงงานของรุ่งเจริญช่วยให้สามารถควบคุมคุณภาพทองและราคาขายส่งได้อย่างเต็มที่ ผลิตโดยใช้ทองคำคุณภาพสูงในระดับ 75%, 80% และ 90% ซึ่งเทียบตามมาตรฐานทองคำไทย 96.5% รับประกันทองแท้ พร้อมนโยบายรับซื้อคืนตามราคาสมาคม และได้รับใบประกาศ “Buy with Confidence” จากกระทรวงพาณิชย์ สร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าอย่างแท้จริง

ผลิตภัณฑ์ของรุ่งเจริญครอบคลุมตั้งแต่กรอบพระทองคำหลากหลายรูปแบบ พระเลี่ยมทองสำเร็จรูปผ่านพิธีปลุกเสก วัตถุมงคลดีไซน์เฉพาะ เช่น ชุดพระ 12 นักษัตร บริการสั่งทำพิเศษ (OEM) ขั้นต่ำ 50 ชิ้น รวมถึงเครื่องประดับแฟชั่น เช่น ต่างหูและสร้อยคอที่ออกแบบทันสมัย โดยสามารถปรับน้ำหนักทองเพื่อควบคุมราคาให้เหมาะสมได้ตามต้องการ

นางสาวน้ำฝน กล่าวปิดท้ายว่า “โมเดลธุรกิจของรุ่งเจริญเน้นการขายแบบ B2B มีทีมขาย 12 คน ครอบคลุมทุกภูมิภาคของไทย สัดส่วนการตลาดลูกค้าไทย 50% โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นร้านทองกว่า 300 แห่ง และต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 50% ครอบคลุมจีน ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม และสิงคโปร์ นอกจากนี้ เรายังใช้ช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เช่น LINE, Instagram และ Facebook เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการสั่งซื้อและติดตามข่าวสาร ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าไทยและต่างประเทศได้อย่างทั่วถึง

ในอนาคต รุ่งเจริญตั้งใจรักษาฐานลูกค้าเดิมควบคู่กับการสร้างช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ในตลาดต่างประเทศ การออกแบบที่ทันสมัยจะเป็นหัวหอกสร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์รุ่งเจริญเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำที่ผสานศรัทธาและแฟชั่นได้อย่างลงตัว อีกหนึ่งก้าวสำคัญของเรา คือการเข้าร่วมงาน JGAB 2026 ซึ่งเป็นโอกาสที่จะได้พบลูกค้าต่างชาติรายใหม่ เปิดตลาดยุโรปและเอเชีย และสร้างการรับรู้แบรนด์ของเราสู่สายตาชาวโลก งาน JGAB 2026 ไม่เพียงเป็นเวทีทางธุรกิจ แต่ยังเป็นโอกาสให้โลกได้เห็นศักยภาพและเอกลักษณ์ของวัตถุมงคลไทยที่ผสานศรัทธาและแฟชั่นได้อย่างลงตัว”

“รุ่งเจริญ จิวเวลรี่” คือมากกว่าร้านทองทั่วไป แต่คือสัญลักษณ์ของศรัทธา คุณภาพ และนวัตกรรม ทุกชิ้นงานสะท้อนประวัติศาสตร์กว่า 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความเชื่อมั่น ที่แบรนด์ส่งต่อให้ผู้บริโภคทั้งไทยและต่างประเทศอย่างแท้จริง